Friday, August 21, 2009

Kasabian: ห้าว กร้าว ดิบ

Technorati Tags: ,

จั่วหัวแบบนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังใหม่น้องจีจ้า ที่มีตัวอย่างให้ดูว่านางเอกเจ็บจริง (อีกแล้ว) โดยที่ยังไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นไงกันแน่ แต่ว่าจะมาเขียนถึงวงอีกวงหนึ่งที่ติดตามมานาน และมันก็ห้าว กร้าว ดิบ และแสบสมที่จั่วหัวไว้ นั่นคือ Kasabian ไอ้เด็กห้าวจากเมืองเหนือของอังกฤษนั่นเอง

kasabian 

Kasabian เริ่มต้นด้วยการรวมตัวกันของเพื่อนวัยรุ่นจากเมือง Leicester ประเทศอังกฤษ ที่รู้จักกันในโรงเรียนมัธยม โดยเริ่มต้นด้วย Tom Meighan (ทอม ร้องนำ) Sergio Pizzorno (เซอจิโอ กีตาร์) Chirs Edwards (คริส เบส) Chris Karloff (คริส คีย์บอร์ด กีตาร์) Ash Hannis (แอช กลอง) พวกเขาเริ่มทำงานเพลงกันตั้งแต่อายุยังไม่จบม.ปลายกันแล้ว โดยทีแรกพวกเขาเรียกตัวเองว่า Saracuse และเริ่มทำงานเพลงอย่างจริงจังถึงขนาดอัด EP ออกมาได้แล้ว ก่อนที่ Sergio ที่เป็นเหมือนสมองหลักของวงไปเจอกับชื่อ Linda Kasabian คนที่ทำหน้าที่ขับรถพา Charles Manson หนีหลังจากฆ่าคนตาย เขาคิดว่ามันเป็นชื่อที่ฟังดูดี และติดหู เลยเลือกเปลี่ยนชื่อวงมาเป็น Kasabian แทน โดยไม่ได้เป็นการแสดงความชื่นชม Charles Manson แต่อย่างใด (ดีแล้วล่ะครับที่เปลี่ยน เพราะจินตนาการวงที่มีชื่ออย่าง Saracuse ดังไม่ได้เลย)

หลังจากสะสมประสบการณ์มานาน พวกเขาก็เริ่มออกซิงเกิ้ลแรกในปี 2003 คือ Processed Beat และตามด้วย Reason is Treason ที่ทำให้พวกเขาเริ่มเป็นที่จับตามองของสื่อแม้จะยังไม่ได้รับความนิยมในตลาดมากนัก เพราะความสดใหม่ของดนตรีของพวกเขาที่เป็นการผสมผสานดนตรีหลายแนวเขาด้วยกัน อย่าง Processed Beat ที่เป็นเพลงลูกผสมระหว่าง ร๊อค อีเล็กโทรนิกส์ กับบรรยากาศแบบไซคีเดลิกกลายๆ ได้อย่างลงตัว ส่วน Reason Is Treason ก็เป็นร๊อคเร็วๆ หลอนๆ ที่มันสะใจคล้ายๆกับงานของวง Primal Scream ยุค XTRMNTR ที่เป็นลูกผสมระหว่าง ร๊อคกับอีเล็กโทรนิกส์อย่างลงตัวที่กระแสธารของเบสที่ต่อเนื่องแบบไม่มีวันหมดนั้นชวนเราเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วจริงๆ อนาคตของพวกเขาทำท่าจะสดใสทันที แต่ว่ามือกลองก็มาขอลาออกจากวงซะก่อน

dxcik1449362

แม้เหลือ 4 คน พวกเขาก็เริ่มเป็นข่าวลงนิตยสารมากขึ้นจากการที่ขยันจัดกิ๊ก (แสดงสดแบบย่อย ไม่ใช่แบบของคนไทย) แบบกองโจร และได้ลงนิตยสาร NME ในส่วนของวงที่น่าจับตามองโดยมีเพื่อนร่วมรุ่นเท่าที่จำได้คือ The Ordinary Boys (ดังเพราะรีอัลลิตี้โชว์มากกว่า) Glitterati (ขยันเอามากกว่าทำเพลง) Keane (ดังในหมู่ชนชั้นกลาง) YOURCODENAMEIS:MILO (หัวหน้าวงไปอยู่ The Automatic แล้ว) ซึ่งเท่าที่เห็น ดูเหมือนจะมีแค่ Kasabian เท่านั้นที่ยังสร้างชื่อในวงการร๊อคได้

