Monday, May 13, 2013

The Phantom of the Opera คุ้มค่าแบบไม่ต้องไปไกล

พอได้ดู Les Miserable ฉบับภาพยนตร์ (ที่เคยเขียนไปแล้ว) ผมก็เริ่มสนใจอยากที่จะดูละครเพลงบอร์ดเวย์ สดๆขึ้นมาตะหงิดๆ เพราะพอดูภาพยนตร์แล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ได้ดูยากมากมายอะไรนักหนา เลยคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองดูมั่ง ส่วนนึงคงเป็นเพราะตัวเองก็เคยทำละครเวทีสมัยเป็นนักศึกษามาก่อน (แต่ไม่น่าเอามาเทียบหรอกครับ อายส์) แต่ที่ผ่านมาก็รู้สึกกลัวว่าจะต้องปีนบันไดดู ที่ผ่านมาเลยไม่ได้ดูซะที ไม่ว่าจะเป็นมิวสิคคอลที่มาไทยอย่าง Cats หรือที่เล่นในญี่ปุ่นอย่างยาวนานอย่าง Lion King แต่ในใจอีกส่วนหนึ่งด็คิดว่าอยากดูเรื่องที่ร๊อคๆอย่าง American Idiot หรือเรื่องจากหนังโปรดอย่าง Billy Elliot แต่ก็ไม่มีโอกาสซะที

โชคดีที่ BEC Tero ได้นำเอามิวสิคคอลเรื่องดังอย่าง The Phantom of the Opera เข้ามาแสดงในไทย ส่วนตัวแล้วผมเองถือว่ายังซิงกับเรื่องนี้ เพราะไม่เคยดูในเวอร์ชั่นไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นนหนังฉบับลอน เชนีย์ที่เลื่องลือ หรือเวอร์ชั่นใหม่อย่างของเจอราร์ด บัตเลอร์ ยิ่งทำให้ดีใจที่จะได้ดูผลงานเรื่องนี้เป็นครั้งแรกก็แบบละครเพลงเลย

ต้องขอย้อนไปก่อนว่า The Phantom of the Opera มาจากไหน เริ่มแรกสุดเลย Phantom of the Opera คือนวนิยายผลงานประพันธ์ของแกสตอง เลอรูซ์ ที่ออกตีพิมพ์ในปี 1910 ในฝรั่งเศส แต่ความนิยมของมันพุ่งขึ้นสูงปรี้ด เมื่อถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฉบับที่ได้ดาราดังอย่าง ลอน เชนีย์ นำแสดงในปี 1925 ซึ่งเชนีย์ก็สามารถใช้ทักษะในการแต่งหน้าอันยอดเยี่ยมของเขาสร้างแฟนธอมที่น่ากลัวขึ้นมา กลายเป็นภาพยนตร์เงียบคลาสสิกระดับตำนานไปอีกเรื่องหนึ่ง

Phantom of the Opera กลับมาดังอีกครั้งในปี 1985 เมื่อ Andrew Lloyd Weber ยอดนักประพันธ์เพลงสำหรับละครเพลง ซึ่งเคยมีผลงานเด่นๆอย่าง Jesus Christ Superstar และ Cats ได้สนใจที่จะนำเอาผลงานเรื่องนี้มาทำเป็นละครเพลง แต่มีปัญหาเมื่อดูฉบับภาพยนตร์แล้ว เห็นว่านำมาทำได้ลำบาก โชคดีที่เขาไปเจอฉบับนิยายเก่าเก็บ และพออ่านตีความ ก็พบว่าสามารถหยิบมาทำเป็นละครเพลงได้ และสามารถเปิดการแสดงที่โรงละคร Her Majesty’ Theatre ใน West End ของลอนดอน (ทำให้ผมไม่อยากใช้คำว่า ละครบรอดเวย์ กับเรื่องนี้ เพราะจะเป็นเหมือนการสบประมาทเวสต์เอนด์ที่มีประวัติยาวนานเช่นกัน) ในปี 1986 และประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งในแง่ของรายรับ และรางวัล จนได้ข้ามไปแสดงที่บรอดเวย์ และรวมไปถึงฉบับแสดงทั่วโลกที่มาเปิดการแสดงในบ้านเราด้วย

ส่วนเนื้อเรื่อง สรุปง่ายๆคือ เจ้าแฟนธอม ปีศาจแห่งโรงละคร คือชายที่เกิดมาพร้อมรูปร่างอัปลักษณ์ แม้จะมีความสามารถหลายด้านระดับอัจฉริยะ รวมทั้งการร้องเพลงโอเปร่า แต่เขาก็ต้องซ่อนตัว เพราะโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ เขาหลงรักคริสติน สาวน้อยตัวประกอบในคณะละคร ซึ่งเขาพร่ำสอนเธอจนกลายเป็นนักร้องชั้นเลิศ ด้วยหวังจะได้รับความรัก ตัวเธอเองก็สนใจในตัวเขา แต่ก็สงสัยว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร และเธอยังมีใจให้กับ ราอูล ชายหนุ่มที่รู้จักตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนแฟนธอมก็ทำทุกอย่างเพื่อให้คริสตินได้เป็นดาวเด่น ถึงขนาดขู่คณะละครให้เธอเป็นตัวเอก ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อเขาใช้โคมระย้าทับนักแสดงหลักที่ไม่ยอมหลีกทางให้คริสตินจนตาย แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้ใจของเธอ เพราะขาพยายามครอบงำเธอ มากกว่าจะเป็นความรัก ขนาดให้เธอเลือกว่าจะรักเขาหรือจะให้ราอูลตาย แต่ในที่สุด เขาก็พบว่าตัวเขาเองไม่ได้อัปลักษณ์แค่รูปโฉม แต่จิตใจของเขายังเต็มไปด้วยความเกลียดและความแค้น จนยอมให้คริสตินได้ไปมีความสุขของเธอ

nibal

นั่นก็คือเรื่องราวหลักๆนะครับ พอเอามาทำเป็นละครเวที ก็ต้องดัดแปลงหลายส่วน ซึ่งก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม มีฉากประทับใจที่คนดูไม่ควรพลาด โดยเฉพาะเทคนิคต่างๆในการสร้างบรรยากาศต่างๆในเรื่องได้อย่างงดงาม ผมล่ะทึ่งกับกลไกในฉากพายเรือใต้ดิน ที่เต็มไปด้วยเทียน ฉากโคมระย้าที่อลังการ ฉากดาดฟ้าที่ทำให้ความจริงปรากฏก็ทำออกมาได้อย่างอลังการจริงๆ รวมไปถึงฉากอ่านๆ ไม่ว่าจะเป็นช้างของฮานนิบาล ฉากละครเพลงมาสควีเรด ทำออกมาได้อย่างงดงาม รวมไปถึงคอสตูมที่สวย

ในส่วนของนักแสดง ก็แสดงออกมาได้อย่างทรงพลัง โดยเฉพาะตัวเอกอย่างแฟนธอม และคริสติน ที่โชว์ทั้งทักษะการแสดง และพลังเสียงอย่างน่าทึ่ง ขนาดผมดูห่างๆยังสัมผัสได้เลย และเพลงแต่ละเพลงก็โดดเด่นมากๆ อย่าง The Music of the Night ที่สะกดให้คริสตินหลงใหลไปกับแฟนธอม หรือ All I Ask of You เพลงพลอดรักของราอูลและคริสติน ซึ่งต่อมากลายเป็นเพลงสาปแช่งของแฟนธอมไป แต่ที่เด่นสุดๆ ก็คงต้องยกให้เพลงหลัก The Phantom of the Opera ที่โดดเด่นตั้งแต่เสียงไปป์ออร์แกนตอนต้นที่น่ากลัวและลึกลับ บวกกับเสียงร้องแบบโอเปร่า และตัดอารมรณ์ด้วยเสียงกีตาร์แบบเพลงร๊อค และเสียงซีเควนซ์อีเล็กโทรนิกส์ กลายเป็นเพลงที่โดดเด่นและแปลกมากๆเพราะเรื่องเกิดในอดีตแท้ๆ แต่กลับใช้เครื่องดนตรีสมัยใหม่ แต่ดันเข้ากันได้อย่างลงตัวมากๆ น่าทึ่งดีครับ สร้างบรรยากาศได้ดีมากๆ

ส่วนตัวผมแล้ว บอกตรงๆว่าคุ้มมากกับการทีได้ดูงานระดับโลกอย่างเรื่องนี้โดยไม่ต้องถ่อไปถึงต่างแดน แม้จะเป็นทีมงานกลุ่มที่เดินสายแสดง แต่งานก็ออกมาเยี่ยมยอดมากๆ รู้สึกว่าไม่ควรพลาดจริงๆ ขอเตือนนิดนึงสำหรับชาวไทยที่จะไปดู รักษาเวลาหน่อยก็ดีครับ เพราะถ้าเริ่มเล่นแล้ว จะเข้าโรงลำบากครับ เพราะเค้าจะปิดไฟมืด ไม่ให้รบกวนนักแสดง ต้องรอเข้าเป็นจังหวะ จะพลาดของดีซะเปล่าๆครับ เห็นการแสดงจะเริ่มแล้ว หลายคนยังชิลๆ ไม่เตรียมตัวเข้าโรงเลย จะหาว่าไม่เตือนนะ

 

1 comment:

Joe Sampson said...

ผ่านไปนานละ แต่ก็ยังคิดถึงเรื่องนี้
อยากดูเลมิสด้วย