Monday, May 20, 2013

Justin Timberlake เปลี่ยนแนวแล้วรุ่ง

ในวงการเพลง อิมเมจตอนเริ่มต้นเปิดตัวของศิลปินขายดีโดยมากแล้วมักจะฝังกับตัวศิลปินคนนั้น การที่จะเปลี่ยนแนวเพลง เปลี่ยนสไตล์ แล้วประสบความสำเร็จเหมือนเดิมก็เป็นเรื่องยากมาก เพราะคนจำภาพเดิมมากกว่า ยิ่งศิลปินป๊อปวัยใสหลายคนที่พออายุมากขึ้นก็พยายามจะเปลี่ยนแนวมาเป็นศิลปินจริงจัง แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความล้มเหลวกันโดยมาก แต่ต้องยกเว้นให้กับคนนึงคือ Justin Timberlake

20experienceTom-Munro_justin-timberlake

Justin Timberlake เกิดปี 1981 ในเทนเนซซี อเมริกา โดยเขาเริ่มเข้าวงการตั้งแต่เด็กๆ โดยเริ่มจากรายการทางช่องดิสนีย์ นั่นคือ The New Mickey Mouse Club โดยมีเพื่อนร่วมรุ่นที่กลายมาเป็นดาราดังหลายรายคือ JC Chasez อนาคตเพื่อนร่วมวง Britney Spears ว่าที่แฟนในอนาคต Christina Aguilera รวมไปถึง Ryan Gosling (คนหลังนี่เงิบสุด) เรียกได้ว่าแววออกแต่เด็ก

และก้าวต่อมาในวงการบันเทิงของเขาก็คือการร่วมวง N’Sync เป็นนักร้องหลักของวง ซึ่งวงก็มาจากโรงงานผลิตศิลปินวัยรุ่นยุคนั้นของ Max Martin ที่ปั้นตั้งแต่ Backstreet Boys, Britney Spears และยังมาทำเพลง It’s My Life ให้ Bon Jovi อีก และ N’Sync ก็กลายเป็นวงพ๊อพที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และครองใจสาวน้อยเกือบทั้งโลก (นึงถึงบีเบอร์ยุคนี้ครับ) ก่อนที่จะพักวงในปี 2002

ซึ่งในช่วงพักวงนี้เอง ที่ Justin Timberlake มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วยการออกผลงานเดี่ยว นั่นก็คือ Justified ในปี 2002 ซึ่งเขาก็พยายามเปลี่ยนแปลงภาพของศิลปินวัยใส กลายเป็นศิลปิน R&B อย่างเต็มตัว และดึงเอาโปรดิวเซอร์ดังๆอย่าง Timbaland และ Brian McKnight มาร่วมงานด้วย และตัวงานเองก็เหมือนกับการแสดงความเคารพศิลปินรุ่นพี่อย่าง Michael Jackson อย่างมาก โดยเฉพาะซิงเกิ้ลเด่นอย่าง Rock Your Body ที่แทบจะมาในรูปแบบเดียวกับไมเคิลยุค  Off The Wall (หยิบมาฟังตอนนี้ทาบกับ Get Lucky ของ Daft Pun ได้เนียนๆเหมือนกัน) นอกจาหนี้ยังมีเพลงเด่นอย่าง Like I Love You เพลงที่โจ๊ะแบบที่มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Timbaland ชวนให้เราเต้นตามได้อย่างดี และยังมีบัลลาดนุ่มๆอย่าง Still on My Brain ที่ทำให้เขาได้ครวญอย่างเพลิน แต่เพลงที่เด่นสุดคงหนีไม่พ้น Cry My A River ที่ดังเป็นพลุแตก และเอาชนะใจหลายคนที่เคยสบประมาทเขาไว้ได้เป็นอย่างดี

ชื่อของเขามาดังเป็นพลุแตกอีกทีเมื่อขึ้นแสดงใน Super Bowl ปี 2004 ร่วมกับ Janet Jackson แล้วเกิดเหตุการณ์นมหกแบบสดๆหน้าจอคนทั่วทั้งประเทศ กลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดในสังคมยุคนั้นเลยทีเดียว เล่นเอาเราแอบคิดว่าเขาสลัดภาพดาราวัยใสได้ด้วยเหตุการณ์นี้ได้หมดจดเหมือนกัน หลังจากเหจุการณ์นั้น เค้าก็หันไปเน้นด้านการแสดงมากกว่า ส่วน N’Sync ก็กลายเป็นอดีตไปเรียบร้อย

