Monday, May 27, 2013

Phoenix ในที่สุดก็ดังซะที

วงบางวงก็เริ่มต้นจากการเป็นวงเล็กๆ ออกอัลบั้มมาไม่น้อย ก่อนที่จะมี Turning Point ออกผลงานดัง จนเปลี่ยนตัวเองจากวงระดับธรรมดา กลายเป็นวงแถวหน้า และออกผลงานที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงได้ และ Phoenix เองก็เป็นหนึ่งในวงประเภทที่ว่า

phoenix2

Phoenix คือวงที่จุติในประเทศฝรั่งเศส โดยมีสมาชิกวงคือ Laurent Brancowitz (โลรอง กีตาร์) Thomas Mars (โทมัส ร้องนำ) Deck d'Arcy (เดค เบส) และ Christian Mazzalai (คริสเตียน กีตาร์) โดยเริ่มต้นคือ สามหนุ่มหลัง เริ่มตั้งวงการาจเล่นกันเองในบ้านของพวกเขาในปารีส ก่อนที่ต่อมา ปี 1995 โลรอง พี่ชายของคริสเตียนที่เพิ่งยุบวง Darlin’ (ที่ร่วมงานกับ โทมัส และ กี แห่ง Daft Punk จะว่าไป เขาคือสมาชิกคนที่ 3 ของ Daft Punk ก็ว่าได้) ก็เข้ามาร่วมแจมเป็นสมาชิกถาวรอีกคน กลายเป็นไลน์อัพ 4 คนที่ไม่เคยเปลี่ยนของวง Phoenix

เมื่อเป็นชิ้นเป็นอัน พวกเขาก็เริ่มสร้างผลงานออกซิงเกิ้ลด้วยตัวเอง ก่อนที่จะถูกค่ายเพลง Source Records ค่ายเพลงดังของทางฝรั่งเศส ที่เป็นบ้านของ Daft Punk, Air, Dimitri from Paris และ Alex Gopher มาดึงตัวไปเข้าสังกัด

พอมีสังกัดดี พวกเขาก็เริ่มติดปี บวกกับเป็นช่วงที่ดนตรีของทางฝรั่งเศสมาแรงมากๆ โดยเริ่มเจาะตลาดตั้งแต่ Daft Punk และยังมีศิลปินเฟรนช์เฮาส์ดีๆเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่วงปลายยุค 90 ต่อยุค 2000 เป็นเวลาทองของศิลปินจากฝรั่งเศสจริงๆ และก็เหมือนกับพวกเขาแห่กันมาเป็นทีม เพราะวงนั้นวงนี้มักจะมีอะไรเชื่อมกันเสมอ และการที่โลรองเคยเป็นสมาชิกวงเก่าร่วมกับ Daft Punk มาก่อน ก็เป็นประเด็นทำให้คนสนใจเพลงพวกเขาไปด้วย

พวกเขาออกอัลบั้มแรก Untitled ในปี 2000 ซึ่งก็ผ่านสายตาผมเวลาอ่านสื่อเหมือนกัน จนได้เพื่อนชาวออซซี่เอามาให้ฟังโดยอ้างวง Daft Punk นั่นแล และก็ไม่ผิดหวังครับ แม้เพลงของ Phoenix จะออกไปในทางเพลงพ๊อพร๊อค มากกว่าที่จะเป็นเพลงเต้นรำ แต่มันก็มีความติดหู มุ้งมิ่ง ฟังได้เพลินจนเราเสพติดในทันที ตั้งแต่เพลงอย่าง Too Young ที่เสียงกีตาร์สวยเสียเหลือเกิน บวกเข้ากับเสียงร้องนิ่มๆของโทมัส ทำให้เรานึกถึงการนั่งรถไฟผ่านชนบทของฝรั่งเศสในวันที่แดดอบอุ่น อีกเพลงที่เด่นไม่แพ้กันคือ If I Ever Feel Better ที่เป็นเพลงพ๊อพฟังสบายผสมกลิ่นของดนตรีดิสโกย้อนยุคหน่อย ชวนให้เราโยกตามแบบนิ่มๆได้ ที่เจ๋ง พวกเขายังโชว์ความหลากหลายของแนวทางเพลงที่พวกเขาทำได้ด้วย On Fire ที่เหมือนๆกับเพลงร๊อคจากยุค 70 หรือ Funky Squaredance, Pts. 1 – 3 ที่เริ่มต้นด้วยเพลงพ๊อพนิ่มๆ ติดกลิ่นลูกทุ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเพลงฟังค์ แล้วปิดท้ายด้วยสเตเดี้ยมร๊อคโชว์ลีดกีตาร์ แปลกไม่เบา และด้วยความที่พวกเขาทำเพลงต่างไปจากวงฝรั่งเศสในช่วงเดียวกัน ทำให้เป็นที่สนใจของนักฟังเพลงไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่พวกเขากลับไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างในวงกว้าง ความสำเร็จถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มนักฟังเพลงซะมากกว่า

หลังจากเงียบไปสี่ปี พวกเขาก็กลับมาในปี 2004 กับ Alphabetical งานชุดที่สอง ซึ่งเด่นด้วยสองซิงเกิ้ลอย่าง Everything is Everything และ Run, Run, Run สองเพลงพ๊อพลูกผสมฟังสบายที่ทำให้พวกเขาดังขึ้นกว่าเดิมบ้าง และในปี 2006 พวกเขาก็ออกงานชุดที่สาม It's Never Been Like That ที่นำด้วยซิงเกิ้ลอย่าง Long Distance Call และ Consolation Prize ก็ยังเป็นงานเพลงที่ฟังสบายเหมือนเดิม ดูเหมือนพวกเขาจะทำเพลงในแนวที่ถนัดได้อย่างไม่หมดไอเดีย แต่ที่เป็นปัญหาคือพวกเขาไม่ดังแบบเปรี้ยงปร้างซักที

Phoenix-live-at-the-o2-Brixton-Accademy-28th-Oct-2009-95

แต่ปัญหานั้นก็จบลงเมื่อ พวกเขากลับมากับงานชุดที่สี่ Wolfgang Amadeus Phoenix ในปี 2009 พวกเขาพยายามโปรโมทงานอย่างเต็มที่ ทั้งการปล่อยให้ทดลองฟังทางอินเตอร์เน็ต การออกทัวร์ในอเมริกา รวมไปถึงการแสดงในรายการทีวีอีกด้วย และด้วยการทำงานหนัก กับการมุ่งมั่นกับแนวเพลงที่พวกเขาถนัดก็ส่งผลเสียที เมื่อ WAP เป็นงานเพลงที่ดังเปรี้ยงปร้างไปทั่วโลก หลังจากที่ของดีมีมานาน แต่เหล่าฝูงชนเพิ่งรู้จักว่ามีอยู่ แต่ดังช้าก็ยังดีกว่าไม่ดังครับ แหม่ พวกเขาเอาใจแฟนเพลงด้วย 1901 เพลงที่ยกย่องปารีสในอดีต ซึ่งก็เป็นเพลงพ๊อพแบบที่พวกเขาถนัดและทำมาตลอด ซึ่งเราก็หลงรักได้โดยทันที นี่คือเสน่ห์ของพวกเขาที่ไม่เคยเปลี่ยน เช่นเดียวกับ Lisztomania เพลงพ๊อพหนุงๆหนิงๆ ฟังสบายๆ แล้วค่อยปรับให้เร็วขึ้นช่วงท้าย อีกเพลงที่ฟังสบายคือ Rome ที่คล้ายกับเพลงพ๊อพยุค 80 หน่อยๆ ในขณะที่ Girlfriend ก็นิ่มนวลและอบอุ่นเช่นเคย อีกซิงเกิ้ลอย่าง Lasso ก็เพราะติดหูด้วยจังหวะย่ำๆและกีตาร์ที่ติดหู

ด้วยเสน่ห์แบบของพวกเขา และคาวมพยายามในการโปรโมทอย่างมีแผนการที่ชัดเจน ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างเสียที และ Wolfgang Amadeus Phoenix ก็ส่งให้พวกเขาขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์ในชั่วข้ามคืน หลังจากที่ล้มลุกคลุกคลานในวงการเพลงเป็นสิบปี กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตนักดนตรีของพวกเขาจริงๆ

และหลังจากที่ดังเปรี้ยงขนาดนั้น เหล่าแฟนๆก็ต่างตั้งหน้าตั้งตารองานชุดใหม่ของพวกเขา ซึ่งมันก็ออกมาในปีนี้ กับชื่อ Bankrupt! ซึ่งเปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลแรก Entertainment

ครั้งแรกที่ได้ฟัง ก็ตกใจกับอินโทรที่ฟังแล้วจีนจ๋ามากๆ ยิงดู MV ที่เป็นฉากต่างๆจากหนังเกาหลี/จีน (ไม่แน่ใจเพราะผมไม่ได้ดูแนวนี้) มันกลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี เป็นเหมือนงานทริบิวต์ให้กับความร่งเรืองของวงการบันเทงเอเชีย หรือจะมองอีกมุมหนึ่ง มันอาจสื่อว่า ความบันเทิงนั้นไร้พรมแดน เพลงอื่นในอัลบั้มนั้นก็ยังเด่นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ลถัดไปอย่าง Trying to be Cool ที่เนียนแบบไร้ที่ติ Drakkar Noir ก็พ๊อพ 80 ที่ติดหูเอามากๆ เช่นเดียวกับ Don’t โดยส่วนตัวชอบความลึกลับของเพลง Bankrupt เอามากๆ

Bankrupt! คืองานที่ทำออกมาได้อย่างประณีตแบบไร้ที่ติ และสานต่อความน่าติดตมจาก WAP เป็นอย่างดี แม้พวกเขาจะกลายเป็นวงดัง แต่แนวทางเพลงของพวกเขาก็ยังคงเดิมคือทำเพลงพ๊อพลูกผสมชั้นเลิศ พวกเขาไม่ได้ดังเพราะเปลี่ยนแนวเพลงเอาใจใคร แต่พวกเขาดังได้เพราะสิ่งที่พวกเขาทำมาตลอดได้รับการยอมรับจากคนหมู่มากนั่นเอง

No comments: