นานๆที ผมก็มักจะถือวิสาสะเขียนเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของดนตรีบ้าง หวังว่าคงจะไม่ถือสาหารืออะไรกัน ใจจริงแล้ว ผมอยากจะเขียนเรื่องดนตรีกับการเมือง รับกระแสเลือกตั้ง แต่พอวางโทนเรื่องไปมา กลายเป็นว่า ถ้าเขียน ก็เสี่ยงกับตัวเองเกินไป (ออกความคิดผิดแนวหน่อยก็โดนรุมประชาทัณฑ์ทางสังคมแล้ว) จะตัดทอน ก็ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง เลยตีดสินใจหันมาเขียนเรื่องภาพยนตร์ฮีโร่แนวโปรดของตัวแทนเองบ้างเพราะว่าช่วงที่ผ่านมา ไปดูติดๆมาสองเรื่องครับ
ระยะหลังๆ หนังฮีโร่ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนคอมมิคเป็นที่นิยมเอามากๆ คงเป็นเพราะการประสบความสำเร็จของแฟรนไชส์อย่าง Spider-man และ X-Men ที่ทำออกมาได้ทั้งคุณภาพ (ยกเว้นภาค 3) และยอดขาย ทำให้มีการกระหึ่มทำหนังฮีโร่ออกมาเป็นชุดๆ ซึ่งก็มีทั้งยอดเยี่ยมอย่าง Batman ของ Christopher Nolan ที่ได้รับคำชมทั่วเมือง หรือ Iron Man ฮีโร่มือรองที่ดังได้เพราะคุณภาพงานและการแสดงจริงๆ Watchmen ที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เป็นการ์ตูนแล้ว ที่ดาดๆอย่าง Fantastic Four หรือ Superman ก็มีไม่น้อย หรือที่แย่ไปเลยอย่าง Ghost Rider, Catwoman หรือ Daredevil ที่ทำออกมาได้อย่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่หนังแนวนี้มีออกมาเยอะ คงเป็นเพราะความที่ฮีโร่เหล่านี้ มีคนรู้จักมาแต่แรกแล้ว ไม่ต้องทุ่มโปรโมทฮีโร่หน้าใหม่ให้คนรู้จักมา จึงสามารถอาศัยกระแสนี้สร้างยอดขายได้สบายๆ ซึ่งปีนี้ ก็มีหนังฮีโร่มาให้เราได้ดูถึง 4 เรื่อง ซึ่ง 3 เรื่องเข้าโรงไปแล้ว โดยที่ผมเลี่ยงไม่ดูเรื่อง Thor ไป เพราะสาเหตุส่วนตัว จึงเหลือสองเรื่องที่ได้ดูไปแล้ว นั่นคือ Green Lantern และ X-Men: First Class
เรื่องล่าสุดที่ดู Green Lantern คือเรื่องที่ผมออกจะตื่นเต้นเอามากๆ เพราะเขาคือฮีโร่จากค่าย DC ที่ผมชอบเป็นรองจาก Batman เท่านั้น เพราะเขาคือฮีโร่ที่มีความสามารถแทบจะเทียบเท่ากับเทพได้เลยเพราะการที่เขาสามารถสร้างอะไรก็ได้จากจินตนาการ และตัวคนที่มารับหน้าที่นี้แต่ละคนก็มีเสน่ห์ต่างกันออกไป โดยเฉพาะตัว ฮาล จอร์แดน ที่เป็นคนที่ถูกนำมาทำเป็นหนัง (จริงๆ ผมออกจะตื่นเต้นมาตั้งแต่ตอนเห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ในร้านเช่าดีวีดีแห่งโลกอนาคตใน I Am Legend แล้วครับ) จึงคาดหวังไว้มาก พอเห็นชื่อนักแสดงก็เริ่มจะมีความหวัง เพราะถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว แถมได้ผู้กำกับอย่าง Martin Campbell ที่มีผลงานเด่นอย่างการปลุกวิญญาณแฟนไชส์ 007 ถึงสองครั้งกับ Golden Eye และ Casino Royale ด้วย
แต่เมื่อเห็นตัวอย่าง ลางสังหรณ์ว่าท่าทางจะไม่ดีก็เริ่มแรงขึ้น เพราะภาพที่ออกมา ดูตกยุคไปหน่อย แต่ผมก็ยังไม่ล้มเลิกความหวัง ตัดสินใจตีตั๋วราคา 200 บาทที่เอ็มโพเรี่ยม (แพงจริงๆ) เพื่อเข้าไปดูในวันแรกที่หนังเข้าโรงเลย
สิ่งที่ผมต้องเจอคือ การเปิดเรื่องด้วยงาน CG (Computer Graphic) ที่เชยจริงๆ และเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้แบบสิ้นหวังครับ การเล่าเรื่องออกจะทื่อเอามากๆ เหมือนกับดูหนังยุค 90 เลยทีเดียว ตั้งแต่เอกภพมีผู้ปกครองอยู่และพวกเขารวมพลังเพื่อสร้างแหวนสีเขียวที่ได้พลังจากความมุ่งมั่น ก่อนจะแจกจ่ายให้กับผู้กล้าจากแต่ละเขต เพื่อทำหน้าที่ปกป้องเขตของตัวเองเหมือนตำรวจอวากาศ มีศัตรูที่สุดเก่ง มีฮีโร่ที่ไปสู้แต่แพ้ แล้วก็มอบหน้าที่นั้นให้กับชาวโลก พระเอกของเราแทน ซึ่งจากนั้นก็กลายเป็นเหมือนมาตราฐานของหนังฮีโร่ ไม่ชินกับพลัง สู้แพ้ จะถอนตัว มีจุดพลิกผัน กลับมาสู้ เอาชนะ เป็นเหมือนสูตรสำเร็จที่ทำออกมามากจนเดาเนื้อเรื่องได้ออกหมดครับ ไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกจะไปซ้ำกับหนังเรื่องนู้นเรื่องนี้จนเล่นเอาหาวหวอดๆ ซึ่งคงจะไม่ดีกับคนที่ไม่เคยรู้จักฮีโร่ตัวนี้มาก่อน (เพราะเขาเองก็เป็นแค่มือรองเท่านั้น ไม่เคยดังระดับที่คนที่ไม่ใช่แฟนการ์ตูนรู้จักได้ ไม่เคยมีทีวีซีรีย์หรือการ์ตูนทีวีมาก่อนด้วยซ้ำ)
นอกจากเนื้อเรื่องที่มาแบบสูตรสำเร็จแล้ว จุดอ่อนของ GL คือการที่มันเป็นเรื่องที่ออกจะการ์ตูนเกินไป เรื่องราวมันพาดเกี่ยวระหว่าง อวกาศ โลกมนุษย์สลับไปมาจนดูเหมือนหลุดออกจากความเป็นจริง นอกจากนี้ พลังของแหวนที่สามารถสร้างอะไรก็ได้กลายเป็นจุดอ่อนไปเพราะเมื่อเราเห็น GL สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมามันยิ่งดูการ์ตูนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทีเด็ดที่เขาใช้ตอนท้ายสุดกลายเป็นมุขที่เชยแบบไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ การคัดตัวแสดงมายังออกจะน่าเสียดาย Ryan Reynolds และดารานำอยู่แค่ระดับพอใช้ได้เท่านั้น แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ Tim Robbins มารับบทเป็นพ่อของ Peter Sasgaard ทั้งๆที่สองคนดูอายุเท่าๆกันแท้ๆ บทต่างๆก็ดูอ่อนเกินไป จู่ๆเราก็ได้รู้ตัวละครรู้จักกันมาแต่เด็กโดยไม่มีการปูพื้นเรื่องเลย แถมยังพยายามเปรียบเทียบตัว GL เข้ากับ Hector Hammond มากเกินไปจนหลายเป็นเหมือนหนังวัยรุ่นมัธยมทะเลาะกันเท่านั้น ตัว Hector Hammond ก็กระจอกจนคนอ่านการ์ตูนมาต้องโวยทุกคนแน่ๆครับ บทของตัวละครเสริมก็น้อยเกินไปจนน่าเศร้า มีแค่ Mark Strong ในบท Sinestro คนเดียวที่เล่นออกมาได้ดีจริงๆ ก่อนจะมาล่มในท้ายเรื่องเพราะเลือกบางสิ่งแบบไม่มีเหตุผลเลยจริงๆครับ
สรุปคือ Green Lantern น่าจะเหมาะกับคนดูหนังเอาสนุก ไม่คิดอะไรมาก หรือแฟนการ์ตูนที่ไม่สนอะไรนอกจากได้ดูฮีโร่ฉบับคนแสดง แต่สำหรับคนที่คาดหวังหนังฮีโร่ที่ดีและสนุกอย่างThe Dark Knight หรือ Ironman ก็คงจะผิดหวังอย่างแรงล่ะครับ ยิ่งเมื่อไปเทียบกับ X-Men: First Class หนังฮีโร่คุณภาพเยี่ยมที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่ถึงเดือน หลังจากนี้ ก็คงต้องไปลุ้นกับ Captain America ล่ะครับ ว่าจะทำออกมาได้ดีแค่ไหนกันครับ
ตัวอย่างหนังของจริง สองตัว กับของที่แฟนทำเอง (เผลอๆจะดูดีกว่าของจริง)
No comments:
Post a Comment