Sunday, October 19, 2008

The Academy is… - Fast Times at Barrington High

Clip อีกหนึ่งวงที่ขยันทำงานเหลือเกิน โดยตั้งแต่ออกอัลบั้มแรกในปี 2006 วงพ๊อพพังค์ (หรือที่หลายๆคนชอบที่จะเรียกว่า Emo ในช่วงหลัง) จากชิคาโกวงนี้ทำสถิติออกอัลบั้มทุกปี และอัลบั้มใหม่ที่ชื่ออัลบั้มล้อเลียนหนังเก่าอย่าง Fast Times at Ridgemont High ชุดนี้ ก็เป็นการเติบโตที่น่าสนใจอย่างมากของพวกเขาจริงๆ แม้จะไม่มีเพลงชวนโยกหัวลืมโลกแบบ Checkmarks แต่ว่ามันก็เป็นงานที่ประณีตและเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ความดิบแบบเด็กหนุ่มอาจจะน้อยลง แต่เราก็ได้ความสดชื่นและความละเอียดในเนื้องานที่เพิ่มมากขึ้นแทน แค่ซิงเกิ้ลเปิดตัว About a Girl ก็สร้างความสุขให้เราทุกครั้งที่ได้ยิน มันคือเพลงร๊อคที่แสนจะติดหู และทำให้เรารู้สึกเหมือนการกำลังขับรถรับแดดอุ่นๆยามเช้า ในขณะที่ Summer Hair = Forever Young คือเพลงมันๆที่ชวนเรากระทืบเท้าตามอย่างสะใจไปตามจังหวะกระหน่ำกลอง ส่วน His Girl Friday ก็ทำให้เรานึกถึงรุ่นพี่ของพวกเขาอย่าง Jimmy Eat World ขึ้นมาทันทีกับท่อนฮุคที่ชวนแหกปากร้องตาม ส่วน After The Last Midnight Show ก็เป็นเพลงที่ไอ้กุ้งแห้ง William ร้องครวญคู่ไปกับเปียโนอย่างงดงาม และ Beware! Cougar! ก็เป็นเพลงสนุกๆอีกเพลงหนึ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กัน แม้ว่า Fast Times at Ridgemont High อาจจะไม่ใช่อัลบั้มที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบไปหมด แต่มันก็ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของชีวิตนักดนตรีของพวกเขาเหมือนกัน และก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมของปีนี้แน่นอนครับ

image

Coldplay – Viva La Vida or Death And All His Friends

Technorati Tags: ,,

บางคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว เขียนถึงไปแล้วนี่นา แต่ที่ต้องขอเอาอัลบั้มนี้มาเขียนถึงอีกรอบ เพราะว่าหลังจากที่มันถูกวางขายในบ้านเราในแบบแผ่นนำเข้าในช่วงแรก ตอนนี้ ค่าย Warner ไทย ก็ได้ลิขสิทธิ์ของศิลปินที่สังกัดในค่าย Emi บ้านเรา ซึ่งพึ่งปิดตัวลงไปเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้น จากนี้ไป ใครที่รออัลบั้มอะไรอยู่ ก็น่าจะถูกทยอยออกมาวางขายแล้วครับ และอัลบั้มชุดที่ 4 ของ Coldplay ก็เช่นเดียวกันครับ ต้องขอบคุณ Warner จริงๆที่ทยอยส่งแผ่นมาถึงที่ทำงานตลอดเลย อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องเอาอัลบั้มนี้มาเขียนถึง ก็เพราะความยอดเยี่ยมของมันที่ทำให้รู้สึกว่าครั้งที่แล้วยังระบายออกไม่พอครับ

ในยุคที่ผู้คนแห่กันดาวน์โหลดเพลงผ่านอินเตอร์เน็ตกันเป็นล่ำเป็นสัน อัลบั้มใหม่ของ Coldplay กับทำยอดขายเปิดตัวได้อย่างงดงามจนน่าตกใจ พิสูจน์ได้ว่า พวกเขาคือตัวจริง เสียงจริงของวงการ และยังพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาไม่ใช่วงที่ทำได้แค่ครวญเพลงแบบซึมๆเศร้าๆ Mellow ในสามอัลบั้มที่ผ่านมาแบบที่หลายคนปรามาสไว้ แต่เมื่อพวกเขาต้องการทำดนตรีที่อลังการขนาดสนามเวมบลีย์สามสนามยังจุไม่พอ พวกเขาก็ทำได้สบายๆ แค่การเลือก Brian Eno มาร่วมงานด้วย ก็แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตามรุ่นพี่ๆที่ Eno เคยโปรดิวซ์มาอย่าง U2 และพวกเขาก็ได้ตามที่ต้องการเมื่อง Viva La Vida ส่งให้พวกเขากลายเป็นวงที่ครองโลกไปใน

ทันที ทุกๆเพลงในอัลบั้มชุดนี้เปี่ยมไปด้วยพลัง ความสดใหม่ ความทะเยอทะยาน และความอลังการ จนถ้าหากต้องเขียนบรรยายทั้งหมด คงทำให้บรรยากาศโลกร้อนขึ้นอีกเยอะ เพราะคงต้องใช้ต้นไม้จำนวนมหาศาลเพื่อมาทำกระดาษให้พอเขียนบรรยายความยอดเยี่ยมทั้งหมดของมัน อัลบั้มนี้ยอดเยี่ยมตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายครับ แต่แค่กดไปหาเพลง Viva La Vida ที่เป็นซิงเกิ้ลที่สอง ก็ทำให้ผมขนลุกทุกครั้งที่ได้ยิน เพราะความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติของมัน เป็นบทเพลงที่เหมือนการลั่นกลองศึกเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สงครามครูเสด มันทั้งยอดเยี่ยมและน่าสนใจค้นหาความหมายที่อยู่หลังเนื้อเพลงว่ามันกำลังกล่าวถึงใครกันแน่ ยิ่งช่วงนี้ผมกำลังติดหนังสือที่เกี่ยวกับสงครามครูเสดทำให้ยิ่งอินกับเนื้อหาเข้าไปใหญ่ครับ เอาเข้าจริงๆแล้ว ทุกเพลงในอัลบั้มนี้ยอดเยี่ยมพอที่จะถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลได้ทั้งหมดเลย นอกจากเนื้อเพลงที่วนเวียนอยู่กับ ความรัก สงคราม และสันติภาพซึ่งเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในประวิติศาสตร์ของมวลมนุษย์แล้ว ภาคดนตรีที่ประโคมด้วยเครื่องสายทั้งหลายก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน สรุปได้ง่ายๆว่า ยอดเยี่ยมเกินคุ้มครับ

image 1_resize

Saturday, October 11, 2008

Asian Dub Foundation: รากแห่งวัฒนธรรมเอเชีย

Technorati Tags: ,

ในยุคที่โลกกำลังแปรเปลี่ยนไปสู่แนวระนาบตามความรวดเร็วของการติดต่อสื่อสาร ขอบเขตของดินแดนทางกายภาพของแต่ละประเทศกำลังลดความสำคัญลงเรื่อยๆ และวัฒนธรรมต่างๆก็ได้เริ่มผสมผสานกันหรือถูกกลืนกิน ทำให้ชนชายขอบต้องแสดงความเป็นตัวตน และ “ราก” ของตนเองออกให้ชัดเจนผ่านหลากหลายหนทาง ซึ่งดนตรีก็เป็นหนึ่งในนั้น และวงที่ใช้รากวัฒนธรรมของตนเองเข้ามาผสมกับดนตรีสมัยใหม่ได้อย่างเหนือชั้นคือ Asian Dub FoundationADF

ADF เกิดขึ้นจากรายการสารคดีที่ถ่ายทำเกี่ยวกับการสอนดนตรีสมัยให ม่ให้กับเด็กเชื้อสายอินเดียในประเทศอังกฤษในปี 1993 ซึ่งต่อมา อาจารย์ประจำโครงการ มือเบส และตับลา (Tabla) อนิรุธ ดาซ จับมือกับ แรปเปอร์หนุ่มวัยทีนจากเบงกอล Deeder Zaman และนักเคลื่อนไหวทางสังคม จอห์น บัณฑิต ตั้งวงดนตรีขึ้นมาและเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Dr. Das, Master D และ Pandit G (บัณฑิต G) ตามลำดับ โดยเรียกพวกตนเองว่า Asian Dub Foundation

เพื่อเพิ่มความหลากหลายของดนตรี พวกเขาได้ดึงเอา Chandrasonic (จันทราโซนิค) มือกีตาร์ที่ใช้เทคนิคการเล่นให้เสียงออกมาเหมือนซิตาร์ของอินเดีย พวกเขาเริ่มสร้างงานดนตรีโดยได้แรงบันดาลใจจากแผ่นเสียงอินเดียเก่าๆของพ่อแม่ การเล่นเบสแบบตับลา ดนตรีแรกก้า (Ragga) จังเกิ้ล (Jungle) บวกเข้ากับเนื้อหาที่เป็นพังค์ที่วิจารณ์สังคมอย่างเฉียบคมที่พรั่งพรูออกมาในสไตล์ฮิปฮอปอันรวดเร็วปานสายฟ้า และเมื่อบวก Sun-J เข้ามาเป็นดีเจ พวกเขาก็พร้อมออกรบแล้ว

ช่วงเวลาที่พวกเขาเริ่มผลิตผลงานเพลงออกมา คือช่วงที่เริ่มมีกระแสต่อต้านชาวเอเชียในอังกฤษที่รุนแรงขึ้นจากการสร้างกระแสของกลุ่มคลั่งชาติ ทำให้แรงปฏิกิริยาจากฝ่ายชาวเอเชียกลายเป็นแรงผลักดันให้กระแสดนตรีเอเชียพุ่งแรงขึ้นมาในตอนนั้น AsianDubFoundation

พวกเขาเริ่มออกผลงานในระดับอินดี้ในช่วงแรก แต่ไม่ได้รับการเหลียวมองมากนัก แต่เมื่ออัลบั้มที่สาม Rafi’s Revenge วางขายในปี 1998 นอกจากความยอดเยี่ยมของดนตรีที่แหวกแนวออกมาตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ความมันสะใจในการเล่นสดที่ไม่มียั้ง กับแรงหนุนจากศิลปินรุ่นพี่อย่าง Primal Scream ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมขึ้นมา บทเพลงต่างในอัลบั้มคือการระเบิดของพลังความกราดเกรี้ยวของวัยรุ่นที่พวกเขาแสดงมันผ่านดนตรีร่วมสมัยที่ผสมกับดนตรีรากวัฒนธรรมของพวกเขา โดยมีเนื้อหาที่เข้มข้นเกี่ยวกับการเรียกร้องความเป็นธรรมและปัญหาสังคม รวมไปถึงนโยบายการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย เพลง Free Satpal Ram คือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวเอเชียที่ได้รับการพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมบนจังหวะที่เร้าใจจนน่าเอามาเป็นเพลงประกอบ James Bond ฉบับ Ballywood ส่วน Charge ก็ให้ความรู้สึกของการตกลงไปกลางสนามรบ Black White ก็เฉียบคมไม่แพ้กัน พวกเขาได้สร้างดนตรีในแบบของเขาซึ่งได้ตอบแทนพวกเขาด้วย ที่ยืน ในวงการดนตรีอย่างงดงามในฐานะตัวแทนชาวเอเชียในเมืองผู้ดี แฟนเพลงของพวกเขาไม่ได้มีแค่นักฟังเพลง แต่ยังรวมไปถึงผู้ติดตามกิจกรรมเพื่อสังคมของพวกเขาอีกด้วย

อัลบั้มถัดมา Community Music (2000) ด้วยภาคดนตรีที่แน่นขึ้นไปอีก บวกกับเนื้อหาเพลงที่ยังคงสะใจเหมือนเดิมอย่าง Real Great Britain หรือRebel Warrior ที่แสนเข้มข้น หรือเพลงติดหูอย่าง New Way New Life ทำให้พวกเขากลายเป็นวงดังคับเกาะอังกฤษจนข้ามไปดังถึงฝั่งอเมริกาและญี่ปุ่นได้อีก นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังจัดตั้ง ADF Education เป็นองกรเอกชนเพื่อสอนดนตรีให้กับวัยรุ่นในลอนดอนอีกด้วย ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนสมาชิกวงอยู่บ่อยๆ แต่ผลงานที่ออกมาก็ไม่ได้เสียคุณภาพเลย โดยยังมี Pandit-G ทำหน้าที่หัวหอกสร้างสรรค์ดนตรี และทำกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ asian_dub_sat_1_470x350

พวกเขาออกผลงาน Enemy of the Enemy ในปี 2003 และกลายเป็นงานที่ขายดีที่สุดของพวกเขา Fortress Europe คือเพลงประท้วงที่ดุเดือดเหมือนปืนกลที่ยิงใส่นโยบายคนอพยพของยุโรป และ 1000 Mirrors คือเพลงDub หนักที่ได้ Sinead O’Connor มาร้องเกี่ยวกับสตรีที่ถูกจำคุกตลอดชีวิตเพราะฆ่าผัวที่ทุบตีเธอ นอกไปจากนี้ งานในช่วงหลังอย่าง Son of a Bush หรือ Oil ก็วิจารณ์ ประเทศอเมริกาและนโยบายสงครามเพื่อการค้าได้อย่างเจ็บแสบ ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางดนตรีที่ไม่เคยเหนื่อยกับการพัฒนาสังคมเลย จน Pandit –G ได้รับเครื่องราชฯชั้น MBE แต่เขาไม่รับเพราะว่าไม่คิดว่าการให้รางวัลเขาคนเดียวจะช่วยสังคมได้

ถ้าเทียบกับบ้านเราที่เห็นศิลปินหลายๆรายอยากจะเป็นต่างชาติกันเหลือเกินด้วยการแสดงออกทางการแต่งตัว และดนตรีที่ไปเอาของเขามาใส่เนื้อหาไทยที่เบาหวิว วนเวียนไม่พ้นจากการกินเหล้าเอาหญิงทำตัวกร่าง ไร้แก่นสารไปวันๆ จนลืมรากของตัวเองไปสนิทใจ คิดว่าตัวเองเป็นพี่มืดไปซะแล้ว พอหันไปมอง Asian Dub Foundation ที่ภูมิใจกับ “ราก” ของพวกเขาแล้วก็ได้แต่อิจฉา และชื่นชมพวกเขาเท่านั้นแหละครับ

The Coral: Liverpool ไม่ได้มีดีแค่ทีมบอล

Technorati Tags: ,

Liverpool คือหนึ่งในเมืองใหญ่ในประเทศอังกฤษ ที่ชาวไทยเรามักจะคุ้นเคยกันดีกับทีมหงส์แดงที่โด่งดังในบ้านเรา จนเมื่อพูดถึงลิเวอร์พูล เราจะนึกกันถึงทีมบอลมากกว่าจะนึกถึงเมือง แต่ว่า จริงๆแล้ว เมืองๆนี้ก็เป็นแหล่งสร้างสรรค์วงดนตรีต่างๆ ออกมาประดับวงการเช่นกัน โดยมี The Beatles เป็นวงที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองนี้ และก็แตกเถาเหล่ากอมาเป็นวงรุ่นหลังอีกหลายวง และอีกวงหนึ่งที่สร้างความเป็นเอกลักษณ์ทางดนตรีให้กับเมืองๆนี้ในยุค 2000 ก็คือ The Coral

The Coral

The Coral คือการรวมตัวของเด็กหนุ่มหกคนจากละแวกรอบนอกของลิเวอร์พูลในช่วงมัธยมโดยมี James Skelly (ร้องนำ) เป็นแกนนำของวง และสมาชิกอื่นๆคือ มือกีตาร์อัจฉริยะ Bill Ryder-Jones กับ Lee Southall ออร์แกน Nick Power เบส Paul Duffy และมือกลอง Ian Skelly น้องชายของ James พวกเขาเติบโตมาด้วยกันและใช้เวลาไปกับการดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีตาร์ตามบ้านของแต่ละคน ทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่สายสัมพันธ์แน่นที่สุดในลิเวอร์พูลเลยทีเดียว ขณะที่พวกเขาต้องเริ่มแยกย้ายกันไปเรียนต่อหรือทำงาน พวกเขาเลือกที่จะทิ้งทุกอย่าง แล้วกลับมารวมตัวกันเล่นดนตรีเหมือนเดิม

พวกเขาสานต่อเพลงที่พวกเขาแต่งไว้ ดนตรีของ The Coral นั้นผสมดนตรีหลากแนวเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งสวนประกอบหลักคือดนตรีลูกทุ่งแบบอังกฤษผสานเข้ากับบรรยากาศหลอนๆแบบดนตรีไซคีเดลิค เหยาะดนตรีโมเดอร์นร๊อคเข้าไป เอาไปผ่านควันกัญชาอีกหน่อยจนกลายเป็นดนตรีในแบบเฉพาะตัวของพวกเขาไป และเส้นทางที่เขาเลิกเดินก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องเมื่อพวกเขาไปเตะตาของแมวมองเข้า จนถูกดึงเข้าสังกัด Deltasonic ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็ได้รับสัญญาอัดแผ่นจาก Sony ในเวลาไม่นานหลังจากที่พวกเขาออก EP มาสามแผ่น

พวกเขากลายเป็นวงหน้าใหม่มาแรงในช่วงปี 2001 ทันที เพราะนอกจากความแปลกใหม่ของแนวดนตรีของพวกเขาแล้ว พวกเขายังเป็นวงแรกๆทำให้ดนตรีกีตาร์ของอังกฤษกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังจากขาดแคลนวงหน้าใหม่ดีๆมานาน และก็โดนบุกอย่างหนักจากการกลับมาของการาจทางฝั่งอเมริกา หน้าที่การกอบกู้ศักดิ์ศรีของดนตรีอังกฤษจึงเป็นของพวกเขาและเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง the Libertines The Coral Live

และเมื่ออัลบั้มเต็ม The Coral ออกวางขายในปี 2002 พวกเขาก็ดังไปทั่วเกาะอังกฤษเมื่อมันทะยานเข้าชาร์ตได้อย่างงดงาม เป็นเพราะความสดใหม่ในตัวเพลง และอารมณ์แบบอังกฤษแท้ๆ พวกเขาสรรหาเครื่องดนตรีเก่าๆ ประหลาดๆมาใส่ในดนตรี ทำให้มันได้เสียงอันแหวกแนว บวกกับการร้องแบบสำเนียงถิ่น ทำให้คนอังกฤษได้ยืดกันเต็มที่ เพลงเด่นๆในอัลบั้มอย่าง Dreaming of You ก็เป็นเพลงที่ยังยอดเยี่ยมแลเปี่ยมไปด้วยพลังเสมอเมื่อเราฟังมัน Shadow Fall ก็สร้างบรรยากาศหลอนๆได้เป็นอย่างดี Wildfire ก็เต็มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา ในขณะที่ Simon Diamond ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มบ้านนอกเข้ากรุงได้เป็นอย่างดี The Coral คือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมและออริจินอลที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันคือดนตรีในแบบที่ Jim Morrison จะทำถ้าหากเข้าเติบโตขึ้นมาในลิเวอร์พูลแทนฟลอริด้า

แม้จะต้องออกทัวร์อย่างหนัก แต่ด้วยไอเดียที่ล้นเหลือ ทำให้พวกเขาสามารถผลิตผลงานต่อมา Magic and Medicine ในปี 2003 ได้อย่างรวดเร็ว และมันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นกัน ซิงเกิ้ลอย่าง Pass In On ก็เหมือนกับการนั่งรถไปไปสู่ชนบทของอังกฤษ ส่วน Don’t Think You’re the First ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน และ เพลง Leizah ก็เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวจอมแสบได้อย่างน่าสนใจ หลังจากนี้ พวกเขายังมีแรงพอออกมินิอัลบั้ม Nightfreak and Sons of Becker มาได้อีก และตามด้วย Invisible Invasion ในปี 2005 ที่แน่นไปด้วยเพลงเจ๋งๆเช่นเคย Cripple Crown ก็สร้างบรรยากาศลึกลับเท่ๆได้อีก ส่วน In The Morning ก็เป็นเพลงติดหูในแบบของ the Beatles จริงๆ แต่การออกทัวร์อย่างหนักแบบไม่มีพักผ่อน ทำให้ทุกคนเหนื่อยจน Bill ขอออกจากวง พวกเขาเลยติดเบรก อัดกัญชา กลับไปเป็นเด็กหนุ่มอีกที ก่อนที่ Bill จะกลับมา และเริ่มทำงานเพลงด้วยอารมณ์ของมือใหม่อีกครั้ง และด้วยการช่วยเหลือจากแฟนเพลงอย่าง Noel Gallagher พวกเขาก็ได้อัลบั้ม Roots and Echoes ที่ นิ่ง และ ลึก ยิ่งกว่าเดิม แค่เพลง Who’s Gonna Find Me, Put the Sun Back และ Jacquline ก็คุมที่จะเสียเงินแล้วครับ

The Samurai Coral

แม้ The Coral อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง แต่พวกเขาก็เป็นวงที่ให้แรงบันดาลใจกับรุ่นน้องอย่าง Arctic Monkeys และได้ทำให้ ซีน ดนตรีของเมืองลิเวอร์พูลกลับมาเท่อีกรอบโดยมีรุ่นน้องอย่าง The Zutons และ Dead 60’ ตามมาติดๆ และพวกเขายังเป็นวงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันโดยเฉพาะกับการถ่ายรูปโปรโมทที่มักจะมีไอเดียฮาๆเสมอ จนเป็นวงที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองจริงๆ เราได้แต่หวังว่า การออกจากวงอีกรอบของ Bill และการออกอัลบั้มรวมฮิตของพวกเขาในปีนี้จะไม่ใช่จุดจบอย่างน่าเสียดายของวงๆนี้

Friday, October 10, 2008

Long Stay in Chiang Mai

Technorati Tags: ,

เมื่อคืน ได้ดู รายการของทางช่องเก้า เกี่ยวกับการที่ชาวญี่ปุ่นสุงอายุ มาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแบบลองสเตย์(ประเภทวีซ่าคนเกษียณอายุแล้ว) ทำให้รู้สึกดีที่ชาวญี่ปุ่น เลือกมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทยเพราะว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่

ตอนนี้ ตัวเลขอย่างเป็นทางการของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ที่เชียงใหม่ มีประมาณ 2,000 - 3,000 คน แต่จริงๆแล้ว ก็คงมีเยอะกว่านั้นแน่นอนครับ ผู้สูงอายุทั้งหลาย ส่วนใหญ่เลือกมาที่ไทย เพราะว่า ค่าครองชีพที่นี่ถูกกว่าที่ญี่ปุ่นมาก คนญี่ปุ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จะมีค่าใช้จ่ายราวๆ 50,000 -60,000 บาท ต่อเดือน แต่ถ้ายังอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็จะตกอยู่ที่ ประมาณ 120,000 - 130,000 บาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่า ถ้ายังอยู่ที่ญี่ปุ่น เงินบำนาญ ที่ได้รับจากทางการก็ไม่พออยู่แน่นอนครับ (ระบบบำนาญญี่ปุ่นไม่เหมือนไทยนะครับ ไม่ว่าจะทำงานราชการหรือเอกชน ทุกคนจะถูกหักเงินเข้าหลวง และได้รับคือเมื่อเกษียณอายุ) ดังนั้น หลายๆคนจึงเลือกที่จะย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีบราซิล หรือ ฮาวาย ที่มีคนเชื้อสายญี่ปุ่นอยู่เยอะเหมือนกัน แต่หลายๆคนก็บอกว่า ไทยดีที่สุด เพราะคนไทยปฏิบัติต่อคนต่างชาติดี

หลายๆคนก็ใช้เวลาว่างไปกับการเล่นกอลฟ์ บางคน ก็ตั้งชมรมถ่ายภาพ และมีกระทั่งชมรมผลิตเครื่องประดับ ซึ่งแต่ละปี จะมีการเอาออกมาขาย และมอบรายได้ให้กับมูลนิธิต่างๆต่อไป ก็ถือว่ามาทำประโยชน์ ด้านการใช้ชีวิตก็ไม่ลำบาก เพราะว่ามีร้านค้าต่างๆคอยรองรับอยู่แล้ว โรงพยาบาลก็มีบริการเป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน เรียกได้ว่าอยู่ได้อย่างสบายใจเลยครับ ยิ่งบางคนเริ่มต้นเรียนภาษาไทยตามโรงเรียนต่างๆ ทำให้สามารถสื่อสารกับคนไทยได้ ยิ่งสบายกว่าเดิมเลย

น่าประทับใจนะครับ ที่เค้าเลือกที่่จะมาอยู่บ้านเรา และรักเมืองไทยของเรา ถ้าเค้ามาในฐานะแขกที่ดีแบบนี้ เราคนไทยเองก็ควรจะต้อนรับเขาในฐานะเจ้าบ้านที่ดีเช่นกันนะครับ

 

 

Thursday, October 9, 2008

チェンマイロングステー

Technorati Tags:
Technorati Tags: ,

今テレビ見ているけど。なんか、チェンマイでロングステーしている日本の老人たちについて。今は何千人もいるし。大体夫婦で来てる場合も多いけど、一人で来てる場合もそもそもある。こっちの生活は月5-6万バーツくらいかかるけど、日本にいたら、月12万バーツかかるから、タイがいいと言っている。まぁ、確かに二人の年金だったら問題ないね。

やはり日本人にとってバンコクよりチェンマイの方がいいよな。空気はだいぶ汚くなってきたらしいけど、バンコクと比べるとやっぱ全然平気だね。天気も涼しいし。タイ人(特に北部の人たち)もまだ優しいから、なんとか昔の日本の感じがするかな。みんな年金で生活送っているから、結構暇でいろんなことをしている。ゴルフをやってる人も多いけど、小物を作って、集まって売って、儲けたお金を寄付している。無駄な生活ではないな。欧米人のロングステーとは全く違うと思う。

上に書いてある通り、二人で来ている場合は多いから変な問題はあまりない。でも欧米人のロングステーは大体おっさん一人で来て、タイ人の女の人と結婚して、家を買うケースが多い。それで、外国人は土地持ってはいけないから(コンドミニアムは大丈夫だけど)、みんなは奥さんを戸主にしている。それが詐欺だね。お金がなくなったら他のタイの男の方に行って、欧米人の旦那はもう意味ない。結局負け犬として自分の国に戻る。それはまだいいかも。奥さん喧嘩して殺されるイギリス人もいたし。

なんか、日本人のロングステーを書こうとしてたけど、なんか、欧米人のケースになっちゃったな。まいいか。今日はこれで。

Wednesday, October 8, 2008

World's Mystery

img005
Technorati Tags: ,

หลังจากที่หันความสนใจจากหนังสือประเภทเรื่องลี้ลับ ปริศนาต่างๆมานาน พอได้มาอ่านหนังสือประเภทนี้อีกที มันก็เป็นความบันเทิงที่สนุกดีเหมือนกัน สามารถย่อยสลายได้ในเวลาไม่นาน และยังปลุกความสนใจเก่าของเราได้เสมอๆ เรายังคิดเสมอว่า ตกลง มันมีทวีปแอตแลนติสมั้ย ทวีปมูอยู่ไหน คนในอดีตมีเทคโนโลยีก้าวหน้าแค่ไหน แค่คิด ก็สนุกแล้ว ยิ่งมาดูสารคดีใน NGC หรือ Discovery Channel ยิ่งทำให้ได้ข้อมูลใหม่ๆ น่าสนใจอยู่เรื่อยๆ บางทีอาจจะฟังดูเหมือนแค่เรื่องเพ้อฝัน ไม่มีสาระ แต่ถ้ามานึกดู หลายสิ่ที่เราคิดว่าไม่เป็นจริง มันก็ดันมีขึ้นมาได้ ของแบบนี้ ใครจะรู้ครับ มนุษย์เรามีอะไรเหนือกว่าที่ตัวเราเองคิดไว้อีกตั้งเยอะนะครับ

Sunday, October 5, 2008

ดู ดู๊ ดู ดูมันทำ

เมื่อวานนี้ หลังจากเลิกงานก็พอจะหาเวลาได้ เลยไปกินข้าวเที่ยงกับไอ้โอ๋ที่เซนทรัลเวิร์ดตามประสา พอซัดซูชิกันไปเต็มคราบ มันก็ชวนดูหนัง ไอ้เราก็อยากแก้เซ็งอยู่แล้ว ก็เลยเดินไปที่โรงหนัง สุดท้ายตกลงดูโซฮาน หนังไร้สาระคลายเครียด ที่แอบมีมุขคมๆเหมือนกัน (สายด่วน ฮิสบอลเลาะห์) แต่ที่ต้องเอามาเขียนวีันนี้ึืคือ ตามคอนเซปต์ของ SF ที่ต้องแจก แผ่นแมกเน็ตติดตู้เย็น เท่าที่เค้ามีให้เราเลือกมา ก็เห็นว่าโดราเอมอนน่าสนใจสุด เลยเลิอกมา ทีแรกก็มาพร้อมที่ใส่แบบน่ารักดีแบบนี้ครับ

 

img003-1  ดุสวยดี ไม่แปลกอะไร

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วเปิดมาข้างใน ก็มี แผ่นแม่เหล็กอยู่แบบนี้ มีโฆษณาแฝงเล็กๆ พองาม

img004

แต่พอพลิกด้านหลังเท่านั้นแหละครับ

img003

ไม่ทราบว่าพี่ท่านคิดกันยังไ เล่นเอา SAW V มาลงแผ่นเดียวกันกับโดราเอมอน ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่ เห็นแม่งยังกลัวเลย แล้วเด็กล่ะครับ ไม่หลอนไปยาวเลยเหรอ เล่นเอาลุงใส่หน้ากากหนังคนมาแปะคู่กันกับโดราเอมอนแบบนี้ ถ้าผมมีลูกนี้ คงไม่กล้าเอาให้เด็กมันดูหรอกครับ สยองเกิน คิดหน่อยแล้วกันครับเพ่ ครั้งหน้าคงไม่มี โปเกมอน อยู่แผ่นเดียวกับหนังขายเซ็กส์นะ

Teenage Kicks: ฤดูร้อนกับความหลัง

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียน เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น เมืองซึ่งผมถือเป็นบ้านหลังที่สองด้วยความผูกพันจากการได้อาศัยพึ่งพิงเมืองๆนี้เป็นเวลาเกือบสี่ปี และสิ่งหนึ่งที่ผมทำเสมอเมื่อต้องเดินทางคือ เตรียมยัดเพลงต่างๆลงไปใน iPod คู่ใจ และอีกอย่างที่ผมชอบทำคือมักจะไรท์แผ่นรวมเพลงที่จะเอาไปเปิดในรถคนอื่นแก้เซ็งอีกด้วย (นิสัยเสียที่ไม่ควรเอาอย่าง โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่รถแฟน พี่น้อง หรือเพื่อนสนิท) และด้วยเหตุที่ว่าญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงหน้าร้อน ทำให้ผมเลือกเอาเพลง Teenage Kicks ของวง The Undertones ใส่ลงไป

และเมื่อ Teenage Kicks กังวานขึ้นมาในรถของคนรู้ใจท่ามกลางค่ำคืนฤดูร้อนของญี่ปุ่น น้ำตาก็คลออยู่ที่เบ้าตาของผมทันทีหลังจากเพลงๆนี้จบลง อาจจะสรุปได้ง่ายๆว่า เพราะความสมบูรณ์แบบของมัน ทำให้เราไม่อาจหยุดความตื้นตันที่มีเพลงที่งดงามขนาดนี้จุติลงมาบนโลก และอีกเหตุผลหนึ่ง น่าจะเป็นการที่เพลงๆนี้มีบรรยากาศของฤดูร้อนอบอวลแน่นอยู่ในเพลง บวกกับเนื้อเพลงที่บอกกล่าวถึงความกลัดกลุ้มใจของวัยรุ่นได้ภาษาง่ายๆแต่กินใจที่สุด ซึ่งใครที่เคยใช้ชีวิตวัยรุ่นมา คงจะโยงใยมันเข้ากับประสบการณ์ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย และความสำเร็จของเพลงนี้นอกจากจะต้องยกความดีความชอบให้กับวงที่ผลิตมันออกมาแล้ว ยังต้องขอบคุณดีเจอีกรายหนึ่งด้วย

Teenage Kicks คือเพลงที่ดังที่สุดของวงพังค์ร๊อควงจากไอร์แลนด์เหนือที่ชื่อ The Undertones มันถูกออกวางขายในปี 1978 ผ่านตราแผ่นเสียง Good Vibrations ซึ่งในตอนแรก Terri Hooley เจ้าของ Good Vibrations ตะเวนแบกมันไปขายให้กับตราแผ่นเสียงที่ใหญ่กว่าในลอนดอน แต่เขาก็ถูกเมินจากทุกคน ทั้งๆที่เขาคิดว่ามันดีพอที่จะทำให้ทุกคนรักมันได้ สุดท้ายเขาก็ต้องหอบมันกลับไปที่เบลฟาสต์และร้องไห้กับตัวเองThe Undertones

John Peel       แต่ว่า โชคก็เข้าข้างเขา เมื่อดีเจคนหนึ่งที่ได้รับแผ่นเสียงเพลงนี้ ซึ่งเป็นแผ่นเดียวที่ Terry แจกให้สื่อ เปิด Teenage Kicks ในคืนนั้น และเมื่อจบเพลง เขากล่าวว่า “มันน่าจะเป็นเพลงยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่คุณเคยได้ยินไม่ใช่เหรอ” กับผู้ฟัง และเปิดมันอีกรอบทันที ซึ่งเป็นการแหวกธรรมเนียมของดีเจจริงๆ และก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนตลอดชีวิตการทำงานของเขา และTeenage Kicks คงไม่เป็นที่น่าสนใจมากนัก ถ้าหากว่าดีเจคนนั้นไม่ได้มีชื่อว่า John Peel ซึ่งเป็นดีเจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการเพลงของอังกฤษ เป็นชายที่หลงใหล และรักดนตรีจากก้นบึ้งหัวใจ และเป็นที่ยอมรับของทุกคนในวงการเพลง สำหรับ The Undertonesแล้วเรียกได้ว่า ถ้าสวรรค์มีตา ชายที่ชื่อ John Peel ก็มีหูเช่นกัน และหูนั้นก็พาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จในวงการอินดี้ แม่ว่ามันจะสามารถตะกายขึ้นชาร์ตเพลงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ที่อันดับ 31 เท่านั้น แต่ด้วยการหนุนหลังของ John Peel ทำให้ The Undertones เปลี่ยนจากวงที่เคยโดนถ่มน้ำลายใส่กลายเป็นวงที่เป็นที่รักของวัยรุ่น

ไม่แปลกอะไรที่ John Peel จะตกหลุมรัก Teenage Kicks อย่างมาก อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นว่ามันยอดเยี่ยมทั้งเนื้อหาและอารมณ์ของเพลง เนื้อเพลงที่ Feargal Sharkey ร้องซ้ำไปมาอย่าง

Are teenage dreams so hard to beatVinyl Cover
Every time she walks down the street
Another girl in the neighbourhood
Wish she was mine, she looks so good

I wanna hold her wanna hold her tight
Get teenage kicks right through the night

I'm gonna call her on the telephone
Have her over cos I'm all alone
I need excitement oh I need it bad
And it’s the best, I've ever had

I wanna hold her wanna hold her tight
Get teenage kicks right through the night

บ่งบอกถึงความรู้สึกของวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยแรงขับดันจากภายในร่างกายที่เร่าร้อน ความห่าม ความเลือดร้อนที่ต้องการแสดงออก ความกลัดมันที่อยู่ในใจ ความว้าวุ่นใจต้องการที่จะหาใครซักคนมากอดไว้ในอ้อมอก

ลองมองย้อนกลับไป ไม่ว่าใครก็ต้องผ่านจุดๆนั้นมา แม้ตัวผมเองจะมารู้จักเพลงนี้เอาก็ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เนื้อเพลง และอารมณ์ของเพลง ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปที่ปิดเทอมหน้าร้อนเมื่อสมัยวัยรุ่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสนุกในการออกตระเวนราตรีกับเพื่อนสนิท การขับรถเล่นรับลม การขโมยตกปลา เล่นกีฬายันค่ำ ดูบอลยันสว่าง การนั่งดูดาว และที่สำคัญคือความว้าวุ่นใจในเรื่องเพศตรงข้าม เรื่องแบบนี้ใครๆก็ต้องเคยผ่านมาทั้งนั้น และ Teenage Kicks ก็จับเอาอารมณ์ในช่วงที่เจิดจรัสที่สุดของชีวิตเราได้ออกมาอย่างยอดเยี่ยม จนทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ภาพในอดีตของเราก็มักจะถูกฉายย้อนกลับไปมาในสมองของเราเหมือนฟิล์มหนังเก่าๆที่ทำให้เรามีความสุขทุกครั้งที่นั่งดูมัน

John Peel หลงรักเพลงๆนี้มากถึงขนาดยกให้มันเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชีวิต ทั้งๆที่เขาน่าจะมีแผ่นเสียงเยอะที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่ทุกครั้งที่เขาต้องการฟังเพลงที่ดีที่สุด เขาก็หันไปหาแผ่นเสียงปกสีเหลืองมัสตาร์ดแผ่นนี้บนชั้นวางเสมอ เมื่อเมื่อเขาจากโลกนี้ไป แน่นอน เพลงที่เปิดในงานศพของเขาก็คือ Teenage Kicks พร้อมทั้งสลักป้ายหลุมศพว่า Teenage Dreams, So Hard To Beat

Teenage Kicks คือเพชรเม็ดงามของวงการเพลงที่สร้างความสุขให้กับเราทุกครั้งที่ได้ฟังด้วยการนำเราไปสู่อดีต แต่สำหรับปัจจุบันแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือ ปาดน้ำตาแล้ว หันไปบอกคนข้างๆเราว่า I wanna hold you I wanna hold you tight พร้อมทั้งทำอย่างที่พูดเถอะครับ

Saturday, October 4, 2008

We Are The Physics

Technorati Tags: ,,

ชื่อวงสุดกวนจากสกอตแลนด์วงนี้ย่อมาจากชื่อเต็มว่า We Are the Physics Club and Therefore Everything We Say Is Fact (ตูอยู่ชมรมฟิสิกส์ ดังนั้น ตูพูดแต่ข้อเท็จจริง) พวกเขาดูเหมือนกับเด็กฟิสิกส์โอลิมปิกมากกว่านักดนตรี และดนตรีที่พวกเขาทำออกมาคือ เพลงพังค์ผสมผสาน ดนตรีนิวเวฟ และคณิตศาสตร์ลงไปในตัวเพลง ตามรอยวงรุ่นพี่อย่าง Devo หรือ Polysics จากญี่ปุ่น อัลบั้ม We Are The Physics Are Ok At Music เต็มไปด้วยเสียงกีตาร์รกหู จังหวะแปลกๆเพี้ยนแบบที่เจ้าหุ่นยนต์ในเรื่อง Short Circuit จะทำ และเสียงตะโกนโหวกเหวกเหมือนนักวิทยาศาสตร์จิตหลุด แนะนำให้ลองฟัง Less Than Three, In the Graveyards, Networking และ You Can Do Athletics, BTW รับรองว่าสนุกสำหรับคนชอบของแปลกแน่ๆครับ

We Are The Physics

Black Kids

Technorati Tags: ,,

วงดนตรีชื่อเสี่ยงปัญหาเหยียดสีผิวกลายเป็นวงที่ทำดนตรีที่เหมาะกับการปาร์ตี้ที่สุดในปีนี้ พวกเขาคือวัยรุ่น 5 คนที่ฟอร์มวงขึ้นในเมือง Jacksonville นำทีมโดยพ่อหนุ่ม Reggie Youngblood พวกเขาสร้างชื่อจากการแสดงสดใน Georgia จนกลายเป็นวงหน้าใหม่มาแรงแซงโค้ง ขึ้นปกนิตยสารหลายเล่ม พวกเขาข้ามฟากไปที่เกาะอังกฤษ ไปอัดเสียงกับโปรดิวเซอร์ไฟแรง Bernard Butler และสร้างชื่อเสียงด้วยการเล่นสดที่เทศกาล Glastonbury แม้ดูจากภาพลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาน่าจะเป็นเด็กเนิร์ดที่เวลาพักเที่ยงจะนั่งเก็บกดเล่น D&D อยู่ในห้องเรียน แต่กลับกลายเป็นว่า ดนตรีของพวกเขาสามารถสะท้อนความสนุกสนานของงานปาร์ตี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ซิงเกิ้ลแรก I'm Not Gonna Teach Your Boyfriend How To Dance With You ก็เริ่มต้นได้อย่างสนุกสนานจากเสียงกีตาร์ที่สับไปมาพ่วงมาได้เสียงคีย์บอร์ดใสๆ และการนับ 1-2-3 ก่อนเข้าช่วงคอรัสที่เป็นไม้ตายของเพลงป๊อปเล่นเอาเรารู้สึกเหมือนโดนหมัดฮุคเข้าไปจนทำอะไรไม่ถูก แม้มันจะไม่เป็นป๊อปมหัศจรรย์เท่ากับ Move Your Feet ของ Junior Senior แต่มันกสนุกจนทำให้เราเต้นจนลืมวัยไปได้ ส่วนซิงเกิลต่อมา Hurricane Jane ก็ขึ้นต้นได้อย่างเท่เหมือนกับการเดินหลงแสงสีในกินซ่าตอนตีหนึ่ง มันคือดิสโก้ป๊อปแสนสนุกที่ควรมีติดรถไว้ให้เพื่อนๆตะโกนแหกปากร้องตาม อัลบั้มเต็ม Partie Trauma ยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง I'm Making Eyes At You ที่เหมือนกับลูกนอกสมรสของ My Life Story กับ Psychedelic Fur อัลบั้ม Partie Trauma ของ Black Kids คือการพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปยังยุค 80’ ที่แห่งดนตรีป๊อปสุดเจิดจรัส โดยติดเอาแผ่นเสียงของวงการาจของยุคนี้ตามไปด้วย สนุกกับพวกเขาในวันนี้โดยไม่ต้องไปสนวันข้างหน้าเถอะครับ

Black Kids

Glasvegas

,,Glasvegas

วงหน้าใหม่จากแดนขี้เมาชาวสก๊อต ที่นอกจากจะมีชื่อแสนเท่แล้ว ดนตรีของพวกเขายังทำให้เราต้องปากค้างด้วยความอลังการของมัน แม้จะพึ่งออกอัลบั้มแรกที่ชื่อเดียวกับวงในปีนี้หมาดๆ แต่พวกเขาก็รวมตัวกันมาตั้งแต่ปี 2000 แล้ว โดยทั้ง 3 หนุ่ม 1 สาว ได้ตะเวนออกเล่นสดไปตามคลับต่างๆทั่วสกอตแลนด์ จนไปเข้าตา (หู?) ของ Alan McGee บุรุษผู้ปลุกปั้นวงอย่าง Oasis ขึ้นมา และ Alan ก็กลายเป็นป๋าดันพวกเขาอย่างเต็มตัว แม้จะเป็นวงหน้าใหม่ แต่ดนตรีของพวกเขาแสดงถึงกลิ่นอายของดนตรีอเมริกันจากยุค 50’ และ 60’ ออกมาอย่างชัดเจนผ่านสำเนียงถิ่นของพวกเขา พวกเขาออกซิงเกิ้ลแรก Go Square Go ที่ค่อยๆเริ่มต้นอย่างเจียมตัวและค่อยๆไล่เรียงขึ้นไปอย่างยิ่งใหญ่ไม่ต่างไปจากอิฐก้อนเล็กๆที่ค่อยๆก่อกองกันขึ้นไปเป็นหอคอยบาเบลเลยทีเดียว และซิงเกิ้ลที่สอง Daddy’s Gone คือเพลงที่ซื่อตรงกับความรู้สึกที่สุด โดยเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับชายที่ต้องการลบเลือนแผลในใจที่ถูกพ่อบังเกิดเกล้าทอดทิ้งนั้นไร้การเสริมแต่งอารมณ์น้ำเน่าใดๆทั้งปวง ในขณะที่ It's My Own Cheating Heart That Makes Me Cry ก็ทำให้เรานึกไปถึงงานเก่าๆของ Roy Orbison ที่แสนงดงาม ส่วน Geraldine ก็เหมือนกับ Manic Street Preachers ยุค Everything Must Go ความยอดเยี่ยมของศิลปินหลายๆรายอย่าง Prefab Sprout, Jesus and the Mary Chains, The Blue Nile หรือ Phil Specter ได้กังวานอยู่ทั่วทั้ง 41 นาทีของอัลบั้มชุดนี้ ไม่แปลกเลยที่มันขึ้นไปถึงอันดับที่ 2 ของชาร์ตอัลบั้มในอังกฤษ

The First Time for This One

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Blog ตัวนี้ซะที หลังจากติดขัดปัญหาสารพัดสารพัน แต่ในที่สุด ก็ได้เริ่มซะที จากนี้คงพยายามที่จะอัพให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน หลักๆคงเป็นงานเขียนเรื่องเพลง ส่วนเรื่องอื่น ก็แล้วแต่สะดวกตัวเอง เพราะขี้เกียจเกินทน แล้วค่อยว่ากันไปแล้วกัน

やっとブログ始められた。ずっといろんな問題でなかなか始められなかったけど、やっと。基本的に音楽の記事載せると思うけど、他の事も書くぞ。(記事はタイ語だし)今やりたいのはどうすればもっとかわいいフォントに変えられるんだろうな。俺XMLなんか全くわかんないし。頑張るぜ。

Finally this blog got its start. I wanted to start it earlier but due to many difficulties I got no chance to do it poperly. I basically would upload my music column here, but I will also write about other stuff too. I hwant to make it right, so I'll do my best.