หลังจากหันไปเล่นหนัง ในปี 2006 เขาก็กลับมาอีกครั้งนึงกับงานเดี่ยวที่ชื่อว่า Futuresex/Lovesounds และกลายเป็นงานที่ส่งให้เขาเป็นศิลปินอย่างเต็มตัวก็ว่าได้ เพราะมันคืองานเพลงพ๊อพ R&B ที่ทำออกมาได้ทันสมัยและโฉบเฉี่ยวเอามากๆ จนกลายเป็นงานเด่นแบบที่เล่นเอาหลายคนอึ้งเลยทีเดียว ตั้งแต่เพลงเปิดตัว SexyBack ที่เด่นด่วยเสียงแบบ Timbaland (อีกแล้ว) เล่นเอากลายเป็นเพลงดังที่เปิดตามคลับแทบทุกแห่งทั่วโลก ด้วยความเซ็กซี่ของมัน แถมอัลบั้มนี้ยังเต็มไปด้วยเพลงเด่นๆที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลหลายต่อหลายเพลง ทั้ง My Love ที่ร่วมงานกับ T.I. ที่เป็นเพลง R&Bช้าๆแล้ว MV เด่นด้วยการออกแบบท่าเต้นที่งดงาม Lovestoned ที่ฉาบฉวยและแสนเท่ What Goes Around... ที่เด่นด้วยเสียงกีตาร์แบบละติน และเพลงก็เซ็กซี่เอามากๆ ทั้งอัลบั้มเต็มไปด้วยเสียงของดนตรี R&B ยุคใหม่ที่ล้ำยุคและโดดเด่นเหนือศิลปินรุ่นเดียวกัน แถมยังปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างสมศักดิ์ศรีด้วยเพลง Pose ที่ร่วมงานกับ Snoop Dogg ได้แบบ super-cool เหลือเกิน จนเรียกได้ว่า Futuresex/Lovesounds คืองานที่เปลี่ยนจาก Justin Timberlake อดีตวง N’Sync กลายเป็น JT เจ้าพ่อเพลง R&B คนใหม่อย่างเต็มตัว

JT-Live-Performance-2013-justin-timberlake-34096861-811-1024
ไม่เพียงแค่ความสำเร็จของงานชุดก่อนที่ทำให้คนหันมามองเขาใหม่ แต่ยังเป็นภาพลักษณ์ของเขาด้วยที่ทำให้คนชื่นชอบมากขึ้น จากศิลปินพ๊อพวัยรุ่นที่เข้าถึงยาก (ดูพวกนี้ยุคไหนก็มักจะโดนคนหมั่นไส้) แต่เขากลับมาเล่นตลกในรายการ Saturday Night Live โดยร่วมกับวง The Lonely Island ทำเพลงล้อเลียนแบบตลกโปกฮา ติดหนวดปลอมแบบเชยๆ แต่งตัวแบบช่วงต่อยุค 80-90 ทำเพลงฮาแตก อย่าง Dick in the Box เพลงที่ร้องว่าเจาะรูที่กล่องแล้วใส่ไส้กรอกเป็นของขวัญให้เธอ หรือ Mother Lovers เพลงสุดฮาที่พร้อมจะมีอะไรกับแม่เพื่อน เพื่อแสดงความรักในวันแม่ แต่ละเพลงฮาแสบสุดๆ และกลายเป็นโฉมใหม่ของเขาที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเฟรนด์ลี่มากกว่าเดิม


และหลังจากไปทำนู่นทำนี่มาซะนาน ปล่อยให้เรารอว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ JT ก็กลับมากับอัลบั้มใหม่ The 20/20 Experience ที่หลายคนเฝ้ารอ ไม่ทำให้ผิดหวังครับ แค่ซิงเกิ้ลแรก Suit & Tie เพลงแรกที่ร่วมงานกับ Jay-Z เขาก็โชว์เสียงแบบโซลยุคใหม่ที่ฉาบฉวยแสนเท่ แม้จะยังไม่อาจเทียบกับรุ่นครูอย่าง Maxwell หรือ D’Angelo แต่เขาก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ในแบบของเขาจริงๆ เล่นเอาเราอยากไปโชว์ลีลาบนฟลอร์ลีลาศ และตัวอัลบั้มก็คล้ายกัน ความโจ๊ะแบบอัลบั้มก่อนอาจจะหายไป แต่เราได้งานที่โชว์พลังเสียงที่โดดเด่นของเขา แต่ละเพลงเป็นนีโอโซลชั้นเยี่ยมที่เราอยากจะฟังในบาร์ทึมๆอวลควันบุหรี่ได้ อย่าง That Girl ส่วนเพลงจังหวะเร้าอารมณ์อย่าง Strawberry Bubblegum ก็เหมาะกับการควงวิสกี้ซิงเกิ้ลมอลต์ยืนจิบอยู่ข้างๆสาวคนรัก ส่วน Mirrors คือเพลงที่คล้ายๆกับ Cry Me A River ซึ่งเหมาะเหลือเกินที่จะเป็นเพลงปิดท้ายก่อนที่คลับจะค่อยๆเร่งไฟให้สว่างขึ้น The 20/20 Experience คืออัลบั้มที่เต็มไปด้วยความฉาบฉวย เซ็กซี่ เท่ และรสนิยม อย่างแท้จริง จนเมื่อมองย้อนกลับไป จะเห็นได้ว่า JT ช่างเดินทางมาไกลจากจุดเริ่มต้นของเขาจริงๆ


ปัญหาทางตันของศิลปินขวัญใจวัยรุ่นคือสิ่งที่พวกเขาแอบกลัวกันอยู่ลึกๆ เพราะความสดหนุ่มมีอายุการใช้งานจำกัด แต่ทั้งที่หลายคนรู้ตัว ก็ไม่อาจฉีกตัวเองออกมาได้ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำสำเร็จ และ Justin Timberlake คือตัวอย่างของคนที่เปลี่ยนแนวทางเดินแล้วประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆ

No comments: