Saturday, February 26, 2011

British Sea Power อินดี้คุณภาพ

Technorati Tags: ,

ไม่นานมานี้ ผมได้ซีดีมาแผ่นนึง ที่ทำให้ผมอยากเขียนถึงวงดังกล่าวมาก เพราะว่า แม้จะเป็นวงที่ไม่ได้ดังมากนัก (โดยเฉพาะในบ้านเรา) แต่เป็นวงอินดี้มีคุณภาพมากๆ และยังอยู่อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าวงอื่นหลายวงจะจากวงการไปแล้วก็ตาม พวกเขาคือ British Sea Power ครับ

British Sea Power กำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเด็กหนุ่มจาก Kendal นั่นคือ Yan (ยาน ร้องนำ กีตาร์) ที่เป็นพี่น้องกับ Hamilton (แฮมิลตัน เบส) และเพื่อนกับ Wood (วู้ด กลอง) พวกเขาเล่นกันในวงนั้นวงนี้ ก่อนที่ยานจะเข้ามกาวิทยาลัย และพบกับ Noble (โนเบิ้ล กีตาร์) และตั้งวงขึ้นมา และดึงเพื่อนเก่าสองคนเข้าร่วม และก็ค่อยดึงเอา Abi Fry (เอบี้) มาเล่นวิโอล่าให้กับวง

bsp1

พวกเขาเริ่มผลิตเดโม โดยเรียกตัวเองว่า British Sea Power และย้ายมา Brighton เดโมที่ผลิตขึ้นมานั้น ต่อมามันจะกลายเป็นเพลงในอัลบั้มที่ชื่อว่า Carrion พวกเขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากการจัดปาร์ตี้ของตัวเองที่เรียกว่า Club Sea Power ที่มีวงหลากหลายสไตล์เข้าร่วม (วงในอังกฤษชอบทำครับ ที่ดังๆก่อนหน้านี้ก็อย่าง Kaiser Chiefs ก็ชอบทำ ไม่เหมือนบางประเทศ ที่ร้องเพลงคนอื่น เอาขึ้น youtube แล้วดังได้ ความสร้างสรรค์มันต่างกันครับ)

พวกเขาออกซิงเกิ้ลแรก Fear of Drowning ในปี 2001 ซึ่งเป็นเพลง post-punk เต็มไปด้วยเสียงกีตาร์ที่ไพเราะไปทั้งเพลง และโครงสร้างเพลงที่แสนอลังการ และจากการแสดงสดของพวกเขา ทำให้พวกเขาไปเข้าตาแมวมองของค่ายเพลง Rough Trade สุดเท่ และก็ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินของค่ายไป

และก็เป็น Rough Trade นี่เอง ที่ให้โอกาสพวกเขาออกอัลบั้มแรกในปี 2003 ชื่อ The Decline of British Sea Power ที่กลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จแบบปากต่อปากไป แม้จะไม่ได้ทำยอดขายได้แบบโดดเด่น แต่มันก็มีหลายเพลงที่ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลและทำอันดับได้ดี ไม่ว่าจะเป็น Remember Me ที่เป็นเพลงกีตาร์สุดเท่ห์และอลังการ ชวนนึกถึง Echo and the Bunnymen อีกเพลงที่เดินมาในแนวทางเดียวกันคือ The Lonley เพลงที่เป็นซิงเกิ้ลแต่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มฉบับขายในอังกฤษอย่าง Childhood Memories ก็ยอดเยี่ยมจนเล่นเอาผมตะลึงไปเลยครับ จริงๆแล้วผมได้ฟังเพลงนี้ตั้งแต่ยังเป็นเดโมตัวอย่าง และทำให้สนใจวงนี้ขึ้นมาทันที เสียดายที่พวกเขาไม่เอาใส่ไว้ในอัลบั้มด้วย ส่วนซิงเกิ้ลที่ทำยอดขายได้ดีสุด คงเป็น Carrion ที่ผมเคยบอกไป เสียงแหบสเน่ห์ของยานนี่เท่มากๆครับ ส่วนเพลงที่ควบกันมาอย่าง Apologies To Insect Life ก็เป็นเพลงโพสต์พังค์ที่ค่อนข้างจะดุเดือด บ้าคลั่ง เหมือนกับ Joy Division ครับ The Decline of British Sea Power อาจจะไม่ใช่งานที่คุณหลงรักทันที เป็นเป็นงานที่จะค่อยๆซึมเข้ามาในชีวิตคุณครับ

