Monday, August 30, 2010

Avenged Sevenfold ลาก่อนเพื่อนรัก

Technorati Tags: ,

ในวงการเพลง หลายครั้งที่การจากไปของสมาชิกวงหมายถึงความล่มสลายของวงไปตลอดการ แต่สำหรับอีกหลายๆวง มันอาจจะเป็นการเดินหน้าไปในทิศทางใหม่ หรือสำหรับบางวง ก็ต้องมุ่งมั่น เดินหน้าต่อไปใน เพื่อทำหน้าที่แบกเจตนารมย์ของเพื่อที่จากไปต่อไป และ Avenged Sevenfold ก็เป็นหนึ่งในนั้น

A7X (ชื่อย่อของวง) เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ M. Shadows (ร้องนำ) Zacky Vengeance (กีตาร์) The Rev (กลอง) และ Matt Wendt (เบส) ตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยม และพวกเขาตัดสินใจที่จะทำผลงานเพลงร่วมกัน พวกเขาเริ่มอัดเดโมตั้งแต่ตอนนั้น จนพวกเขาได้สัญญากับค่ายเพลงอินดี้และได้ออกผลงานชุดแรกที่ชื่อ The Sound of Seven Trumpet ในปี 2001 ก่อนที่จะได้ Synyster Gates มาเล่นกีตาร์เพิ่มอีกแรง ทำให้พวกเขาตัดสินใจอัดอัลบั้มเดิมอีกครั้งเพื่อให้แน่นขึ้นและออกขายใหม่ในปี 2002Avenged-Sevenfold

The Sound of Seven Trumpet เป็นการเปิดตัวอย่างสวยงามของ A7X เพราะเมื่อตอนที่พวกเขาอัดอัลบั้ม พวกเขายังอายุแค่ 18 ปี และยังเรียนมัธยมอยู่แท้ๆ แต่กลับสร้างผลงานเพลงที่ต้องทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายต้องตกตะลึง เพราะพวกเขานำเอาเพลงเฮวี่เมทัลแบบคลาสสิกมาปรับปรุงใหม่ให้เป็นแนวเพลงของพวกเขา มันจึงเป็นส่วนผสมของความหนักหน่วง และแน่นแบบวงร๊อครุ่นใหม่ แต่ไม่ลืมไลน์กีตาร์ที่แสนสวยราวกับเป็นการผสมพันธุ์กันอย่างลงตัวของเทวาและซานตาน บอกตรงๆว่าแค่ท่อนอินโทรเพลงแรกอย่าง To End The Rapture ก็ทำให้ผมนึกไปถึงการผสมผสานกันอย่างลงตัวของมือกีตาร์คู่อย่าง Glen Tipton และ K.K. Downing ของ Judas Priest ที่ผมโปรดปรานมาตั้งแต่สมัยยังเด็กเลยทีเดียว เพลงอย่าง Darkness Surrounding ก็หนักหน่วงสะใจตั้งแต่นักร้องเริ่มสำรอกออกมาเลยครับ อีกเพลงที่ผมว่าหนักกะโหลกไม่แพ้กันคือ We Come Out at Nightที่สับเอาอย่างไม่ยั้งเลยครับ

เมื่อเปิดตัวได้อย่างงดงาม พวกเขาก็กลับมามุ่งมันทำงานเพลงต่อ และเมื่อได้มือเบสคนใหม่ Johnny Christ มาร่วมงานแทน พวกเขาก็เดินหน้าออกอัลบั้มที่สอง Waking The Fallen ในปี 2003 กับค่ายเพลงอินดี้อีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทำเพลงในแบบของพวกเขาออกมาได้โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ เพลงอย่าง Second Heartbeat ที่เร็วและหนักหน่วงเหมือนกับที่ Megadeath ถนัด เช่นเดียวกับอีกซิงเกิ้ล Unholy Confessions ที่เป็นการสลับการเล่นแบบหนักและเร็วได้อย่างลงตัว8

จากความสำเร็จของสองอัลบั้ม ทำให้พวกเขาได้โอกาสเซ็นสัญญาเข้าค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Warner และพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ค่ายเพลงผิดหวัง เนื่องจากอัลบั้มที่สามของพวกเขา City of Evil ในปี 2005 กลายเป็นความสำเร็จอย่างงดงาม และเป็นการเปิดตัวพวกเขาในวงกว้างได้อย่างดี ตัวอัลบั้มเป็นการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับงานเพลงที่ผ่านมา พวกเขากันไปสู่แนวทางเมทัลแบบคลาสสิกมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนภาคการร้องก็เปลี่ยนไปเยอะเมื่อพวกเขาทิ้งการสำรอกและตะโกนออกไป และเปลี่ยนมาสู่เสียงร้องที่รายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม สังเกตได้ตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Beast And The Harlot ที่เป็นเพลงเมทัลคลาสสิกที่ชนะใจได้ทั้งแฟนเพลงรุ่นใหม่และคอเมทัลรุ่นเก่า (แบบผม) นอกจากนี้ยังมีเพลงอย่าง Seize The Day ที่ทำให้ผมนึกไปถึง Chris Corenell ตะหงิดๆเลยทีเดียวเพราะโทนเสียงร้องคล้ายกันมากครับ City of Evil คืองานเพลงเมทัลที่ได้รับการสร้างสรรค์มาเป็นอย่างดีและเก็บรายละเอียดได้แบบทุกเม็ดเลยทีเดียว และมันก็เป็นงานเพลงที่ขายดีที่สุดของพวกเขา

พวกเขากลับมาอีกในปี 2007 กับอัลบั้ม Avenged Sevenfold ที่ยังเป็นงานที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้งานชุดที่แล้ว แต่ละเพลงยังเต็มไปด้วยความหนักหน่วง รวดเร็ว และเปี่ยมรายละเอียดเหมือนเดิม ตัวอย่างที่ชัดคือ Almost Easy ที่มันโคตร เช่นเดียวกับ After Life มีริฟฟ์ที่ดุเดือดพอจะถล่มภูเขาลงมาได้เลย และพวกเขายังทำเพลงช้า Dear God ที่มีกลิ่นคันทรี่หน่อยๆออกมาให้แฟนเพลงได้ลิ้มลองอีกรสชาติด้วย

ดูเหมือนว่าอะไรต่อมิอะไรจะไปได้สวยสำหรับพวกเขา แต่ในเดือนธันวาคม ของปีที่แล้ว The Rev กับเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ซึ่งผลออกมาว่าเป็นเพราะการเสพยามากเกินไป ทำให้วงตกอยู่ในสภาพช๊อค แต่สุดท้าย พวกเขาก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อเพื่อเพื่อนที่จากไป และดึงเอา Mike Portnoy แห่ง Dream Theater มาช่วยเล่นกลองให้ จนออกมาเป็นอัลบั้ม Nightmare ที่ออกวางขายในปีนี้20594_AvengedSevenfold

และพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้แฟนๆผิดหวัง Nightmare ยังเป็นอัลบั้มที่ไม่ทิ้งลาย A7X จริงๆ ความหนักหน่วงเรวดเร็วและสวยงามยังอยู่ครบในอัลบั้มครับ ซึ่งเราก็สัมผัสได้ตั้งแต่เพลง Nightmare เปิดอัลบั้มเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าในอัลบั้มนี้ จะมีด้านที่เศร้าเพิ่มเข้ามาด้วย เพลงอย่าง So Far Away แม้จะหนัก แต่เสียงกีตาร์ที่กรีดออกมานั้นช่างเต็มไปด้วยความเหงา เช่นเดียวกับ Victim แต่ก็ไม่ต้องห่วงครับ หลายเพลงในอัลบั้มยังมันสะใจเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น Danger Line ที่ได้เสียงประสานชั้นเยี่ยมมาสร้างบรรยากาศ ส่วน God Hates Us ก็หนักหน่วงปานก๊อดซิลล่าถล่มโตเกียวเลยทีเดียว เล่นเอาอยากเห็นคนมอชกับเพลงนี้จริงๆครับ

A7X ได้เสียสมาชิกของวงไป แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปโดยรับช่วงต่อความฝันที่ค้างไว้ของเพื่อนและสานต่อความฝันนั้นได้อย่างสวยงาม โดยมีอัลบั้ม Nightmare เป็นเหมือนกันจารึกหลุมศพให้แก่เพื่อนที่จากไป

Sunday, August 22, 2010

Korn: กลับมาอย่างงดงาม

Technorati Tags: ,

ในตอนที่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด ผมใช้เวลากลับไปดูรูปเก่าๆที่เคยถ่ายไว้ ทำให้นึกถึงอดีตวันวานของตัวเองขึ้นมา บางที ยังสงสัยว่าทำไมแต่งตัวแบบนั้นไปได้ สมัยนักศึกษา ผมนิยมใส่กางเกงตัวหลวม เสื้อยืดตัวยาวๆ กับเสื้อแจ๊คเก็ตกีฬา พอมานึกอีกที ก็เป็นเพราะอิทธิพลของวงดนตรีที่ฟังในสมัยนั้นอย่างวงนิวเมทัลชื่อดังอย่าง Korn

Korn เกิดขึ้นจากซากของวง LAPD ที่แตกไป สมาชิกวงอย่าง Reginald ‘Fieldy’ Arvizu (ฟิลดี้ เบส) James ‘Munky’ Shaffer (มังกี้ กีตาร์) และ David Silveria (เดวิด กลอง) พยายามสานวงต่อ และได้รับเอา Brian ‘Head’ Welsh (เฮด กีตาร์) กับนักร้องอีกคนเข้ามา แต่พวกเขาก็ไม่พอใจและไล่นักร้องคนนั้นออก ก่อนจะไปเจอกับ Jonathan Davis (โจนาธาน) นักร้องของวง Sexart จึงไปดึงตัวเข้ามาร่วมวง และเมื่อซ้อมเริ่มกัน พวกเขาก็ได้เลือกเชื่อวงว่า Korn จากการตั้งใจสะกดคำว่า Corn ให้ผิดนั่นเอง

พวกเขาได้เจอกับ Ross Robinson ผู้ที่จะกลายเป็นโปรดิวเซอร์ระดับตำนานต่อไป จนได้อัดเดโมอัลบั้ม แต่ก็ไม่ค่อยมีค่ายเพลงสนแนวเพลงลูกผสมของพวกเขา เพราะตอนนั้นทุกคนเห่อแต่เพลงกรันจ์ แต่สุดท้าย พวกเขาก็ได้สัญญากับค่าย Epic ที่ประทับใจผลงานของพวกเขา และพวกเขาก็เริ่มออกลุยทันที0019-korn3_3

งานชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวงออกวางขายในปี 1994 และความแปลกใหม่ที่เกิดจากการผสมดนตรีหลายแนวเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็น ทั้งเสียงกีตาร์แบบเฮวี่เมทัล เบสแบบฟังค์ กับจังหวะและการร้องแบบฮิพฮอพ ทำให้พวกเขาเป็นที่สนใจของแฟนดนตรี ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Blind ที่แสนโหดสะใจก็ช่วยให้พวกเขาเปิดตัวได้อย่างงดงามจริงๆ และซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Shoots and Ladders ที่เอาเพลงเด็กมาทำใหม่อย่างโหดก็ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเพลงสุดมันอย่าง Ball Tongue และ Lies ที่แหกปากอย่างสุดมัน รวมไปถึง Faget ที่เกี่ยวกับอดีตที่ไม่น่าจดจำนัก Korn กลายเป็นงานที่เปิดตัวพวกเขาได้อย่างงดงามและเป็นการแผ้วถางทางให้กับแนวเพลงที่จะเป็นที่รู้จักในนาม Nu-Metal ต่อไป

หลังจากออกทัวร์กับวงรุ่นพี่ พวกเขาก็กลับมาตั้งใจทำงานเพลง จนกลายเป็น Life is Peachy ในปี 1996 ซึ่งเป็นงานที่หนักไปทางฟังค์มากกว่าชุดแรก ยกตัวอย่างเช่นเพลง Porno Creep หรือ Wicked และ Low Rider ที่เป็นงานคัฟเวอร์ทั้งสองเพลง แต่มันก็ยังมีเพลงหนักๆอย่ากง No Place to Hide ที่ยังหนักหน่วงเช่นเคย รวมไปถึง A.D.I.D.A.S. ที่ชวนร้องตะโกนอย่างสะใจตามว่า All Day I Dream About Sex และงานชุดนี้ก็ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม

ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของเขามาถึงเมื่อออกอัลบั้มที่ 3 ชื่อ Follow the Leader ในปี 1998 ที่พวกเขาทั้งร่วมงานกับนักวาดการ์ตูนระดับเทพอย่าง Todd McFarlane และการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างชาญฉลาดในการสื่อสารกับแฟน รวมไปถึงซิงเกิ้ลเปิดตัวที่สุดมันอย่าง Got A Life ทำให้พวกเขาดังเป็นพลุแตก รวมไปถึง Freak on a Leash ที่ได้เข้าชิงรางวัลหลายรายการ และยังมีเพลงมันๆอย่าง Children of the Korn อีกด้วย นอกจากนี้ พวกเขายังประสบความสำเร็จในการจัดทัวร์ที่ชื่อ Family Values ที่มีวงหน้าใหม่ (ในตอนนั้น) อย่าง Limp Bizkit, Incubus และ Orgy อีกด้วย จนพวกเขากลายเป็นวงระดับ Superstar ไปแล้วkorn-208279

แต่หลังจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ก็กลายเป็นความกดดันที่มีต่อพวกเขา พวกเขาออกอัลบั้มที่ 4 Issues ในปี 1999ท ที่ลดอิทธิพลฮิพฮอพออก และหันไปเน้นทางร๊อคมากขึ้น และมันก็ทำยอดขายได้ดีจากเพลงเด่นๆอย่าง Falling Away from Me

ปี 2002 พวกเขาออกงานใหม่ Untouchables ที่เป็นงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มาก แต่ทำยอดขายได้ในระดับไม่เลวนัก ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มกลายเป็นวงที่เริ่มล้าสมัยไป โดยงานที่ออกตามมาอย่าง Take a Look in the Mirror (2003) See You on the Other Side (2005) และ Untitled (2007) ก็เป็นงานธรรมดาๆไป

แต่ในปีนี้ พวกเขากลับมากับอัลบั้มใหม่ Korn III: Remember Who You Are ที่กลายเป็นงานที่ยอดเยี่ยมอย่างที่ขนาดผมเองยังคาดมาถึง พวกเขากลับสู้รากแห่งความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาโดยครั้งนี้เพิ่มประสบการณ์ที่ผ่านมาสิบกว่าปีเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ลแรกอย่าง Oildale ที่หนักหน่วงโครมครามไม่ยั้ง หรือเพลงต่อมาอย่าง Pop a Pill ชวนให้แหกปากตามจริงๆ จนเผลอนึกว่าตัวเองยังอายุ 18 หรือ Let The Guilt Go ที่เป็นเพลงที่จะเรียกให้ทุกคนมา Mosh กันได้อย่างเมามันจริงๆ ส่วน Are You Ready Live? ก็เป็นงานทีมืดหม่นสะใจตั้งแต่ริฟฟ์กีตาร์แรกเลย เช่นเดียวกับ Fear Is A Place To Live ที่สะใจไม่แพ้กัน

บอกตรงๆว่า Korn คือวงที่ผมเคยทิ้งไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่งานชุดที่ห้า แต่ว่า อัลบั้มใหม่ชุดนี้กลับเป็นการกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างงดงามของพวกเขา ไม่ต่างจากวิหกเพลิงที่พุ่งทะยานจากซากขี้เถ้าของตัวเองเลยครับ

Tuesday, August 17, 2010

Mystery Jets: ป๊ะป๋าขอแจม

Technorati Tags: ,

ในวงการดนตรีนั้น การร่วมงานทำดนตรีกันระหว่างพ่อลูก ก็มักจะเป็นแค่การร้องร่วมกันเฉพาะกิจเท่านั้น เช่นการร่วมงานกันของ Frank และ Nancy Sinatra ในเพลง Something Stupid หรือถ้าจะเอาแบบฉาวโฉ่หน่อยก็ Serge Gainsbourg กับ Charlotte ในเพลง Lemon Incest แต่ในวงการเพลงร๊อค การที่ร่วมวงกันกับพ่อแม่ตัวเองแทบจะเป็นเรื่องที่แทบจะหลุดจากจินตนาการไปเลย แต่ในที่สุดก็มีวงทำอย่างนั้นจนได้ นั่นคือ The Mystery Jets นั่นเองmystery_jets2

The Mystery Jets เริ่มเป็นตัวเป็นตนมาได้เกิน 10 ปีแล้วเมื่อ Blaine Harrison (เบลน ร้องนำ คีย์บอร์ด) พบกับ William Rees (วิลเลี่ยม กีตาร์ร้องนำ) ในช่วงวัยเด็ก และเมื่อทั้งคู่รู้ถึงความรักในดนตรีของแต่ละฝ่าย พวกเขาก็ตัดสินใจตั้งวงดนตรีขึ้น โดยไลน์อัพแรกนั้น วิลเลี่ยมเล่นกีตาร์ เบลนเล่นกลองและร้องนำ โดยมี เฮนรี่ (Henry Harrison กีตาร์) พ่อแท้ๆของเบลนซึ่งรู้สึกถึงความรักในดนตรีของพวกเด็กๆ จึงหันมาร่วมเล่นเบสให้ด้วย ต่างกับพ่อหลายๆคนที่ห้ามลูกเล่นดนตรี และให้กันไปเรียนหมอ เรียนการเงิน เฮนรี่ไม่ได้แค่สนับสนุนในสิ่งที่ลูกรัก แต่กลับลงไปร่วมงานด้วยเต็มตัว (หรืออาจจะเป็นการเติมเต็มความฝันของตัวเองแทนหว่า) พวกเขาเรียกตัวเองว่า Misery Jets ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็น Mystery Jets เหมือนในปัจจุบัน เพราะเหตุที่ว่า เบลนชอบสะกดชื่อวงผิดนั่นเอง (คิดเอาเองครับว่ามันเด็กแค่ไหน) และเพิ่มสมาชิกอีกสองนั่นคือ Kai Fish (ไค เบส) เขามารับหน้าที่เล่นเบส และเฮนรี่หันไปเล่นกีตาร์แทน และมีสาวน้อย Tamara เข้ามาเล่นคีย์บอร์ด พวกเขาทั้งห้าเริ่มอัดเสียงผลงานชิ้นแรก นั่นคือ Mystery Jets EP ซึ่งในตอนนั้นนอกจากเฮนรี่แล้ว สมาชิกทุกคนยังเป็นเด็กกะโปโลอยู่แต่ตัวดนตรีนั้น กลับเป็นเพลงPsychedelic ที่เหนือชั้น โดยเฉพาะ Moonlight Satellite แสนยาวเหยียดถึง 10 ทีจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นผลงานของเด็กวัยขนาดนี้mystery-jets

แต่พอออกEPได้ไม่นาน Tamara ก็ตัดสินใจลาออกจากวง และวงก็ได้ Kapil Trivedi (คาพิล) มาเล่นกลองแทนและกลายเป็นไลน์อัพที่สมบูรณ์ของวงไป พวกเขาออก EP ที่ชื่อ Eel Pie Island ซึ่งไปเข้าหูของแมวมองหายต่อหลายคน และกลายเป็นโอกาสให้ออกซิงเกิ้ล Zoo Time ผ่านค่าย Trangressive Records (อีกแล้ว) เป็นครั้งแรก และทำให้พวกเขากลายเป็นที่สนในของนักวิจารณ์เพลงทั้งหลาย เพราะความแปลกใหม่ของเพลงที่เป็นเหมือนกับการเอางาน Psychedelic เก่าๆมาปัดฝุ่นทำใหม่ให้เข้ากับยุคนี้ ทำให้พวกเขาได้สัญญาอย่างเป็นทางการกับตราแผ่นเสียง 679 Records

หลังจากสร้างชื่อมาได้ซักระยะ Mystery Jets ก็ได้ฤกษ์ออกอัลบั้มแรกในปี 2006 นั่นคือ Making Dens ด้วยการโปรดิวซ์ของ James Ford ที่ต่อมาจะโปรดิวซ์ Myth of the Near Future ของ Klaxons และ My Favorite Worst Nightmare ของArctic Monkey และ Making Dens ทำให้พวกเขากลายเป็นวงหน้าใหม่มาแรงแซงโค้งทันที เพราะความที่ดนตรีของพวกเขาแตกต่างจากวงหน้าใหม่อื่นๆในขณะนั้น (ซึ่งพยายามทำตัวเป็น New Libertinesกันซะหลายวง) เพราะพวกเขาหลงไหลกับความหลอนของดนตรี Psychedelic อย่างรุนแรง โดยมี Syd Barret (อดีตหัวหน้าวง Pink Floyd ยุคก่อนที่จะเป็น Progressive)เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้ซาวด์เพลงของพวกเขาออกจะหลุดไปจากวงอื่นๆ ซิงเกิ้ลอื่นๆจากอัลบั้มอย่าง The Boy Who Ran Away หรือ Alas Agnes ก็ชวนให้เรานึกไปถึง The Pipers at the Gates of Dawn จริงๆ แต่เพลงที่ทำให้เราต้องจดจำพวกเขาอย่างขึ้นใจก็คือ You Can’t Fool Me Dennis ที่แสนจะติดหูอย่างยอดเยี่ยมจนเราเผลอฮัมเพลงนี้เกือบทั้งเดือน เพลงๆนี้สามารถทำให้เราเสพติดมันในครั้งแรกที่ฟังได้ไม่ต่างจากการที่เด็กได้ลิ้มรสไอศกรีมเป็นครั้งแรก144795339_3a49f53cdb

พวกเขากลับไปตั้งใจทำอัลบั้มใหม่ แต่เฮนรี่ตัดสินใจถอนตัวจากการออกทัวร์กลับวง และเป็นสมาชิกที่ร่วมงานในห้องอัดแทน (แบบมือที่มองไม่เห็นรึเปล่า) และพวกเขาก็กลับมากับอัลบั้มใหม่ Twenty One ในปีนี้ ที่เป็นอัลบั้มที่เปิดแนวทางใหม่ๆให้พวกเขา ด้วยการโปรดิวซ์ของ DJ สุด Cool&Hip อย่างErol Alkan อัลบั้มนี้กลายเป็นงานเพลงป๊อปที่เจิดจรัสที่สุดภายในพ.ศ. นี้เลยก็ว่าได้ พวกเขาเปิดตัวซิงเกิ้ลเพลงหวานๆน่ารักอย่าง Young Love ที่ทั้งติดหูทั้งน่ารกจนเราอยากเอาไปร้องจีบสาว และเมื่อฟังทั้งอัลบั้มแล้ว ก็สัมผัสได้ถึงอิทธิพลของดนตรีป๊อปชั้นดีจากอดีตไม่ว่าจะเป็น Duran Duran หรือMichael Jackson ได้อย่างชัดเจน จนแทบทุกเพลงสามารถตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลได้หมดเลยจริงๆเช่น MJ เพลงที่กีตาร์สับไปสับมาเหมือนกับงานของ King of pop ในอดีต และ Half in Love with Elizabeth ก็ชวนเราแหกปากตามช่วง ลาล่าล่าล้า อย่างมาก และ ซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Two Doors Down ก็เป็น perfect pop ที่ไร้มลทินอย่างสิ้นเชิง ยังไม่นับปกซิงเกิ้ลที่แต่งตัวเลียนแบบDuran Duran ได้อย่างฮา (ดูรูปประกอบ) ความยอดเยี่ยมของงานชิ้นนี้ เรียกได้ว่า Twenty One ควรจะอยู่บนชั้นวางซีดีของทุกวิญญาณบนโลกนี้เลยl_197da984a1cdc7cb8bf2d008952abbbc

Mystery Jets เป็นวงที่ยังอายุน้อยแต่ผลงานของเขาเหมือนกับผ่านการบ่มกลั่นมาเป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ตั้งแต่วัยเด็ก และการชี้นำที่ดีด้วย และบางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่วัยรุ่นต้องการเป็นที่สุดก็ได้ครับ

 

ปล. เสริมหลังจากที่ผมเขียนบทความนี้มาแล้วเกือบสองปี ก็เอามาอัพขึ้นเว็บเพื่อให้เข้ากับวิจารณ์อัลบั้มล่าสุดก่อนหน้านี้ และผมก็พึ่งรู้ว่า Blaine มีโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ทำให้เดินไม่ได้ แต่ก็ได้พ่อคอยช่วยสนับสนุน พาไปซ้อมดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่มีการสนับสนุนที่ดีขนาดนี้ เข้าคงไม่มีโอกาสฉายแววขนาดนี้ครับ

Monday, August 16, 2010

รวมซีดีใหม่ๆ

หลังจากรับหน้าที่นี้มาเกือบสามปี วงที่เคยเขียนถึงแล้ว ก็ทยอยออกผลงานใหม่ๆมาเรื่อยๆ ทำให้ต้องมารวบเขียนเป็นรีวิวผลงานใหม่ๆแทน ซึ่งคราวนี้ก็เป็นคิวของงานรีวิวแล้วครับ

Mystery Jets – Serotonin 600px-Mystery-jets-serotonin-cover

งานชุดที่สามของเด็กหนุ่มทั้ง 4 จาก Eel Pie Island ที่เป็นหนึ่งในวงรุ่นน้อง The Libertines ไม่กี่วงที่ยืนหยัดได้อย่างงดงาม พวกเขาสร้างงานเพลงกีตาร์ป๊อปในแบบของพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยมในงานชุดที่แล้ว แต่กับงานชุดนี้ พวกเขาก้าวไปข้างหน้าด้วยการลดความเป็นป๊อปจ๋าแบบ Two Doors Down ไป แต่กลับมาด้วยความลุ่มลึกในงานเพลง ตามวัยของพวกเขา และเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวังก็ทำให้มันกลายเป็นอัลบั้มที่เปิดใจกับคนฟังมากที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำมา โดยเริ่มตั้งแต่เพลงแรก Alice Springs ที่เนื้อเพลงกล่าวว่า หากได้ความรักจากเธอแล้ว ชีวิตคงไม่มีอะไร มันเป็นเพลงร๊อคที่จังวะเร็วและยังมีความอลังการแบบที่ U2 หรือ Coldplay ถนัด แต่ถ้าคุณยังชอบเพลงแบบ Two Doors Down ก็ยังมี Show Me The Light ให้ได้สนุกกัน หรือเพลง Lady Grey และ Flash A Hungry Smile ที่ชวนให้คิดถึง Blur ยุคแรกๆ Dreaming Of Another World ซิงเกิ้ลแรกก็เป็นเพลงป๊อปชวนฝันได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ The Girl is Gone ก็เป็นเพลงง่ายๆที่เนื้อเพลงออกจะช้ำรักไปสักหน่อย ส่วนเพลงโปรดผมคงเป็น Serotonin ที่เท่และเซ็กซี่เหลือเกิน นอกจากนี้ยังมีเพลงอย่าง It's Too Late To Talk และ Melt ให้ได้ซึ้งกันอีกครับ งานชุดนี้ พวกเขาเติบโตขึ้นมาอย่างชัดเจนและแซงหน้าวงรุ่นเดียวกันไปเยอะจริงๆครับ และควรจะเป็นหนึ่งในงานเพลงชั้นยอดของปีนี้เลยทีเดียวครับ

MIA – Maya 1275398996-mia-maya-cover

อัลบั้มชุดที่สามของแม่สาวที่แสนจะก๋ากั๋นคนนี้ ที่ตั้งแต่ปกก็ดูน่าสนุกแล้วที่เธอเอาสิ่งที่เราคุ้นเคยดีมาล้อเล่นแบบนี้ และอัลบั้มนี้ก็เป็นงานที่พัฒนาเธอไปอีกขึ้นหนึ่งและทำให้เราได้รู้ว่าเธอยังมีของดีที่จะปล่อยออกมาเรื่อยๆ แค่เพลงเปิดตัว The Message ที่เหมือน ARE Weapons มาร้องเสียดสีรัฐบาลก็ชวนทึ่งแล้วครับ ช่วงต้นของอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงที่เอาจังหวะโครมครามจากนรกมาขยำให้เราได้ฟังกัน ตั้งแต่ Steppin Up ที่โครมครามได้ใจเหลือเกิน XXXO ก็เป็นงานเพลงเต้นรำที่เต็มไปด้วยเสียงประกอบสุดเท่ ส่วน Teqkilla และ Lovalot ก็ยังโครมครามราวกับงานเลี้ยงของชาวเผ่าที่บ้าคลั่ง ส่วนช่วงหลังอัลบั้ม เพลงออกจะผ่อนคลายกว่าเดิม เช่น It Takes A Muscle ก็เป็นเรกเก้ Dub ที่ฟังเอาเพลินได้สบายๆ เช่นเดียวกับ Tell Me Why ที่เหมือนักบวชอินเดียฟัง Echo Dek แต่เธอก็ไม่ปล่อยให้เราผ่อนคลายนานครับ ยังมาปล่อยอาวุธหนักใน Meds And Feds ที่ทั้งหนักจากจังหวะและเสียงกีตาร์กรีดสมอง เช่นเดียวกับ Born Free ที่เหมือนงาน No Wave เก่าๆ แม้ Maya จะไม่มีเพลงเซ็กซี่แบบ Jimmy ในชุดที่แล้ว และค่อนข้างเครียดขึ้น แต่มันก็ยังเป็นผลงานของอัจฉริยะตัวจริงที่เราไม่ควรพลาดครับ

RPA & The United Nations Of Sound - United Nations Of Sound RPA_And_The_United_Nations_Of_Sound-United_Nations_Of_Sound.big

หรือ งานเดี่ยวชิ้นที่ 4 ของ Richard Ashcroft นักร้องนำวง The Verve บุรุษผู้มีอีโก้ใหญ่คับเวที ที่เขาเลือกใช้ชื่อนี้แทนในการทำผลงานชิ้นนี้น่าจะมาจากสาเหตุที่ว่า เขาอยากจะทำงานเพลงตามแนวเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจกับเขา มากกว่าที่จะทำเพลงแบบที่เคยทำมา จึงเลือกที่จะเปลี่ยนเป็นสหประชาชาติแห่งเสียงแทน ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เพราะหากได้ฟังทั้งอัลบั้มแล้ว มันคือการขยายขอบเขตงานเพลงของเขาออกไปในหลายๆด้าน จนไม่ควรจะติดอยู่กับชื่อ Richard Ashcroft จริงๆ Are You Ready ที่เป็นเพลงเปิดตัว ก็คือเพลงในแบบของเขาที่เพิ่มความอลังการของเครื่องสายเข้ามา ส่วนซิงเกิ้ลต่อไปอย่าง Born Again ก็เพิ่มวงประสานเสียงเข้าไปอีกที ในขณะที่หลายเพลงได้อิทธิพลโซลอย่าง Marvin Gaye อย่างชัดเจน เช่น Good Lovin' และ Life Can Be So Beautiful ส่วน How Deep Is Your Man ก็เป็นงานเพลงบลูส์แบบคลาสสิก ในขณะที่ Beatitudes ก็เป็นเพลงฟังดูเหมือนงานของ Rolling Stones เอาซะมาก และยังมีเพลงบัลลาดอย่าง She Brings Me The Music เรียกได้ว่างานชุดนี้คืองานต้มยำรวมมิตรแนวเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Richard Ashcroft จริงๆ แทนที่จะเลือกเพลงโปรดมาทำอัลบั้มรวมเพลงแบบ Back on the Bus หรือ Back to Mine เขากลับเลือกทำงานเพลงนั้นออกมาเองเลยครับ น่าสนใจเอาเรื่องทีเดียว

Monday, August 9, 2010

Scissor Sisters รวมพลังชาวสีม่วง

Technorati Tags: ,

จริงๆ เรื่องนี้ ต้องลงตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่ผมสลับเอาเรื่องของคอนเสิร์ตของวง Coheed and Cambria ที่เขียนเสร็จก็ยกเลิกทันที เสียหน้าไปเล็กน้อยครับ เอาเป็นว่า ไปเจอกับวงแต๋วแตกอย่าง Scissor Sisters ที่ควรจะได้อ่านตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วก็แล้วกันครับ

Scissor Sisters เริ่มต้นจากการย้ายจากบ้านเกิดที่เคนตักกี้มาอยู่นิวยอร์กของสองเกย์ Jakes Shears (เจค ร้องนำ) กับ Scott ‘Babydaddy’ Hoffman (เบบี้แดดดี้ เบส และอื่นๆ) ซึ่งพวกเขาประทับใจบรรยากาศที่เปิดเสรีให้แก่ชาวเพศที่สองอย่างพวกเขามากกว่าในบ้านเกิด และเริ่มทำงานเพลงกันก่อนไปเจอ Ana ‘Ana Matronik’ Lynch (แอนา มาโทรนิค ร้องนำ ซินธ์) ที่ดิสนีย์แลนด์ และได้ดึงเธอมาร่วมวงอีกคน และเรียกตัวเองว่า Scissor Sisters โดยหั่นชื่อเดิมก่อนหน้าให้สั้นลง

ต่อมา พวกเขาได้ Derek ‘Del Maquis’ Gruen (เดล มาคี) เพื่อนของคู่ขาเจคมาเป็นมือกีตาร์ และก็ได้ Patrick ‘PaddyBoom’ Seacor (แพดดี้บูม) หนึ่งเดียวในวงที่เป็นชายแท้มาเล่นกลองให้ (เขาต้องอธิบายให้แม่เข้าใจว่า ไม่ได้เป็นเกย์ และไม่ได้เป็นวงเกย์ แต่มีเกย์เป็นสมาชิกวง) และแล้ว Scissor Sisters ก็ครบคนแล้วScissor Sisters

หลังจากได้สัญญากับค่ายเพลงเล็กๆในนิวยอร์ก พวกเขาก็ออกซิงเกิ้ลแรก Elctrobix ที่น่าเสียดายที่มันไม่ดังเท่ากับเพลงแถมของมัน Comfortably Numb ที่คัฟเวอร์เพลงเก่าของ Pink Floyd กลายเป็นเพลงดังประจำคลับและ Pink Floyd ก็ชอบเพลงของพวกเขาด้วย

ต่อมาพวกเขาก็ออกเพลงป๊อปที่มีกลิ่นดิสโกเท่ห์อย่าง Laura ออกมา และกลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตในเกาะอังกฤษที่พวกเขาได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาออกเพลง Comfortably Numb มาเป็นซิงเกิ้ลออีกรอบ ตามมาด้วยเพลง Take Your Mama ที่เกี่ยวกับการพาแม่ไปเที่ยวคลับเกย์ เพื่อสารภาพว่าลูกชายเป็นเกย์นะฮะ ซึ่งมันก็ได้รับความนิยมอย่างมากอีกเช่นกัน

พวกเขาตามความสำเร็จด้วยการออกอัลบั้มเต็ม ชุดแรกที่ชื่อ Scissor Sisters เหมือนวงในช่วงต้นปี 2004 และมันก็ทำยอดขายได้ถล่มทลายเป็นที่อิตไปทั่วเกาะอังกฤษ ถึงขนาดขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่ง และที่อเมริกาบ้านของพวกเขาก็ขึ้นอันดับหนึ่งชาร์ตเพลงเต้นรำเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างมาก เมื่อเทีบยบกับภาพลักษณ์ของพวกเขาที่เรียกได้ว่า เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคมที่หลายคนยังไม่ยอมรับ แต่กลับสามารถทำยอดขายได้เท่าเทียมกับศิลปินประเภทเอาใจสาธารณชนอย่าง James Blunt หรือ Norah Jones ได้อย่างงดงามscissor02_PH1

แต่หากฟังดนตรีอย่างเอาจริงเอาจัง ก็คงไม่ต้องสงสัย เพราะว่าดนตรีของพวกเขาเต็มไปด้วยความสดใหม่ ก๋ากั๋น และฉูดฉาด หวือหวา อย่างเร้าใจ นอกจากจากซิงเกิ้ลต่างๆที่ว่ามาแล้ว เพลงอย่าง Lovers in the Backseat หรือ Tits on the Radio ก็เยี่ยมและติดหูไม่แพ้กัน ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะกลายเป็นวงขวัญใจในเทศกาลดนตรีในหน้าร้อน นอกจาก การแสดงสดที่เต็มไปด้วยสีสันแล้ว พวกเขายังมีเพลงเด็ดอย่าง Filthy/Gorgeous ที่ทำให้เป็นเพลงชาติของพวกสุขนิยมอีกด้วย

หลังจากปรสบความสำเร็จ พวกเขาก็ได้โอกาสเข้ารับคำชี้แนะจากปรมจารย์แต๋วอย่าง Elton John และมันกลายมาเป็นอิทธิพลต่องานชุดใหม่ Ta-Dah ที่จะออกวางขายในปี 2006 นั่นเอง

พวกเขาออกซิงเกิ้ล I Don’t Feel Like Dancin ที่เป็นเพลงกีตาร์ป๊อปผสมดิสโกที่ติดหูเป็นอย่างมาก และจะสัมผัสได้ถึงอิทธิพลของเอลตัน จอห์นที่มีต่อตัวเพลงอีกด้วย และเมื่ออัลบั้ม Ta-Dah ออกมา มันก็ทำยอดขายได้เป้นอย่างดี รวมไปถึงคำชมในแง่บวกจากนักวิจารณ์อีกด้วย โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่ามันเป็นอัลบั้มที่ดี เต็มไปด้วยเพลงเด่นหลายเพลงอย่าง Land of a Thousand Words หรือ Kiss You Off เพียงแต่น่าเสียดายที่มันขาดความก๋ากั๋น น่าตื่นเต้นแบบที่เคยมีอยู่เต็มในอัลบั้มแรกScissor-Sisters-01

ระหว่างที่พวกเขาเริ่มทำผลงานชิ้นที่ 3 มาได้ปีกว่า Jake คิดว่า เขาไม่ชอบผลงานที่ออกมา จึงขยำงานทั้งหมดทิ้ง และออกเดินทางไปเบอร์ลิน เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ และได้ Stuart Price โปรดิวเซอร์มือทองมาโปรดิวซ์ให้ และผลลัพท์ที่ออกมาคืองาน Night Work ที่ออกวางขายในปีนี้ ซึ่งนำโดย Fire with Fire เป็นซิงเกิ้ลแรก และมันคืองานเพลงเต้นรำที่เต็มไปด้วยความสดใหม่ ไล่เรียงทำนองเป็นอย่างดี และชวนให้แหกปากตาม และด้วยเสียงร้องของ Jake ทำให้ผมนึกไปถึงวง Ultravox ขึ้นมาโดยทันที

และเมื่อได้ฟังทั้งอัลบั้ม Night Work คืองานที่เรียกได้ว่าเป็นก้าวย่างใหม่ทางดนตรีของพวกเขาจริงๆ เพราะพวกเขาลดความเป็นเพลงป๊อป และหันไปหาดนตรีเต้นรำแบบแทบจะเต็มตัวเลยทีเดียว ว่าที่ซิงเกิ้ลต่อไปอย่าง Any Which Way ก็เต็มไปด้วยลูกเล่นที่คอยตอดเล็กตอดน้อยอยู่ตลอดทั้งเพลง เพลง Invisible Light ก็ควรประดับอยู่ในทุกคลับอย่างงดงาม น่าจะเป็นอิทธิพลของ Stuart Price ที่นำทางให้นักดนตรีที่มีความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ และมันก็เป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของพวกเขาที่น่าสนใจมากๆเลยครับ

ในโลกที่ผู้คนต่างกลัวที่จะแปลก แต่ Scissor Sisters ไม่สนใจกลัวว่าสังคมจะว่าอย่างไร พวกเขาทำในสิ่งที่เขารักอย่างสุดหัวใจ และผลของมันก็กลายมาเป็นดนตรีชั้นเลิศให้เราได้สัมผัสกัน

Monday, August 2, 2010

Coheed and Cambria มหากาพย์ไซไฟ

Technorati Tags: ,

จริงๆแล้ว ครั้งนี้ ผมกะจะเขียนเกี่ยวกับวงดิสโก้แต๋วแตก Scissor Sisters แต่ก็ต้องเปลี่ยนแนวกระทันหัน เมื่อได้รับแจ้งว่าวง Coheed and Cambria กำลังจะมาเล่นที่ไทย ทำให้ต้องเปลี่ยนเรื่องกระทันหันแบบแทบตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

Coheed and Cambria เป็นวงที่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่นักในบ้านเรา เพราะออกจะจัดกลุ่มแนวดนตรียากหน่อย และนวเพลงของพวกเขาก็ไม่ใช่สายหลักที่วัยรุ่บ้านเราฟังกัน แต่ถ้าเป็นนักฟังเพลงที่เจาะรายละเอียดหน่อย จะรู้ว่าเพลงของพวกเขานั้นซับซ้อนในภาดดนตรี และลงลึกในภาคเนื้อเพลงจริงๆ เดี๋ยวจะไปลงรายละเอียดว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้นนะครับ

coheed-coheed-and-cambria-69957_1800_1456 Coheed and Cambria คือวงที่รวมตัวกันในช่วงปี 1995 โดยสมาชิกวงในปัจจุบันคือ Claudio Sanchez (คลาวดิโอ ร้องนำ กีตาร์ และเกือบทุกอย่าง) Travis Stever (ทราวิส กีตาร์) Michael Todd (ไมเคิล เบส) และ Chris Pennie (คริส กลอง) โดยที่เมื่อตอนเริ่มต้น พวกเขาทดลองกับดนตรีหลากหลายแนว โดยที่พวกเขามีวงดนตรีอย่าง Pink Floyd และ Led Zeppelin เป็นแรงบันดาลใจหลักของพวกเขา โดยผสมเข้ากับวงพังค์รุ่นใหม่อย่าง At The Drive-In เข้าไปด้วย จนกลายเป็นแนวเพลงแบบอลังการและซับซ้อนแบบเฉพาะของพวกเขาเอง

ในทีแรกที่ตั้งวง พวกเขาเรียกตัวเองว่า Shabutie ก่อน แต่เมื่อเริ่มแต่งเพลง พวกเขาก็ยืนพื้นเนื้อเพลงของพวกเขาจาก เนื้อเรื่องการ์ตูนเรื่อง The Bag. On Line Adventures ที่เป็นการ์ตูนวิทยาศาสตร์ที่ Claudio เป็นคนแต่ง จนออกมาเป็น EP Delirium Trigger ในปี 2000 และเนื้อเรื่องการ์ตูนนี้เองที่จะเป็นคอนเซ็ปต์ในการแต่งเนื้อเพลงของอัลบั้มต่อๆไปของพวกเขา จนพวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น Coheed and Cambria ตามชื่อตัวละครเอกของเรื่องนี้ รวมทั้งโลโก้ของวงที่เป็นสัญลักษณ์หลักของของเรื่องอีกด้วยAmory Wars volume 1 Coheed and Cambria

อัลบั้มแรกในนาม Coheed and Cambria คือ Second Stage Turbine Blade ที่ออกมาในปี 2002 ซึ่งเนื้อเรื่องของงานเป็นภาคที่สองของ The Bag. On Line Adventures ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น The Amory Wars โดยเนื้อเพลงเป็นช่วงเริ่มต้นของการ์ตูนชุดนี้ ส่วนภาคดนตรี มันออกจะไปคล้ายกับวง At The Drive-In ที่ผสมเอาความเป็นดนตรี Progressive ในแบบ Pink Floyd เข้ามา และมันก็เป็นอัลบั้มที่เปิดตัววงได้อย่างงดงามเลยทีเดียว โดยมีเพลงเด่นอย่าง Devil In Jersey City และ Time Consumer

พวกเขาทำภาคต่อมาในอัลบั้ม In Keeping Secrets of Silent Earth 3 ที่เป็น 10 ปีหลังจากเหตุการณ์แรก และ Claudio ลูกชายของตัวเอกภาคที่แล้วที่ตายไป พบว่าตัวเองกุมโชคชะตาของโลกไว้อยู่ ซึ่งก็กล่าวไว้ในเพลง The Crowing นั่นเอง และยังมีเพลงเด่นอย่าง Blood Red Summer อีก

ปีต่อมา พวกเขาก็ออก Good Apollo, I'm Burning Star IV, Volume One: From Fear Through The Eyes of Madness เป็นตอนแรกของภาคสี่ของเรื่อง ซึ่งโฟกัสไปที่คนเขียนเรื่องแทน ซึ่งโทนเพลงของอัลบั้มนี้ออกจะไปคล้ายกับแนวเฮวี่เมทัลซะมากกว่าโดยเพลงโปรดของผมคือ Crossing the Frame ครับ

ปี 2007 พวกเขาก็ออกภาคต่อ Good Apollo, I'm Burning Star IV, Volume Two: No World for Tomorrow ออกมา โดยกลับไปหาเนื้อเรื่องเดิม โดยงานชุดนี้ พวกเขากะทำให้มันอลังการยิ่งกว่าเดิม โดยฟังจากซาวนด์เพลงในอัลบั้มได้ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาพลาดไปตรงที่ไม่ทำให้มันสุดๆไปเลย เลยค่อนข้างจะค้างเติ่งไปหน่อย แต่เพลงอย่าง The Running Free ก็เจ๋งใช้ได้ครับCSW-00298440085

และในปีนี้พวกเขาก็ออก Year Of the Black Rainbow ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องก่อนหน้า Second Stage Turbine Blade และเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ซึ่งพวกเขาก็เลือกกลับไปทำผลงานแนวเมทัลแบบเต็มรูปแบบ ฟังจากเพลง Here We Are Juggernaut ที่หนักหน่วงเอาเรื่อง เช่นเดียวกับ In the Flame of Error และทำให้พวกเขาได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก กลายเป็นงานที่คืนฟอร์มให้กับพวกเขาได้เป็นอย่างดีครับ

หลังจากที่ตามวงนี้มานานกว่า 6 ปี ในที่สุดก็มีโอกาสได้ดูวงนี้เล่นสดซะทีครับ ถึงจะรู้แบบกระทันหันก็ตามที แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ครับ แต่พอเขียนเสร็จ แล้วมาเช็คอีกรอบ ปรากฎว่ายกเลิกแล้ว เอาเป็นว่า อย่างน้อยก็ได้รู้จักกับวงใหม่แล้วกันนะครับ ถึงจะไม่ได้ดูคอนเสิร์ตก็เถอะ แล้วเดี๋ยวเจอกับ Scissor Sisters สัปดาห์หน้าครับ