Thursday, March 26, 2009

Watchmen: ดูหนังฟังเพลง

Technorati Tags: ,,
สองอาทิตย์ก่อน ผมได้กลับไปหากิจกรรมกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ได้ทำมาเป็นเวลานานแล้ว นั่นคือการตีตั๋วเข้าไปดูหนังในโรงคนเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำบ่อยมากในอดีต เพราะว่าชอบมีสมาธิกับหนังเต็มที่ ไม่ให้มีใครมากวน แต่หลังๆการดูหนังมักจะเปลี่ยนจากการดูเอาความ มาเป็นการดูเพื่อผ่อนคลายกับเพื่อนฝูง และคนรอบข้าง ดังนั้น เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังคนเดียวมากนัก แต่ด้วยความอยากดู Watchmen อย่างแรง ทำให้รอคนอื่นไม่ไหว

Heroes

สาเหตุที่ทำให้ผมอยากดูหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มาก ไม่ใช่เพราะว่ามันดังมากับกระแสหนังฮีโร่ที่เป็นที่นิยมอยากมากในช่วง 4-5ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ X-Men กับ Spider-Man เริ่มกระแสหนังฮีโร่ที่จริงไม่ ไม่เป็นการ์ตูน) แต่เป็นเพราะผมเคยอ่านเกี่ยวกับการ์ตูนชุดเรื่องนี้มาก่อนตั้งแต่สมัยยังใส่กางเกงขาสั้น และเคยอ่านผ่านๆบ้างอย่างไม่ละเอียด แต่ว่า การแต่งเนื้อเรื่องของมือโปร Alan Moore ก็น่าสนใจจริงๆครับ เขาคือยอดนักเขียนเรื่องของวงการการ์ตูนจริงๆ ผลงานดังๆของเขาก็อย่างเช่น The League of Extra Ordinary Gentlemen (หนัง ห่วยมาก) หรือ V For Vendetta (หนัง โอเค) และการที่ได้ Zack Snyder ที่โด่งดังมาจาก 300 (ต้นฉบับการ์ตูนของ Frank Miller) มากำกับ ทำให้ Watchmen กลายเป็นหนังที่ผมรออยากดูที่สุดในปีนี้ครับ
Smiley

เขียนมาตั้งเยอะ คนอ่านคงจะงงแล้วว่า ตกลงมันจะเขียนคอลัมน์เพลงหรือหนังกันแน่ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่หลุดแนวตัวเองแน่ๆครับ ยังไงก็ต้องเขียนเกี่ยวกับเพลงอยู่แล้ว ที่ต้องหยิบเอาหนังเรื่องนี้มาเขียน เพราะว่าเพลงประกอบก็เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของหนังมาก ถ้าหากเลือกใช้เพลงได้เหมาะสมกับฉากแล้ว อารมณ์ของหนังจะพุ่งสู่ขีดสูงสุดได้เป็นอย่างดีครับ และ Watchmen ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างน่าตกใจในการเลือกใช้เพลงประกอบครับ
Watchmen OST

ที่บอกน่าตกใจคือ ส่วนใหญ่แล้ว หนังอเมริกันมักจะเน้นยัดๆเพลงเข้ามาในหนังเพื่อที่จะขายอัลบั้มประกอบเพลงมากกว่า ถ้าเทียบกับหนังจากประเทศอังกฤษแล้ว อังกฤษจะเลือกใช้เพลงมาเพื่อเล่าเรื่องหนังได้เป็นอย่างดี ใครๆคงจะจำฉากเด็ดอย่าง Renton เมายาไปกับเพลง Perfect Day ของ Lou Reed ใน Trainspotting หรือฉากที่หนุ่มน้อย Billy Elliot ที่กลัดกลุ้มถึงขนาดต้องระบายออกด้วยการเต้นไปกับเพลง A Town Called Malice ของ The Jam ส่วนหนังอเมริกันเหรอครับ หาเนียนๆแบบนี้ยากครับ มักจะไปเน้นเพลงบรรเลงมากกว่า

ส่วน Watchmen นั้น ผมไม่ได้คาดหวังเรื่องเพลงประกอบเลยครับ เพราะอยากไปดูเอาเนื้อเรื่องมากกว่า แต่เอาเข้าจริงๆ แค่เพลงเปิดเรื่องก็ทำเอาผมขนลุกแล้วครับ เพราะเขาเล่นเลือกเอาเพลง The Times They Are A-Changin' ของ Bob Dylan มาเปิดตัวหนัง ซึ่งมันสื่อได้ตรงกับหนังมากครับ ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประกอบกับการเล่าเรื่องตัวละครรองของเรื่องไปกับประวัติศาสตร์ของอเมริกา ซึ่งสื่อออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนเล่นเอาผมปากค้างไปเลย ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหาร JFK การประท้วงด้วยพลังบุบผาชนของนักศึกษา หรือฉากที่มี David Bowie โผล่มาแจมด้วย และที่สำคัญคือมันสื่ออย่างแนบเนียนว่า ฮีโร่สวมหน้ากากค่อยๆหมดความจำเป็นจากสังคมไปเรื่อยๆ แค่ฉากเปิดเรื่อง ก็ทำคะแนนจากผมไปได้เพียบแล้วครับ

และฉากสำคัญอีกฉากที่เลือกเพลงมาได้อย่างน่าสนใจจริงๆก็คือฉากงานศพกับเพลง The Sound of Silence ของ Simon and Garfunkel ที่ช่างโศกเศร้า และวังเวงเหลือเกิน ส่วนฉาก “กลับโลก” ที่เลือกใช้เพลง All Along The Watchtower ฉบับของ Jimmi Hendrix ก็เยี่ยมไม่แพ้กันครับ เพราะมันคือเพลงที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลที่ทำให้เรารู้สึกอยากจะลุยไปจริงๆ ส่วนฉากฮีโร่เริงรัก ก็เลือกเพลงคลาสสิกอย่าง Hallelujah แบบต้นฉบับของ Leonard Cohen ที่ผมคิดว่ามันช่างเหมาะกับเซ็กซ์แบบละเมียดละไมจริงๆ เอาไปสิบเต็มครับ การใช้เพลงของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกไปถึง Forrest Gump ที่เลือกเพลงมาเพื่อแสดงยุคสมัยนั้นๆ แม้จะดูเหมือนเล่นทื่อๆไปหน่อย แบบยุคไหนก็เอาเพลงยุคนั้นมา หาฟีลให้ตรงๆก็พอ แต่ก็จัดว่าดีกว่ายัดเข้ามามั่วๆแบบหนังบางเรื่อง

และอัลบั้มนี้ไม่ได้มีแต่เพลงยุคเก่าครับ ยังมีเพลง Desolation Row ของ Bob Dylan ที่ได้วงที่เป็นแฟนการ์ตูนต้นฉบับอย่าง My Chemical Romance เอามาทำเป็นเพลงปิดเรื่องอย่างสุดมันแบบคล้ายๆกับ The Sex Pistols ไปเลยครับ เรียกได้ว่าเอาใจแฟนๆทุกรุ่นจริงๆ

นอกจากตัวเพลงที่ผมเขียนชมไปเยอะแล้ว ตัวหนังก็ทำออกมาได้อย่างดีมากๆครับ ถึง Alan Moore จะไม่ยอมรับก็ตามที แต่ว่ามันก็สร้างบรรยากาศได้อย่างยอดเยี่ยมมากครับ แต่ว่า แล้วแต่รสนิยมครับ หลายคนก็เกลียดหนังเรื่องนี้มาก บอกว่าห่วยจริงๆ น่าจะเป็นเพราะว่าไม่รู้มาก่อนว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร กะแต่จะไปดูหนังฮีโร่เอาสนุกอย่าง Fantastic Four ซึ่งมันคนละขั้วเลยครับ แต่ถ้าชอบฮีโร่ดิบๆแบบ The Dark Knight ก็ต้องไปลองดูกันครับ ส่วนตัวผม ให้เก้าเต็มสิบไปเลย

1 comment:

ที said...

ผมได้ดูแบบผ่านๆ มาก่อน แต่พออ่านเรื่องที่เจ้าของบล๊อกเขียนแล้ว สงสัยต้องกลับไปดู ดีดี อีกรอบ