แต่เพลงที่ทำให้พวกเขาดังระเบิดก็คือ ซิงเกิ้ลที่ 3 คือ Club Foot ที่ส่งพวกเขาดังไปทั่ว เพราะมันคือเพลงที่โคตรมันจากการผสมผสาน ร๊อค อีเล็กโทรนิกส์ แบ๊กกี้ และ ความห้าวแบบไอ้หนุ่มเมืองเหนือ (Lad) ที่ออกมาลงตัวเหลือเกิน และอาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงนั้นกระแสไอ้หนุ่มสำอางแบบลอนดอนของ The Libertines มาแรงเหลือ คนเลยต้องการแบบห้าวๆบ้าง ซึ่ง Tom ก็เหมือนร่างจุติของไอ้ Liam Gallagher อยู่ด้วย ยิ่งซิงเกิ้ลต่อมา LSF ทำให้เราต้องนึกถึงไอ้เลียมจริงๆ เมื่ออัลบั้มเต็มชื่อเดียวกับวงออกขายในปี 2004 ก็สรุปได้เลยว่า Lad Rock กลับมาแล้ว

kasabian2- 

ในปี 2006 พวกเขาก็กลับมาพร้อมอัลบั้มใหม่ Empire โชว์ความทะเยอทะยานมากยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกและเพลงเปิดอัลบั้มที่ชื่อเดียวกัน Empire ที่เป็นเพลงร๊อคที่เต็มไปด้วย Ego ที่ใหญ่พอเติมเต็มเวมบลีย์เลยทีเดียว แต่เมื่อได้ยินซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Shoot the Runner ที่มันสะใจสุดแล้ว ทำให้เราได้รู้ว่า จริงๆพวกเขาเล็งถึงขนาดยึดเกาะอังกฤษมากกว่า เพราะมันมโหฬารขนาดล้นเกาะเลยครับ แนะนำให้เปิดโวลุ่มเต็มแม๊กซ์เลย นอกจากนั้นยังมีเพลงที่โคตร road อย่างเพลง Stuntman ที่ชวนเหยียบอีกแล้ว แล้วยังตามด้วยเพลง Search and Destroy มันไม่แพ้กัน แล้วยังมีเพลงที่โคตรไซคีเดลิกอย่าง Me Plus One มาให้หลอนกันเล่นอีก

tom-meighan-of-kasabian-1 

หลังจากพวกเขาออก EP Fast Fuse ที่โคตรมันแบบร๊อคแอนด์โรลมาชิมลางในปี 2007 ปีนี้พวกเขาก็ออกอัลบั้มเต็มชุดใหม่ West Ryder Pauper Lunatic Asylum (ยาวชิ) มาให้เรามันสะใจอีกรอบ และงวดนี้มันยิ่งห้าวกว่าเดิมครับ เพราะแต่ละเพลงมันทั้งมัน สะใจยังกะช้างแอฟริกาแตกโขลงเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Fire ที่ยังคงแนวดนตรีห้าวๆของพวกเขา แต่ผสมเอาดิสโกลงไปด้วย Where Did All The Love Go ที่เหมือนการขับรถข้ามรัฐ Take Aim ก็เหมือนงานทดลองของ Beastie Boys ส่วน Swarfiga ก็คือเพลงเชื่อมที่สุดจะวินาศสันตะโร แต่ที่เยี่ยมสุดคือ Vlad The Impaler ที่นอกจากชื่อเพลงจะเท่แล้ว ยังเป็นการผสมผสานดนตรีสารพัดชนิดได้อย่างลงตัว (ขนาดฮิปฮอปยังมีเลยครับ) นึกไม่ถึงเลยว่าเล่นสดจะมันแค่ไหน ผมจำกัดความอัลบั้มนี้ได้สั้นๆด้วยคำว่า Excellent

หลังจากออกอัลบั้มเด็ดๆแบบนี้ออกมาแล้ว ที่เหลือที่เราอยากมีโอกาสได้เห็นคงเป็นการแสดงสดของเขาเท่านั้นแหละครับ

No comments: