Technorati Tags:
Maxwell,
Music ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านๆมาค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับผม เพราะเปิดทีวีมาก็เจอแต่ข่าวหมีแพนด้า กับข้อมูลที่ไม่ค่อยจะเที่ยงตรงเกี่ยวกับไข้หวัด แต่อย่างน้อยยังดีที่ จู่ๆ ข่าวที่น่ายินดีเป็นอย่างมากก็มาเตะหู นั่นคือการกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อของนักร้องผิวสีเสียงดีระดับเทพที่ชื่อ Maxwell เพราะว่าเขาเงียบหายไปจากวงการไปเกือบสิบปีแล้ว และที่ทำให้ผมดีใจได้เป็นเพราะว่า เขาคือหนึ่งในศิลปินคุณภาพคับแก้วชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่เคยทำให้เราผิดหวังกับผลงานของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
Maxwell น้อยนั้นเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เขากลายเป็นเด็กขี้อายและเคร่งในศาสนามาก เขาเริ่มร้องเพลงในโบสถ์ ต่อมาเขาจึงเริ่มหันมาจริงจังกับการร้องและแต่งเพลงเต็มตัว เมื่อได้คีย์บอร์ดถูกๆจากเพื่อนเมื่อตอนอายุ 17 เขาจึงเริ่มแต่งเพลงของตนเอง โดยได้รับอิทธิพลของดนตรี R&B ในยุค 80’ และเขาก็เริ่มออกแสดงตามคลับในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เพื่อนๆของเขาต้องงง เพราะว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าเด็กขี้อายจะกล้าแสดงออกต่อหน้าคนได้ แต่การตัดสินใจของเขานั้นเป็นเรื่องดีไป เมื่อค่าย Columbia มาเซ็นสัญญากับเขา
ซึ่งเขาเองก็ไม่ยอมเสียเวลา โดยเริ่มอัดผลงานในปีนั้นทันที โดยได้ร่วมงานกับนักแต่งเพลงอย่าง Leon Ware เคยร่วมงานกับ Marvin Gaye ตำนานเพลงโซล และ Wah Wah Watson แต่เมื่ออัลบั้มเสร็จ Columbia กลับไม่มั่นใจกับคุณภาพของมัน ทำให้ตัดสินใจเลื่อนการออกวางขายไปก่อน และค่อยนำมันออกมาวางขายในปี 1996
ดูเหมือนว่า Columbia จะคาดการถูกในทีแรก เพราะว่ายอดขายของอัลบั้ม Urban Hang Suite นั้นค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาเลย แม้ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Til The Cops Come Knockin’ จะสร้างชื่อได้บ้าง แต่พอซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Ascension (Don’t Ever Wonder) เป็นเพลงฮิต ทำให้อัลบั้มเองก็ขายดีระดับ Platinum
จริงๆแล้ว Urban Hang Suite ควรจะเป็นอัลบั้มที่ทำยอดขายถล่มทลายแต่แรกเลย เพราะมันคืออัลบั้มเพลงโซลที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกชิ้นเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ มันรับเอาอิทธิพลด้านการแต่งเพลงของ Marivin Gaye เข้ามาผสมกับความทันสมัยของ Prince ได้อย่างงดงาม รวมทั้งเนื้อเพลงที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับรักอันบริสุทธิ์ พูดง่ายๆคือ มันคือความสมบูรณ์แบบ และส่งเขาไปอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับศิลปิน Neo-Soul ร่วมรุ่นอย่าง D’Angelo และ Erykah Badu ในทันที แต่ที่ Columbia เลือกดองมันไว้ก่อนเพราะคิดว่าแนวเพลงรักอันบริสุทธิ์ไม่น่าจะเอาชนะความเสเพลในแบบของศิลปินผิวสีในยุคนั้นได้ แต่สุดท้ายแล้ว รักอันบริสุทธิ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเอาชนะได้ทุกอย่าง
Urban Hang Suite เต็มไปด้วยเพลงชั้นเยี่ยมชนิดที่ตัดมาเป็นซิงเกิ้ลได้ทุกเพลง ขนาดเพลงบรรเลงเปิดปิดอัลบั้มยังเต็มไปด้วยความ Cool แบบไม่มีวันจบ Ascension ก็โชว์ความงดงามของเสียงเขาได้อย่างดี ส่วน Somethin’ Somethin’ ก็ทำให้วลีว่า ‘Rock with you’ กลับมาเท่อีกวาระ Suitelady ก็โชว์พลังเสียงของเขาได้อย่างงดงาม แต่ที่งดงามราวกับราตรีที่เต็มไปด้วยแสงดาวก็ต้องเป็น Whenever Wherever Whatever ที่เป็นเพลงรักที่แสนโรแมนติกและงามอย่างไร้ที่ติ มันคืออัลบั้มที่คุณควรมีติดรถไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพาหญิงคนรักไปขับรถในเมืองเวลากลางคืน ถ้าหากเธอไม่ระทวยไปกับอัลบั้มที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ผมขอแนะนำให้เลิกคบผู้หญิงไร้อารมณ์คนนั้นดีกว่า
และเมื่อเขาดังไปทั่ว ค่ายเพลงก็ตัดสินใจออกอัลบั้ม MTV Unplugged ในปีถัดมา ที่ทำให้เขาเป็นที่สนใจนอกวงการเพลงโซลอีกด้วย เพราะว่าเขาเลือกคัฟเวอร์เพลงอย่าง This Woman’s Work ของ Kate Bush และ Closer ของ Nine Inch Nails
เมื่ออัลบั้มที่สอง Embrya ออกมา มันยังคงความยอดเยี่ยมไว้เช่นเคย แต่ครั้งนี้ เขาเริ่มค้นหาแนวเพลงใหม่ๆมาผสมลงไป บวกกับชื่อเพลงที่ข้นข้างเสแสร้ง ทำให้นักวิจารณ์หลายคนไม่ชอบมันนัก แต่เขาก็คืนฟอร์มกลับมาได้อย่างงดงามใน Now อัลบั้มปี 2001 ที่นอกจากมีเพลงช้าๆอย่าง Lifetime ที่แสนโรแมนติกแล้ว ยังมี Get to Know Ya ที่ไร้ที่ติโดยสิ้นเชิง ก่อนที่เขาจะเงียบหายไปถึง 8 ปี
และเขาเลือกจะออกอัลบั้มใหม่ BLACKsummers'night เป็นส่วนหนึ่งของไตรภาคมาก่อนในปีนี้ และเขาไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลย เพราะมันคือการกลับมาอย่างงดงาม เพราะนอกจากจะมีเพลงช้าๆสวยๆอย่าง Pretty Wings ซิงเกิ้ลแรกแล้ว ยังมีเพลงโซลที่สุดสวยอย่าง Fistful of Tears และ Stop the World อีกแล้ว ถามยังมีเพลงที่ upbeat ขึ้นอย่าง Love You และเพลงบรรเลงปิดอัลบั้มอย่าง Phoenix Rise ที่ super-cool จริงๆครับ
แม้เขาจะว่างเว้นจากการทำเพลงไปนาน แต่เมื่อกลับมาก็สามารถครองตำแหน่งราชาได้อย่างทันที และบัลลังก์ของเขาคงยังจะมั่นคงต่อไปอยู่อีกนานด้วยอีกสองอัลบั้มที่กำลังเตรียมคลอดในปีหน้าอีก