Sunday, June 26, 2011

Kylie Minogue: Aphrodite Live in Bangkok เทพธิดาจุติ

Technorati Tags: ,

Aphrodite \Aph`ro*di"te\, n. [Gr. ?.]

1. (Classic Myth.) The Greek goddess of love, corresponding

to the Venus of the Romans.

[1913 Webster]

ใช่ครับ ทัวร์ครั้งนี้ของ Kylie มีชื่อว่า Aphrodite ตามชื่ออัลบั้มล่าสุด และ Aphrodite ก็คือชื่อเทพแห่งความงามของกรีก ที่เทียบได้กับ วีนัส นั่นเอง และวันนี้เราก็ได้มาพบกับเทพธิดาของจริงแล้วครับ

ตัวผม ตั้งความหวังกับทัวร์ครั้งนี้มาก เพราะประทับใจจาก Kylie X เมื่อปี 2008 มากๆ เพราะมันส์อย่างมาก และครั้งนี้ผมก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เธอมาแบบชุดใหญ่ไม่มีกั๊กเหมือนครั้งก่อน (ที่ไม่เอากะโหลกยักษ์มา) แต่ครั้งนี้มาครบแบบที่ได้ดูกันทั่วโลกเลยครับ เลยยิ่งตั้งความหวัง พอไปถึงงาน ก็เหมือนงานปล่อยของของชาวสีม่วง ใส่กันเต็มๆครับ ยังกับงานคอสเพลย์โลก

Kylie_0001

พอเข้าไปในงาน ก็เจอเวทีขนาดยักษ์ ตกแต่งด้วยเสาโรมันอย่างงดงาม น่าทึ่ง พอดนตรีเริ่มต้นขึ้น ก็เล่นเอาขนลุกครับ เพราะมันดูยิ่งใหญ่มากๆ และเราก็ลุ้นตลอดว่าเธอจะเปิดตัวอย่างไร จนเมื่อเปลือกหอยขนาดยักษ์ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากเนินกลางเวที เราก็ได้แต่ปากค้าง เพราะมันไม่ต่างจากภาพกำเนิดวีนัสของบอตติเชลลี่เลยทีเดียว ขาดแต่เพียงเทพมาเป่าหอยสังข์ให้เท่านั้นล่ะครับ และเธอก็เริ่มต้นกับเพลง Aphrodite ได้อย่างยิ่งใหญ่มากๆครับ ผมได้แต่นั่งคะลึงกับความงามของสาววัย 43 ที่งามอย่างไร้ที่ติดจริงๆ ก่อนที่จะตัดไปเพลงที่สอง The One จากอัลบั้มล่าสุดเหมือนกัน จอด้านหลังของระหว่างเสาโรมันทั้ง 5 จอฉายภาพประกอบโชว์ได้อย่างยอดเยี่ยมครับ เสียตรงไปเน้นที่ชายร่างบึ๊กมากไปหน่อย แต่ก็เรียกเสียงกรี้ดจากคนดูได้ทุกครั้งที่หนุ่มนุ่งเตี่ยวผืนเดียวโผล่ออก เธอตามมาด้วย Wow เป็นเพลงที่ 3 ซึ่งเป็นเพลงที่กระตุ้นให้คนลุกเต้นได้เป็นอย่างดี เพราะมันสนุกจริงๆครับ โดยเฉพาะตรง Wowx4 นี่

เธอแอบแว่บไปอีกรอบ ก่อนจะกลับมาทางเดิม แต่เปลี่ยนจากเปลือกหอยมาเป็นม้าเปกาซัสครับ เล่นมาแบบเทพนิยายจริงๆก่อนจะร้องเพลง Illusion และ I Believe in You โดยที่เพลงหลังมีพร๊อพเป็นรถศึกแบบเบน เฮอร์เลยครับ

เธอกลับมาอีกครั้งกับเพลง Cupid Boy จากอัลบั้มล่าสุด และตามด้วย Spinning Around เพลงชวนเต้นอีกรอบนึง ก่อนจะไปเต้นกันอย่างเมามันในเพลง Get Out Of My Way เพลงโปรดผมในอัลบั้มล่าสุด แล้วปิดองค์ที่ 2 ด้วย What Do I Have To Do เพลงเก๋ากึ๊กเลยครับ

Kylie_0013

เธอกลับมาอีกทีกับเพลง Beautiful เพลงช้าๆจากอัลบั้มล่าสุด แล้วตามด้วย Slow เพลงช้าๆ เซ็กซี่ยวนใจที่มิกซ์ใหม่เป็นเพลงแจ๊ซทำเอาเราค้างจริงๆครับ พอเธอลงจากเวทีไป

และ Kylie ก็กลับออกมาในชุดระยิบระยับอย่างดงาม ก่อนจะร้องเพลงเก่าที่บีตหนักมากอย่าง Confide In Me และเป็นเพลงที่กราฟฟิคประกอบประทับใจผมที่สุด เพราะเป็นภาพของเรียวขากับกอยก้นอันแสนงาม หลังจากทนดูกล้ามเนื้อสปาร์ตามานาน แล้วเธอก็ตามด้วยเพลง Can’t Get You Out Of My Head ที่ทำให้เป็นจังหวะร๊อค เรียกคนดูเต้นกันทั้งฮอลล์ แล้วปิดด้วย In My Arms ได้อย่างประทับใจ

กราฟฟิคเปลี่ยนเป็นภาพทันสมัย และแดนเซอร์ก็ออกมาเต้นลีลาแซมบ้าประกอบเพลงอย่างเร้าใจ แล้วเธอก็กลับมากับชุดกางเกงยีนส์สั้นกับเสื้อยืดแบบสาวทันสมัย ก่อนจะร้องเพลง Looking For An Angel แล้วตามด้วยเพลง There Must Be An Angel ที่คัฟเวอร์ Eurythmics เล่นเอาผมตะลึงไปเลยครับ ก่อนเธอจะแนะนำทีมงานของเธอแล้วตามด้วยเพลง Love at First Sight เพลงโปรดสุดของผมแล้วล่ะครับ แล้วปิดท้ายด้วยเพลง If You Don’t Love Me

Kylie_0005

หลังจากนั้น เธอก็ทักทายกับแฟนเพลง และเชิญแฟนกระเทย (ขอใช้คำนี้ล่ะกันครับ) สองคนขึ้นไปบนเวทีกับเธอ เล่นเอาทั้งสองพูดไม่ออกเลยล่ะครับ คงเหมือนฝันทีเป็นจริงล่ะครับ Kylie นี่เธอน่ารักจริงๆครับเอาใจแฟนเพลงซะขนาดนั้น

เธอปิดโชว์ด้วย Locomotion สั้นๆก่อนเข้าสองเพลงสุดท้ายอย่าง Better The Devil You Know และ Put Your Hand Up อย่างสนุกสนาน ชวนแฟนเพลงยกมือเต้นตาม ก่อนจะหายไปที่หลังเวทีครับ

แต่ทุกคนก็รู้ว่ายังไม่จบ ทุกคนตะโกนชื่อเธอไม่หยุดหย่อน จนเธอต้องกลับมาอีกครั้ง กับเพลง On A Night Like This ที่เล่นเอาคนดูเฮไปเต้นตามไป และทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ก่อนเธอจะประกาศว่าเพลงนี้สำหรับ All The Lovers เล่นเอาคนเฮกันหมด และเธอก็จำลอง MV ของเธอออกมาได้อย่างดี ก่อนจะเดินออกมาสั่งลาคนดูพร้อมกับพลุกระดาษเปล่งประกายไปทั่ว ปิดท้ายได้อย่างงดงามน่าประทับใจจริงๆเต็มสองชั่วโมง และครั้งนี้ผมก็ได้กลับบ้านอย่างอิ่มเอมใจ เพราะได้พบกับเทพธิดาที่จำแลงร่างมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงครับ

Monday, June 20, 2011

นอกเรื่องตามประสากับหนังฮีโร่ Green Lantern

Technorati Tags: ,

นานๆที ผมก็มักจะถือวิสาสะเขียนเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของดนตรีบ้าง หวังว่าคงจะไม่ถือสาหารืออะไรกัน ใจจริงแล้ว ผมอยากจะเขียนเรื่องดนตรีกับการเมือง รับกระแสเลือกตั้ง แต่พอวางโทนเรื่องไปมา กลายเป็นว่า ถ้าเขียน ก็เสี่ยงกับตัวเองเกินไป (ออกความคิดผิดแนวหน่อยก็โดนรุมประชาทัณฑ์ทางสังคมแล้ว) จะตัดทอน ก็ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง เลยตีดสินใจหันมาเขียนเรื่องภาพยนตร์ฮีโร่แนวโปรดของตัวแทนเองบ้างเพราะว่าช่วงที่ผ่านมา ไปดูติดๆมาสองเรื่องครับ

ระยะหลังๆ หนังฮีโร่ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนคอมมิคเป็นที่นิยมเอามากๆ คงเป็นเพราะการประสบความสำเร็จของแฟรนไชส์อย่าง Spider-man และ X-Men ที่ทำออกมาได้ทั้งคุณภาพ (ยกเว้นภาค 3) และยอดขาย ทำให้มีการกระหึ่มทำหนังฮีโร่ออกมาเป็นชุดๆ ซึ่งก็มีทั้งยอดเยี่ยมอย่าง Batman ของ Christopher Nolan ที่ได้รับคำชมทั่วเมือง หรือ Iron Man ฮีโร่มือรองที่ดังได้เพราะคุณภาพงานและการแสดงจริงๆ Watchmen ที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เป็นการ์ตูนแล้ว ที่ดาดๆอย่าง Fantastic Four หรือ Superman ก็มีไม่น้อย หรือที่แย่ไปเลยอย่าง Ghost Rider, Catwoman หรือ Daredevil ที่ทำออกมาได้อย่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่หนังแนวนี้มีออกมาเยอะ คงเป็นเพราะความที่ฮีโร่เหล่านี้ มีคนรู้จักมาแต่แรกแล้ว ไม่ต้องทุ่มโปรโมทฮีโร่หน้าใหม่ให้คนรู้จักมา จึงสามารถอาศัยกระแสนี้สร้างยอดขายได้สบายๆ ซึ่งปีนี้ ก็มีหนังฮีโร่มาให้เราได้ดูถึง 4 เรื่อง ซึ่ง 3 เรื่องเข้าโรงไปแล้ว โดยที่ผมเลี่ยงไม่ดูเรื่อง Thor ไป เพราะสาเหตุส่วนตัว จึงเหลือสองเรื่องที่ได้ดูไปแล้ว นั่นคือ Green Lantern และ X-Men: First ClassGreenlantern New Film Poster

เรื่องล่าสุดที่ดู Green Lantern คือเรื่องที่ผมออกจะตื่นเต้นเอามากๆ เพราะเขาคือฮีโร่จากค่าย DC ที่ผมชอบเป็นรองจาก Batman เท่านั้น เพราะเขาคือฮีโร่ที่มีความสามารถแทบจะเทียบเท่ากับเทพได้เลยเพราะการที่เขาสามารถสร้างอะไรก็ได้จากจินตนาการ และตัวคนที่มารับหน้าที่นี้แต่ละคนก็มีเสน่ห์ต่างกันออกไป โดยเฉพาะตัว ฮาล จอร์แดน ที่เป็นคนที่ถูกนำมาทำเป็นหนัง (จริงๆ ผมออกจะตื่นเต้นมาตั้งแต่ตอนเห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ในร้านเช่าดีวีดีแห่งโลกอนาคตใน I Am Legend แล้วครับ) จึงคาดหวังไว้มาก พอเห็นชื่อนักแสดงก็เริ่มจะมีความหวัง เพราะถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว แถมได้ผู้กำกับอย่าง Martin Campbell ที่มีผลงานเด่นอย่างการปลุกวิญญาณแฟนไชส์ 007 ถึงสองครั้งกับ Golden Eye และ Casino Royale ด้วย

แต่เมื่อเห็นตัวอย่าง ลางสังหรณ์ว่าท่าทางจะไม่ดีก็เริ่มแรงขึ้น เพราะภาพที่ออกมา ดูตกยุคไปหน่อย แต่ผมก็ยังไม่ล้มเลิกความหวัง ตัดสินใจตีตั๋วราคา 200 บาทที่เอ็มโพเรี่ยม (แพงจริงๆ) เพื่อเข้าไปดูในวันแรกที่หนังเข้าโรงเลย

สิ่งที่ผมต้องเจอคือ การเปิดเรื่องด้วยงาน CG (Computer Graphic) ที่เชยจริงๆ และเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้แบบสิ้นหวังครับ การเล่าเรื่องออกจะทื่อเอามากๆ เหมือนกับดูหนังยุค 90 เลยทีเดียว ตั้งแต่เอกภพมีผู้ปกครองอยู่และพวกเขารวมพลังเพื่อสร้างแหวนสีเขียวที่ได้พลังจากความมุ่งมั่น ก่อนจะแจกจ่ายให้กับผู้กล้าจากแต่ละเขต เพื่อทำหน้าที่ปกป้องเขตของตัวเองเหมือนตำรวจอวากาศ มีศัตรูที่สุดเก่ง มีฮีโร่ที่ไปสู้แต่แพ้ แล้วก็มอบหน้าที่นั้นให้กับชาวโลก พระเอกของเราแทน ซึ่งจากนั้นก็กลายเป็นเหมือนมาตราฐานของหนังฮีโร่ ไม่ชินกับพลัง สู้แพ้ จะถอนตัว มีจุดพลิกผัน กลับมาสู้ เอาชนะ เป็นเหมือนสูตรสำเร็จที่ทำออกมามากจนเดาเนื้อเรื่องได้ออกหมดครับ ไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกจะไปซ้ำกับหนังเรื่องนู้นเรื่องนี้จนเล่นเอาหาวหวอดๆ ซึ่งคงจะไม่ดีกับคนที่ไม่เคยรู้จักฮีโร่ตัวนี้มาก่อน (เพราะเขาเองก็เป็นแค่มือรองเท่านั้น ไม่เคยดังระดับที่คนที่ไม่ใช่แฟนการ์ตูนรู้จักได้ ไม่เคยมีทีวีซีรีย์หรือการ์ตูนทีวีมาก่อนด้วยซ้ำ)

นอกจากเนื้อเรื่องที่มาแบบสูตรสำเร็จแล้ว จุดอ่อนของ GL คือการที่มันเป็นเรื่องที่ออกจะการ์ตูนเกินไป เรื่องราวมันพาดเกี่ยวระหว่าง อวกาศ โลกมนุษย์สลับไปมาจนดูเหมือนหลุดออกจากความเป็นจริง นอกจากนี้ พลังของแหวนที่สามารถสร้างอะไรก็ได้กลายเป็นจุดอ่อนไปเพราะเมื่อเราเห็น GL สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมามันยิ่งดูการ์ตูนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทีเด็ดที่เขาใช้ตอนท้ายสุดกลายเป็นมุขที่เชยแบบไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ การคัดตัวแสดงมายังออกจะน่าเสียดาย Ryan Reynolds และดารานำอยู่แค่ระดับพอใช้ได้เท่านั้น แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ Tim Robbins มารับบทเป็นพ่อของ Peter Sasgaard ทั้งๆที่สองคนดูอายุเท่าๆกันแท้ๆ บทต่างๆก็ดูอ่อนเกินไป จู่ๆเราก็ได้รู้ตัวละครรู้จักกันมาแต่เด็กโดยไม่มีการปูพื้นเรื่องเลย แถมยังพยายามเปรียบเทียบตัว GL เข้ากับ Hector Hammond มากเกินไปจนหลายเป็นเหมือนหนังวัยรุ่นมัธยมทะเลาะกันเท่านั้น ตัว Hector Hammond ก็กระจอกจนคนอ่านการ์ตูนมาต้องโวยทุกคนแน่ๆครับ บทของตัวละครเสริมก็น้อยเกินไปจนน่าเศร้า มีแค่ Mark Strong ในบท Sinestro คนเดียวที่เล่นออกมาได้ดีจริงๆ ก่อนจะมาล่มในท้ายเรื่องเพราะเลือกบางสิ่งแบบไม่มีเหตุผลเลยจริงๆครับ

สรุปคือ Green Lantern น่าจะเหมาะกับคนดูหนังเอาสนุก ไม่คิดอะไรมาก หรือแฟนการ์ตูนที่ไม่สนอะไรนอกจากได้ดูฮีโร่ฉบับคนแสดง แต่สำหรับคนที่คาดหวังหนังฮีโร่ที่ดีและสนุกอย่างThe Dark Knight หรือ Ironman ก็คงจะผิดหวังอย่างแรงล่ะครับ ยิ่งเมื่อไปเทียบกับ X-Men: First Class หนังฮีโร่คุณภาพเยี่ยมที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่ถึงเดือน หลังจากนี้ ก็คงต้องไปลุ้นกับ Captain America ล่ะครับ ว่าจะทำออกมาได้ดีแค่ไหนกันครับ

ตัวอย่างหนังของจริง สองตัว กับของที่แฟนทำเอง (เผลอๆจะดูดีกว่าของจริง)

Wednesday, June 15, 2011

ส้วม ส้วม ส้วม แห่งญี่ปุ่น Part II

จากตอนที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงเรื่องส้วมแบบญี่ปุ่นไปในระดับหนึ่ง ครั้งนี้ จะมาพูดกันเรื่องความไฮเทคของส้วมญี่ปุ่น และกำเนิดความไฮเทคเหล่านั้นครับ

สิ่งไฮเทคแรกๆที่คนต่างชาติจะได้เจอในห้องน้ำที่ญี่ปุ่นคือ ฝารองนั่งอุ่นๆ ที่ทำใว้เพื่อฤดูหนาวของญี่ปุ่น ช่วยได้มากครับ เพราะเวลาปวดๆแล้วไปเจอฝารองนั่งเย็นเฉียบนี่ เล่นเอาปล่อยไม่ออกเหมือนกันนะครับ กล้ามเนื้อมันเกร็งครับ

จาก awallens.wordpress.comแต่ที่เป็นประเด็นร้อนของกลุ่มชาวต่างชาติในญี่ปุ่นคือ ส้วมที่มีที่ฉีดน้ำล้างก้น หรือที่เรียกว่า Washlet(ワッシュレット) นั่นเองครับ บางคนคงจะนึกว่าไม่แปลกอะไร บ้านเราก็มี แต่ของญี่ปุ่นเขาต่างออกไปตรงที่ มันอยู่ในฝารองนั่งเลยครับ และเป็นระบบแบบอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นที่ฉีดแบบบ้านเรา ไม่ต้องเลอะมือครับ

เดิมที่ ญี่ปุ่นก็ใช้กระดาษเป็นหลักแบบบ้านเรานี่ล่ะครับ สำหรับระบบการใช้น้ำล้างแบบอัตโนมัติ จริงก็มาจากทางตะวันตก แต่บริษัทญี่ปุ่นอย่าง TOTO เขาก็จริงจัง พยายามทำของตัวเองให้ได้ ประกอบกับการขยายตัวของที่พักอาศัย และวิกฤตน้ำมันในปี 1978 พวกเขาก็พยายามสร้างของที่ช่วยประหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อมครับ

ตอนสร้างทีแรก ไอ้ระบบฉีดน้ำนี่ ยังไม่เท่าไหร่ครับ เริ่มทำทีแรกสุด ปัญหาที่พวกเขาเจอคือ ตำแหน่งของ รูทวารหนัก นั่นเองครับ ใครมันจะไปคิดมาก่อนล่ะครับว่าตำแหน่งตรงกันรึเปล่า พวกเขาเลยเลือกใช้วิธี วัดตำแหน่งรูทวารของพนักงานในบริษัทครับ ไม่ว่าจะเป็นชาย หรือหญิง แต่ไม่ต้องงงนะครับ พวกเขาไม่ได้ไปแหกขาใครแล้วเอาสายวัดไปวัดหรอกครับ (ลาออกกันหมดพอดี) แต่พวกเขาเอาลวดขึงผ่านกลางฝารองนั่ง แล้วให้พนักงานแต่ละคนเอากระดาษแปะตรงตำแหน่งของรูทวารตัวเองไว้ครับ พอวัดทั้งบริษัท 300 คน ก็ได้ข้อสรุปว่า ประมาณ 27-28 เซนติเมตรจากหน้าโถครับ (ละเอียดจริง) แล้วก็คำนวณว่าองศาฉีดน้ำที่จะสบายคือ 43 องศา พวกเขายังคิดไปถึงเรื่องของอุณหภูมิของฝารองนั่ง ที่กะให้เท่าระดับผิวคนที่ 38 องศา เรียกได้ว่า เก็บทุกเม็ดตาม Japanese Standard จริงๆครับ

พอสำเร็จ พวกเขาก็ออกวางขาย โดยตั้งชื่อให้ว่า Washlet ซึ่งย่อจาก Wash Toilet นั่นเองครับ ผลงานของพวกเขาออกวางขายในปี 1980 และเริ่มเป็นที่นิยมด้วยการอาศัยโฆษณาทีวีที่เอาดาราสาวมาโปรโมตแบบน่ารัก ลบภาพลักษณ์ของห้องน้ำที่สกปรกออกไปได้ครับ และจากนั้น ระบบ Washlet ก็เริ่มแพร่หลายในญี่ปุ่น มาตลอด จนปัจจุบันแทบจะเป็นของตายสำหรับคนที่สร้างบ้านใหม่เลยครับ

แต่แน่นอนครับว่า ถ้าพวกเขาไม่พัฒนา ก็คงแข่งขันในตลาดไม่ได้ครับ พวกเขาคิดได้ว่า นอกจากจะฉีดน้ำล้างก้นแล้ว สาวๆก็ควรจะมีอุปกรณ์ล้างน้องสาวของตัวเองด้วย ไหนๆก็จะฉีดน้ำแล้ว ก็เพิ่มฟังชั่นมันอีกหน่อยสิ ทำให้เกิดไอเดียเรื่องของการเพิ่ม Bidet (ビデหรือบิเดต์) ที่เคยเป็นอุปกรณ์ของสาวๆตะวันตก คราวนี้พวกเขาจะพัฒนาขึ้นมาสำหรับคนญี่ปุ่นครับ จากที่เห็นในภาพข้างล่างครับ ว่าจะมีปุ่มที่เขียนว่า Front เป็นรูปผู้หญิง นั่นล่ะครับคือบิเดต์ ที่พอกดแล้วก็จะหัวฉีดก็จะยืดออกมาฉีดน้ำตรงน้องส่าวพอดีครับ

ปุ่มควบคุม

 ประเด็นคือ เมื่อตอนที่หาตำแหน่งของรูทวารหนัก ก็ลำบากซะขนาดนั้นแล้วพอจะหาตำแหน่ง น้องสาว พวกเขาจะหาตำแหน่งยังไง เนื่องจากวิศวกรในทีมก็มีแต่ชายล้วน ซึ่งวิธีการที่พวกเขาเลือกใช้คือ พวกเขาเลือกวัดระยะห่างระหว่างน้องสาว กับรูทวารเอา แต่ไม่รู้อะไรดลใจพวกเขา ให้ไม่เลือกอาศัยความร่วมมือจากพนักงานสาวๆในบริษัท (หรือว่าขอแล้วแต่ไม่ยอมก็ไม่ทราบ) พวกเขาเลือกใช้วิธี ทำวิจัยด้วยการไปเที่ยวอะโกโก้ เพื่อดูแล้วกะค่าเฉลี่ยของระยะห่างของสองจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งท่าทางจะเป็นงานวิจัยที่ลำบากเอามากๆ เพราะบรรดาทีมงานทุกคนต่างแวะเวียนกันไปอะโกโก้หลายต่อหลายครั้ง กลับบ้านดึกดื่นค่ำมืด จนได้ค่าเฉลี่ยของระยะห่างดังกล่าวมาจนได้ (เปลืองค่าดริงค์ เอ๊ย เปลืองค่าวิจัยมากๆ) และในที่สุดก็สามารถเพิ่มฟังชั่นบิเดต์ให้กับวอชเล็ตได้สำเร็จ สร้างความสบายให้กับคุณผุ้หญิงทุกท่านมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

ครั้งหน้า จะเป็นครั้งสุดท้าย จะขอพูดเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆของห้องน้ำญี่ปุ่น และประสบการณ์ตรงส่วนตัวครับ

(อ้างอิงจากหนังสือ マンガで読む「ロングセラー商品」誕生物語4)

Tuesday, June 14, 2011

เจ้าบ้านประกาศหานักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่ เพื่อเข้าพักในอพาร์ตเมนต์แห่งตำนานการ์ตูน

หนึ่งในห้องในอพาร์ตเมนต์ในตำนาน

เจ้าของอพาร์ตเมนต์ในเขตโทชิม่า โตเกียว วางแผนประกาศหาผู้เช่าในอาพาร์ตเมนต์ที่เคยเป็นที่พักของเหล่านักเขียนการ์ตูนในตำนาน

ทางเจ้าของอาพาร์ตเมนต์ได้รับการช่วยเหลือจากสำนักงานเขต ในการปลุกบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรด้วยการเชื้อเชิญนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่เข้ามาพัก

อพาร์ตเมนต์อายุ 52 ปีแห่งนี้ ชื่อ ชิอุนโซ อยู่ใกล้กับสถานที่ที่เคยเป็นอพาร์ตเมนต์ โทคิวะโซ ในตำนานซึ่งเป็นแหล่งพักพิงที่ยอดนักเขียนการ์ตุนชื่อดังมารวมตัวกันอยู่ในยุคปี 1950 สมัยที่ยังไม่มีชื่อเสียง

ซึ่งอดีตผู้เคยพักอยู่ก็คือ เทตซึกะ โอซามุุ (ผลงาน เจ้าหนูปรมณู วิหกเพลิง แบล๊คแจ๊ค) อะบิโคะ โมะโท และ ฟุจิดมโต้ ฮิโรชิ ซึ่งต่อมาจะร่วมงานกันเป็น ฟุจิโกะ ฟุจิโกะ (ผลงาน โดราเอมอน ผีน้อยคิวทาโร่ นินจาฮัตโตริ) และ อิชิโนะโมริ โชทาโร่ (ผลงาน ไอ้มดแดง โกเรนเจอร์)

โครงการนี้รวมไปถึงสตูดิโอสองห้องบนชั้นสองของอพาร์ตเมนต์ ที่ อาคาซึคะ (ผลงาน เทนไซบากะบอง) เคยเช่าไว้เป็นสตูดิโอทำงานระหว่างที่อาศัยที่โทคิวะโซ

ทางผุ้ดูแลโครงการจะจ่ายเงินครึ่งหนึ่งของค่าเช่า 40,000 เยน ต่อเดือน ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะสร้าง โทคิวะโซ แห่งที่สอง เพื่อสร้างนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่

ห้องที่อาคาซึคะเคยใช้ทำงานมีขนาด 40.5 เสื่อ (ประมาณ 7 ตารางเมตร) และต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน แต่เมื่อได้รับการบูรระแล้ว ห้องมีขนาด 6-8.5 เสื่อ และมีห้องน้ำ ห้องครัวในตัว อยางไรก็ตาม ทางเจ้าของอพาร์ตเมนต์ยังคงรักษากำแพงดิน และเสาไม้ไว้เพื่อบรรยากาศแบบดั้งเดิม

หนึ่งในเจ้าของไอเดียของโครงการนี้คือ โคอิเดะ มิคิโอะ ชายอายุ 53 ปี เจ้าของร้านนาฬิกาในเขตนี้ ซึ่งเขาเป็นแฟนการ์ตูนพันธุ์แท้และนำโครงการนี้ไปเสนอสำนักงานเขต

“ผมอยากจะคืนชีพให้กับสังคมของวัฒนธรรมการ์ตูน ที่ๆนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้จากกันและกันและทำงานได้เต็มที่” เขากล่าว

โครงการรับผู้มีสิทธิ์สมัครที่เปนชาย อายุค้น 20 ปี เท่านั้น ซึ่งทางคณะกรรมการจะพิจารณาจากผลงานและการสัมภาษณ์อีกรอบหนึ่ง นักเขียนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้จากบล๊อกของ โทคิวะโซ โดริ (http://blog.goo.ne.jp/tokiwaso-street/) และยื่นสมัครได้ภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2011

แปลจาก เว็บข่าวอาซาฮี (http://www.asahi.com/english/TKY201106130080.html) วันที่ 14 มิถุนายน 2011

แฉนักเที่ยวญี่ปุ่นเกิดอาการ"ปารีส ซินโดรม"ถูกส่งกลับปท.-ช๊อกรับไม่ได้เมืองหลวงน้ำหอมไม่ศิวิไลซ์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ว่า สถานทูตญี่ปุ่นต้องส่งนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นหลายสิบรายกลับประเทศทันที ภายหลังเกิดช็อกรับไม่ได้กับสภาพกรุงปารีสไม่ได้ศิวิไลซ์สวยงามเหมือนอย่าง ที่รับรู้หรือคาดคิด โดยจิตแพทย์ญี่ปุ่นได้ขนานนามว่า อาการดังกล่าวว่าเป็นอาการ"ปารีส ซินโดรม"และโดยเฉลี่ยจะมีชาวญี่ปุ่นมากกว่า 12 รายต่อปี ตกเป็นเหยื่อของอาการดังกล่าว เนื่องจากคาดหวังสูงกับการเดินทางมาท่องเที่ยวต่างชาติครั้งแรก 13080266121308026864l

นอกจากนี้ สถานทูตญี่ปุ่นยังต้องติดโทรศัพท์สายด่วน 24 ชม.สำหรับชาวญี่ปุ่นที่มีอาการช๊อกทางจิตใจ และเพื่อช่วยเหลือหาโรงพยาบาลที่เหมาะสมสำหรับบุคคลที่ต้องการเข้ารับการแก้ ปัญหา อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์ญี่ปุ่นระบุว่า การเยียวยาถาวรเดียวก็คือต้องกลับประเทศและไม่หวนกลับมากรุงปารีสอีก

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างวาดฝันถึงกรุงปารีสอย่างโรแมนติค เหมือนที่เห็นอย่างในภาพยนตร์ เช่น ความสวยงามของผู้หญิง,วัฒนธรรมที่สูงส่ง และศิลปะในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ทว่า ความเป็นจริงกลับเป็นสิ่งที่ชวนให้ช๊อก โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเผชิญกับแท๊กซี่ที่หยาบคาย,บริการกรุงปารีสที่ชอบ ตะโกนใส่ลูกค้าที่ไม่สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจเป็นเรื่องตลกสำหรับชาวตะวันตกที่เห็นว่าปารีสมี วัฒนธรรมที่แตกต่างจากบ้านเกิดพวกเขา แต่สำหรับญี่ปุ่นซึ่งเป็นคนสุภาพและเป็นสังคมที่ช่วยเหลือซึ่งแทยไม่เคย ตะโกนด้วยความโกรธ การประสบพบเมืองเช่นนี้ทำให้กลายเป็นฝันร้ายของพวกเขา ทั้งนี้ ประเมินว่า มีชาวญี่ปุ่นนับล้านคนเดินทางไปฝรั่งเศสในทุก ๆ ปี

(จาก www.matichon.co.th วันที่ 14 มิถุนายน 2554)

Monday, June 13, 2011

ส้วม ส้วม ส้วม แห่งญี่ปุ่น Part I

เรื่องหนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์เอามากๆนอกไปจากการกิน และนอนแล้ว คือ การขับถ่าย แน่ๆครับ ส่วนหนึ่งของชีวิตผมเลยอุทิศให้กับการขับถ่ายเพิ่อสร้างความสุขให้กับชีวิตอย่างเต็มที่ และสำหรับประเทศที่รักความไฮเทคและความสะดวกสบายอย่างญี่ปุ่นแล้ว มีเหรอครับที่ส้วมพวกเขาจะธรรมดาได้

แต่เดิม ส้วมญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างจากส้วมแบบคลาสสิก นั่งยองๆ ของบ้านเราเท่าไหร่หรอกครับ เพียงแต่ ดีไซน์และการใช้งานจะต่างกันหน่อย ส้วมแบบนี้เรียกว่าแบบ Washiki (和式)หรือ แบบญี่ปุ่น นั่นเองครับ มาดูตัวอย่างกัน

1396355667_k-wc-befor01

อย่างที่เห็นนะครับ จะคล้ายๆบ้านเรา แต่เอ๊ะ แปลกๆจัง ทำไมตรงด้านหลังมันกระดกมาขนาดนั้น แล้วนั่งไปจะไม่ติดเหรอ เปล่าครับ จริงๆแล้ว มันสลับกับบ้านเราครับ ของเขา จะหันหน้าไปทางท่อคอห่านครับ  ดูได้จากภาพข้างล่างนี้ครับ

 how to use japanese toilet

คือ นั่งหันตามภาพครับ แล้ว คุณก็ปล่อยตามสะดวกครับ เจ้าเรือดำน้ำสีเหลือของคุณก็จะไปกองอยู่ที่พื้นที่ที่เป็นแอ่งที่ตรงกับเป้าที่ท่านเล็งไว้นั่นล่ะครับ ซึ่งเนื่องจากมันเป็นแอ่ง ท่านก็จะสบายไปตรงที่มันก็จะมีน้ำรองรับเรือดำน้ำของท่านไว้ ไม่ให้ติดเป็นคราบเลอะ แต่เนื่องจากมันแค่ลอยปริ่มๆ กลิ่นมันเลยออกมาหึ่งเหมือนเดิม สิ่งที่ท่านควรทำคือ เอื้อมมือไปกดชักโครกมันซะ (จริงๆเดี๋ยวนี้มันกด นะ ไม่ได้ ชัก สายเหมือนแต่ก่อน น่าจะหาคำใหม่ได้แล้ว) ซึ่งที่ไฮโซหน่อยก็จะเป็นเซนเซอร์ให้เอามือไปโบกไหวๆเอา (บางทีก้าวไปเฉียดก็ชักโครกแล้ว ฮ่วย) ซึ่งน้ำก็จะไหลออกมาจากท่อด้านหลัง  พัดเอาเรือดำน้ำของท่านออกจากท่าไปโดยสวัสดิภาพ (ระวัง น้ำจะแรงจนกระเซ็นออกมา) หลังจากนั้น คุณค่อยนั่งชิลต่ออีกหน่อย เช็ดเชิดให้มันเรียบร้อย ก่อนจะทิ้งลงไปในนั่นแหละครับ แล้วเมื่อมั่นใจว่าเคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการชักโครกรอบสุดท้ายให้มันเรียบร้อยไปซะ

อย่างที่เห็นครับว่า จริงๆ มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก เพราะเราเองก็มาจากวัฒนธรรมแบบนั่งยองๆเหมือนกัน จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่มันเป็นปัญหากับชาวตะวันตกที่ไม่คุ้นเอามากๆครับ ถึงได้มีคำเตือนอย่างในภาพ ว่าระวังจะตกลงไป และในคู่มือนำเที่ยวญี่ปุ่น ก็มักจะมีเรื่องนี้รวมอยู่ด้วยเสมอครับ ถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าพรั่นพรึงสำหรับชาวต่างชาติไม่เบา

และแน่นอนครับว่า ส้วมญี่ปุ่นไม่ได้มีแบบนี้แบบเดียวแน่ๆ ยังมีแบบที่ใช้กันไปทั่วโลก นั่นคือแบบนั่ง นั่นเองครับ แต่ลงว่าเป็นประเทศญี่ปุ่น มีเหรอครับที่ท่านจะทำแบบธรรมดากัน ไม่ได้ครับ เสีย มันต้องเพิ่มลูกเล่นกันหน่อย ดังนั้น รอบหน้า ผมจะมาจัดเต็มเรื่องของส้วมแบบไฮเทคสารพัแบบของญี่ปุ่น เอาตั้งแต่จุดกำเนิดเลยทีเดียวครับ แล้วเจอกันครั้งหน้าครับ

Thursday, June 9, 2011

#quakebook

หนังสือการกศลเพื่อญี่ปุ่น ที่รวบรวมทวีตเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น จนกลายมาเป็น essay เล่มนึงครับ มีฉบับ Kindle ให้โหลดมาอ่านฟรีด้วย ลองดูได้ที่ http://www.quakebook.org/

#quakebook featuring Scala & Kolacny Brothers and Kings of Leon from Quakebook on Vimeo.

Saturday, June 4, 2011

Adele สาวน้อยมหัศจรรย์ (ของจริง)

Technorati Tags: ,

สำหรับคนที่ฟังเพลงทุกวันนี้ เวลาเปิดทีวีไป ก็คงไม่แคล้วจะได้เจอเจ้าแม่จอมเพี้ยนอย่าง Lady Gaga เด็กนรกอย่าง Justin Bieber รวมไปถึงศิลปินป๊อปหลากหลายที่อาศัย Auto-Tune แบบขาดไม่ได้ราวกับเป็นปอดข้างหนึ่งของพวกเขา นานๆจะมีศิลปินป๊อปคุณภาพให้เราได้ชื่นใจราวกับสายฝนกลางหน้าแล้ง และหนึ่งในนั้นคือ สาวน้อยที่เปี่ยมคุณภาพอย่างแท้จริงสมคำว่ามหัศจรรย์อย่าง Adele

adele

Adele (อเดล ชื่อเต็ม Adele Adkins) คือสาวน้อยที่เกิดและโตในกรุงลอนดอน มหานครแห่งสีสันและเสียงเพลงของประเทศอังกฤษ เธอเติบโตขึ้นมาโดยมี Spice Girls วง Girl Power ชื่อดังแห่งยุค และ Gabrielle เป็นแรงบันดาลใจไม่ต่างกับเด็กสาวคนอื่นที่เติบโตขึ้นมาในยุคนั้น เมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอก็เริ่มสนใจในดนตรี R&B จากการที่ไปหาเพลงฟังในร้าน HMV ในกรุง ลอนดอน

เธอเข้าเรียนและจบการศึกษาจาก The BRIT School for Performing Arts & Technology in Croydon โดยมีเพื่อนร่วมชั้นอย่าง Leona Lewis และ Jessie J จริงๆแล้วเธอตั้งใจจะเป็นแมวมองเพื่อส่งคนอื่นให้ดัง แต่โชคชะตาเล่นตลกกับเธอ เพราะว่า ผลงานโปรเจ็คต์จบที่เธอนำไปโพสต์ไว้บน MySpace ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เป็นเหตุให้แมวมองพุ่งมาหาเธอแทน และในที่สุด ค่ายเพลงสุดเจ๋งอย่าง XL Records ก็ได้ลายเซ็นของเธอไป

เพลงเปิดตัวเพลงแรกของเธอคือ Hometown Glory ในปี 2007 เพลงโซลเคล้าเสียงเปียโนที่โชว์พลังเสียงของเธอออกมาได้อย่างงดงามซึ่งเธอบรรจงแต่งขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งๆที่เธอเป็นเพียงเด็กสาววัย 18 เท่านั้น น้ำเสียงของเธอมันน่าทึ่งเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับอายุของเธอ มันคือเสียงของคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย และเปี่ยมไปด้วยพลังจนไม่น่าเชื่อว่ามันจะออกมาจากเด็กสาวคนนี้ แม้ตอนเปิดตัวทีแรกจะไม่ได้เปรี้ยงปร้างมาก แต่การที่ละครชุดสุดเปรี้ยวเรื่อง Skins เลือกมันไปประกอบในเรื่อง ทำให้เพลงนี้กลับขึ้นชาร์ตได้อีกครั้งในปีถัดมา

ePmy8smB-TP7uM

ซิงเกิ้ลต่อมาของเธอคือความยอดเยี่ยมอย่างสมบูรณ์แบบ เพลง Chasing Pavements นั้นคือเพลงโซลที่ส่งเสียงร้องบาดหัวใจได้อย่างงดงาม มันคือเสียงร้องของความสับสนระหว่าการเลือกการพ่ายแพ้กับการเดินหน้าโดยไม่ทราบว่าจะต้องผิดหวังหรือไม่ ส่วนของภาคดนตรีนี้ Adele โชว์พลังของการตีความเนื้อเพลงและร้องมันออกมาได้ดังที่มันควรเป็นจริงๆ ส่วนซิงเกิ้ลที่ 3 Cold Shoulder ก็เป็นเพลงโซลที่จังหวะสนุกสนานขึ้นมาสมกับทีได้ Mark Ronson มาโปรดิวซ์ให้

ด้วยความยอดเยี่ยมของซิงเกิ้ลเหล่านี้ ไม่แปลกอะไรที่อัลบั้มเปิดตัวของเธอ ที่ชื่อ 19 (ตามอายุ) จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และเธอก็ได้ถูกคาดหมายเป็นศิลปินอังกฤษที่มาแรงสุด โดยถูกยกไปเทียบกับรุ่นพี่อย่าง Amy Winehouse รวมไปถึงมีโอกาสที่จะเจาะเข้าไปในตลาดอเมริกา

น่าเสียดายที่ความเป็นเด็กของเธอ ทำให้เธอเลือกยกเลิกทัวร์อเมริกาในปี 2008 เพื่อที่จะใช้เวลากับแฟนหนุ่ม (ซึ่งเธอรู้สึกเสียใจในภายหลัง) แต่เธอโชคดีที่มีโอกาสไปแสดงในรายการ Saturday Night Live ในคืนที่ Sarah Palin มาออกรายการเตรียมการเลือกตั้งพอดีจึงมียอดผู้ชมสูงมาก และมันก็ถีบให้เพลงของเธอขึ้นอันดับหนึ่งชาร์ตของ iTunes ในวันถัดมาเลยทีเดียว

63225112

หลังจากความสำเร็จจากอัลบั้มแรกและเธอเริ่มเติบโตขึ้น Adele ก็กลับมาสู่วงการในปี 2010 ด้วยเพลง Rolling in the Deep ซิงเกิ้ลแรกของเธอจากอัลบั้มใหม่ของเธอ และมันกลายเป็นเพลงฮิตในทันที ครั้งนี้ เธอเลือกเปลี่ยนแนวจากเพลงโซลธรรมดา แต่ใส่จังหวะที่มันเร็วขึ้นด้วยจังหวะกลองที่ย่ำอย่างไม่หยุดหย่อน จนทำให้เราแอบนึกไปถึง The White Stripes ไม่น้อย และยิ่งถ้าได้ดู MV ประกอบไปด้วย บอกได้คำเดียวว่าทรงพลังจริงๆ สมกับเป็นผลงานโปรดิวซ์ของพ่อมดอินดี้อย่าง Paul Epworth

อัลบั้มเต็มชุดที่สองของเธอ 21 (ตามอายุอีกแล้ว) ออกวางขายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมันกลายเป็นความสำเร็จที่งดงามจริง เพราะมันค้างอยู่ที่อันดับหนึ่งของชาร์ตอัลบั้มของอังกฤษหลายสัปดาห์เลย (ก่อนจะเสียอันดับให้ Lady Gaga) ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรจริงๆครับเพราะว่ามันคืออัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงชั้นเยี่ยม อย่าง Set Fire to the Rain ซิงเกิ้ลที่ 3 โชว์พลังเสียงของเธอออกมาได้อย่างอลังการ และ Turning Tables ที่เปล่งเสียงแห่งความชอกช้ำออกมาได้อย่างงดงามและทรงพลังจริงๆ แต่สำหรับผมแล้ว เพลงที่ยอดเยี่ยมเอามากๆคือ Someone Like You เพลงที่สรุปเนื้อหาของความรักอันเจ็บช้ำออกมาได้เป็นอย่างดี และแทบจะเรียกได้ว่าเธอใส่วิญญาณของเธอเข้าไปในเพลงนี้จริงๆ ดูได้จากตอนที่เธอไปร้องเพลงนี้ในงาน Brit Awards ครังล่าสุด ที่เธออินกับเพลงแบบสุดๆจนกลายเป็นไฮไลต์ของงานไปเลยทีเดียว และพิธีกรถึงกับกล่าวว่า คุณอาจจะใช้แสงเสียงพลุไฟต่างๆนาๆมาประกอบการแสดงของคุณ แต่ถ้าคุณเจ๋งจริง คุณต้องการแค่เปียโนตัวเดียวเท่านั้น มันคืองานเพลงที่ปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆครับ

Adele คือสาวน้อยมหัศจรรย์ของจริง เพราะไม่เพียงแต่พลังเสียงอันยอดเยี่ยม แต่เธอยังแต่งเพลงของเธอเอง ไม่ต้องรอค่ายเพลงป้อนให้ ทำให้เรามีความสุขกับการเฝ้ารอฟังงานเพลงของเธอต่อไปจริงๆครับ