อุณหภูมิปีนี้รู้สึกว่าจะร้อนเร็วเหลือเกินนะครับ หลังจากสัมผัสหน้าหนาวสั้นๆได้ไม่กี่วัน เราก็ต้องกลับมาทนกับอากาศร้อนของสยามเมืองยิ้มเหมือนเดิม ยิ่งตอนนี้เข้าเดือนเมษายนแล้ว ยิ่งร้อนระดับไข่เค็มเลยทีเดียว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในช่วงเข้าสงกรานต์แบบนี้ ขอแนะนำวงที่เอาไปเปิดกระหน่ำตามงาน เพิ่มความบ้าของงานอีกวงหนึ่งคือ The Prodigy ครับ
ถ้าใครตามวงการเพลงมาตลอด ก็ต้องรู้จักวงๆนี้แน่นอนครับ เพราะพวกเขาคือหนึ่งในหัวหอกที่ทำให้เพลงแดนซ์แบบ Big Beat/Break Beat ดังไปทั่วโลกในเวลานั้นร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง The Chemical Brothers หรือ Fatboy Slim สิ่งที่ต่างออกไปคือ พวกเขาผสมความจิตวิญญาณแบบพังค์เข้าไปในเพลงด้วย
พวกเขาเริ่มต้นด้วยการทำเดโมของมันสมองของวงอย่าง Liam Howlett (เลียม แต่งเพลง บรรเลง) และมันก็ไปเข้าตาค่าย XL ทำให้เขาได้รับโอกาสออกซิงเกิ้ล Liam เลยตัดสินใจตั้งชื่อวงว่า The Prodigy และเริ่มออกแสดงสดพร้อมกับ Keith Flint (คีธ เต้น แหกปาก พังของ ขู่เด็ก) Leeroy Thornhill (ลีรอย เต้นอย่างเดียว ท่าไม้ตายคือ ท่าวิ่งอยู่กับที่!?!) ตามมาด้วย Maxim Reality (แม๊กซิม MC) และออกป่วนไปทั่วเมือง ซิงเกิ้ลแรกในปี 1990 อย่าง Charly เพลง rave ที่มีเสียงแมวกวนประสาทอยู่ในเพลงก็เป็นที่นิยมไปทั่วและจุดกระแสดนตรี Rave ให้ดังคับเกาะอังกฤษ พวกเขาออกอัลบั้มแรก Experience มาในปี 1991 ซึ่งมันก็มีเพลงเด่นๆหลายเพลงอย่าง Wind It Up, Jericho หรือ Out of Space ทำให้พวกเขาดังไปทั่วพร้อมๆกับกระแสดนตรี Rave แต่ว่าการที่พวกเขาชอบใช้เสียงร้องที่ถูก pitch ให้สูงขึ้นทำให้พวกเขาถูกดูถูกว่าเป็นวงเรฟเด็กๆ แต่พวกที่ดูถูกก็ต้องเงียบเมื่อเจอความยอดเยี่ยมของเพลง One Love ที่หลังจากไม่มีการเปิดเผยมานานว่าเป็นผลงานของใครก่อนที่จะมาเฉลยว่าจริงๆแล้วคือผลงานของพวกเขานั่นเอง
แต่จากการต่อต้านของรัฐบาล ดนตรีเรฟเลยได้รับผลกระทบไปเต็มๆเพราะมันมักพ่วงกับยาอยู่แล้ว ปี 1994 พวกเขาแสดงความไม่ธรรมดาให้เห็นอีกครั้งเมื่อพวกเขาล้ำหน้าเรฟที่เริ่มไร้สาระด้วยดารเอาความเป็นร๊อคมาผสมลงในดนตรีของพวกเขาจนออกมาเป็นอัลบั้ม Music for Jilted Generation ที่ยอดเยี่ยมเกินพรรณนา
ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้มอย่าง No Good นั้น รวดเร็วรวดกับขบวนรถด่วน TGV วิ่งผ่านสมองเราไป สลับกับช่วงเข้าอุโมงค์ที่เห็นแสงวิบวับเป็นระยะ ถ้าฟังเพลงนี้แล้วไม่อยากเต้นอย่างบ้าคลั่งก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ ส่วนเพลง Voodoo People ก็อัดแน่นด้วยเสียงกีตาร์ดิบๆพอๆกับเพลง Their Law ในขณะที่เพลง Full Throttle และ Speedway ก็คือเพลงที่ไม่ควรฟังในรถเด็ดขาดที่ใจคุณไม่กล้าพอรับกับความอยากเหยียบคันเร่งให้จมโคน ส่วน Break and Enter ก็สมชื่อ มันชวนเราพังข้าวของก่อจลาจลเหลือเกิน และยังมี Poison ที่เริ่มส่อเค้าลางแนวเพลงในชุดถัดไปได้เป็นอย่างดี MFJG คืออัลบั้มที่คุณควรได้ฟัง ต่อให้ไม่ชอบเพลงเต้นรำ เพราะมันคืออัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่มนุษยชาติรู้จักสิ่งทีเรียกว่าจังหวะ
จากความสำเร็จอย่างสูงในอัลบั้มที่ก่อน ทำให้ผู้คนสงสัยว่าต่อมาพวกเขาจะมาไม้ไหน และผลก็คือ เมื่อ Firestarter ออกมาในปี 1996 ทุกก็ต้องตะลึงกับความน่ากลัวของภาพลักษณ์ของวง แต่ที่เหนือกว่านั้นคือ ความยอดเยี่ยมขอเพลงที่มีบีทอันหนักหน่วง บวกกับความดิบเถื่อนแบบพังค์ร๊อคของแท้อย่างลงตัว จนกลายเป็นซิงเกิ้ลคลาสสิกไปเลย และยิ่งเมื่ออัลบั้มเต็ม The Fat of the Land ออกมา กระแสดนตรีเต้นรำแนวใหม่ที่พวกเขาสร้างขึ้นก็ดังไปทั่ว TFOTL เต็มไปด้วยเพลงเด็ดที่หนักหน่วงและรวดเร็วสะใจทั้งขาร๊อคและแดนซ์อย่าง Serial Thrilla, Funky Shit หรือเพลงระดับตำนานอย่าง Smack My Bitch Up ที่มีมิวสิควิดีโอสุดเจ๋ง
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมาก และออกทัวร์ยาว พวกเขาก็เงียบไม่ทำอะไรซะนาน สองนาน จน Leeroy ออกจากวงไปเนื่องจากว่าวงไม่ได้เน้นที่การเต้นเหมือนเดิมแล้ว แต่ในที่สุด Liam ก็ถ่ายรูปถือแผ่นซีดีในมือ บอกว่าพวกเขาทำอัลบั้มใหม่เสร็จในปี 2004 ชื่อ Always Outnumbered, Never Outgunned
แต่อาจเป็นเพราะการรอคอยอันแสนนาน และการห่างเหินจากวงการนานเกินไปของพวกเขา ทำให้ AONO กลายเป็นอัลบั้มดาดๆไป แม้เพลงเปิดตัวอย่าง Girls จะน่าสนใจ แต่เพลงที่เหลือก็ธรรมดาๆ กลายเป็น career move ที่ผิดพลาดของพวกเขาไป
แต่ในปี 2009 พวกเขากลับมาใหม่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้งด้วยอัลบั้ม Invaders Must Die อาจเป็นเพราะกระแส New Rave ที่โด่งดังเมื่อสองปีก่อนอีกด้วยที่ทำให้เราคาดหวังจากพวกเขา และก็ไม่ผิดหวังครับ พวกเขาเอาแนวดนตรีที่พวกเขาถนัดมาผสมกับแนวดนตรีสมัยใหม่โดยไม่ลืมความหนักหน่วง จนได้อัลบั้มที่เหมาะแก่การออกไปบ้าคลั่งกันอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพลงเด่นอย่าง Omen, Invaders Must Die หรือ Run with the Wolves ที่มันสุดๆ
สงกรานต์นี้ถ้าหาเพลงไประบายความบ้าคลั่ง ก็ลองเอาอัลบั้มของพวกเขามาฟังสิครับ รับรองว่ามันสะใจจริงๆ
No comments:
Post a Comment