นอกจากโทนเพลงที่ทำให้พวกเขาออกจะแตกต่างจากวงเน้นบันเทิงแบบที่ฮิตกันในยุคนั้น (ดู The Libertines และวงอื่นที่มี The) เวลาพวกเขาเล่นสด พวกเขาชอบตกแต่งเวทีด้วยนกสตัฟฟ์เต็มไปหมด บางทีก็ทำเหมือนค่ายหลบภัยยุคสงคราม และที่ขาดไม่ได้คือ พวกเขาชอบแต่งตัวในเครื่องแบบทหารยุคสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของวงไป

หลังจากความสำเร็จของชุดแรก พวกเขาก็ออกงานชุดที่สอง Open Season ในปี 2005 ที่มันก็ยังได้รับคำชมเหมือนงานชุดแรกและยังมีซิงเกิ้ลที่ฟังง่ายขึ้นอย่าง It Ends in Oily Stage ที่ทำให้ช่วยให้วงประสบความสำเร็จในวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงเพลงอย่าง Please Stand Up ที่ชวนให้ฮึกเหิมอีกด้วย

พวกเขาประสบความสำเร็จสูงสุดกับงานชุดที่ 3 ชื่อ Do You Like Rock Music? ในปี 2008 ที่เป็นงานที่ยอดเยี่ยมเข้าถึงง่าย และต้องขอบคุณซิงเกิ้ลที่สุดทรงพลังอย่าง Waving Flags ที่ทั้งอลังการและงดงามอย่างไร้ที่ติ มันใช้โครงสร้างเพลงคล้ายกับเพลงปลุกใจ และควรจะถูกนำไปใช้เชียร์ทีมชาติอังกฤษเสียเหลือเกินครับ อีกซิงเกิ้ลอย่าง No Lucifer เองก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และพวกมันก็ช่วยส่งอัลบั้มนี้ขึ้นไปติด Top 10 อัลบั้มของเกาะอังกฤษจนได้

หลังจากนั้นพวกเขาไปทำเพลงบรรเลงประกอบDVDสารคดีเก่าเก็บเรื่อง Man of Aran ก็อาร์ตไปอีกแบบครับ และมาออก EP ที่ชื่อ Zeus ในปีที่แล้ว ที่จะมีเพลง Cleaning the Rooms ไปรวมในอัลบั้มใหม่

british-sea-power-valhalla-dancehalla

และในที่สุด ปีนี้ ค่าย PMD บ้านเราก็ออกวางขายอัลบั้มล่าสุดของพวกเขา Valhalla Dancehall ที่นำมาด้วยซิงเกิ้ลที่แสนยอดเยี่ยมอย่าง Living is So Easy ที่ได้เสียงคีย์บอร์ดมาสร้างบรรยากาศในเพลงได้อย่างดี และเพลงที่ชวนแหกปากตามอย่าง Who’s In Control? ที่ปลุกวิญญาณขบถในตัวขึ้นมาได้ดีจริงๆครับ Mongk II ก็เท่ไม่เบาครับ ส่วน We Are Sound ก็มากับเสียงกีตาร์แตกพร่าแบบที่ทำให้เราหลงรักพวกเขามาตลอด

Vahalla Dancehall คืองานที่ทำให้เรายังคงรักและอยากเชียร์วงอินดี้ที่โคตรเท่วงนี้ต่อไป แม้พวกเขาจะไม่เข้าข่ายวงประเภทฮิปสเตอร์ แต่นั่นแหละที่ทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขาคือของจริงที่สามารถยืนหยัดในวงการนี้มาได้อย่างยาวนานในขณะที่ฮิปสเตอร์กลับบ้านกันไปหมดแล้ว

Remember Me
Carrion
It Ended in an Oily State
Waving Flags
No Lucifer
Living Is So Easy

No comments: