หนึ่งในอัลบั้มที่เตรียมชิงอันดับหนึ่งในปีนี้ของผมคืองานชุดล่าสุดของ Patrick Wolf ชุดนี้ที่แสดงความเหนือชั้นในการแต่งเพลงป๊อปที่แสนละเมียดละไมแต่ยังลึกซึ้ง ราวกับหลุดมาจากยุค '80 ที่เต็มไปด้วยเพลงป๊อปที่เจิดจรัส นี่คือผลงานที่งดงามไม่ต่างจากรูปปั้นหินอ่อนที่ได้รับการแกะสลักอย่างปราณีต
One of my contenders for the best album this year is the latest album by Patrick Wolf, Lupercalia. It is such a wonderful album that reminded me of perfect pop music from the ‘80. It was well-crafted like a statue that was deliberately carved by a genius craftsman.
Friendly Fires คือวงที่มาจาก St. Albans ประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย Ed Macfarlane (เอ็ด หรือ EdMac ร้องนำ และคีย์บอร์ด) Edd Gibson (เอ็ด กีตาร์) และ Jack Savidge (แจ๊ค กลอง) ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเริ่มต้นจากการทำวง Post Hardcore ชื่อ First Day Black เมื่ออายุ 14 ปี ก่อนจะยุบไปตอนเข้ามหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย EdMac ได้ออกงานเพลงของตัวเองอีกด้วย และเมื่อเรียนจบ พวกเขาก็รวมตัวตั้งวงดนตรีอีกรอบ โดยมีอิทธิพลจาก เพลงเต้นรำ ทำนองแบบวงชูเกซ ผสมเพลงป๊อป โดยพวกเขายกให้ค่ายเพลงมินิมอลเทคโน Kompakt จากเยอรมัน Prince และ Cark Craig เป็นแรงบันดาลใจหลัก และพวกเขาเรียกตัวเองว่า Friendly Fires จากชื่อเพลงของพวกเขาเอง
พวกเขาเริ่มเป็นที่จับตามองในปี 2006 จากการแสดงที่น่าตื่นตา และได้ออก EP แรกที่ชื่อ Photobooth ผ่านค่ายอินดี้ People in The Sky ในปลายปี 2006 และตามด้วย Cross The Line ในช่วงหน้าร้อนปี 2007 และยังเป็นวงแรกที่ได้ออกรายการ Transmission ทาง Channel 4 โดยที่ยังไม่มีสังกัดด้วยซ้ำ
เมื่อมีค่ายมาโอบอุ้ม พวกเขาก็เริ่มต้นทำงานอย่างเต็มที่ โดยระหว่างนั้นก็ได้ไปทัวร์กับ Noise Tour ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารทรงอิทธิพลอย่าง NME อีกด้วย ระหว่างที่ทำงานเพลง ซิงเกิ้ลเก่าของพวกเขาอย่าง On Board ก็ถูกนำไปใช้ประกอบโฆษณา WiiFit ด้วย และงานอัลบั้มเต็ม ที่ใช้ชื่อเดียวกับวงก็ออกมาในช่วงปลายปี 2008 โดยมี On Board และ Paris เป็นซิงเกิ้ลนำร่อง และมีซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Jump In The Pool ผลงานการโปรดิวซ์ของพ่อมดอินดี้ Paul Epworth เป็นเพลงแรกของพวกเขาที่ติดชาร์ต Top 100 ซึ่งมันก็เป็นเพลงที่มากับจังหวะโจ๊ะๆ เบสไลน์ที่เบียบเข้ามาเป็นระยะบวกกับเสียงร้องที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่อเหมือนกับการได้กระโดดเข้าใส่สระว่ายน้ำกลางฤดูร้อนจริงๆ
ซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Skeleton Boy ก็เริ่มต้นด้วยเสียงแบบเทคโนย้อนยุคก่อนจะเบรคด้วยกีตาร์แตกๆ กลายเป็นเพลงที่ชวนเราโยกย้ายร่างกายตามแบบไม่หยุดจริงๆ เพลงที่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลอย่าง In The Hospital ก็คืกการผสมกันอย่างลงตัวของจังหวะเพลงฟังค์กับกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ นอกจากนี้ เพลงอื่นๆอย่าง White Diamonds ก็มันไม่แพ้กัน ส่วน Strobe ก็กลายเป็นงานมินิมอลเทคโนยุคใหม่ไปเลยครับ
ในปี 2009 พวกเขาออกอัลบั้มนี้อีกครั้งโดยมีEP แถมที่มีเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง Kiss Of Life ที่เป็นเหมือนความสดชื่นที่ได้รับจากจูบที่ริมทะเลยามเย็นจริงๆ และความสำเร็จเหล่านี้ก็ส่งให้พวกเขาได้เข้าชิงรางวัล Mercury เลยทีเดียว
ตั้งแต่เพลงแรก Live Those Days Tonight ที่เหมือนกับบอกให้เราเต้นรำแบบไม่ต้องสนวันพรุ่งนี้อีกต่อไป (ลองหา MV นี้ดูครับ) ส่วนซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Hawaiian Air ก็คือการอัดเอาความสดชื่นของฮาวายลงมาอยู่ในเพลงที่ยาว 4.16 นาที ชวนให้เราปลดปล่อยทุกสิ่งออกไปจากตัวจริงๆ ว่าที่ซิงเกิ้ลต่อไป Hurting ก็เป็นเพลงป๊อปฟังสบาย เพลงเด่นเพลงอื่นในอัลบั้มก็อย่าง 3 เพลงติด Show Me Lights ที่ชวนให้เราสนุกกับจังหวะที่แสนติดหู True Love ที่มีท่อนเบสแสนเร้าใจ ส่วน Pull Me Back To Earth ก็เหมือนการระเบิดความสุขออกมาจากทุกอณูพร้อมๆกัน ถ้าจะให้สรุปคือ Pala คืองานเพลงที่เข้าใจสัญชาติญาณความสนุกของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และพน้อมจะดึงทุกชีวิตลงไปที่แดนซ์ฟลอร์ครับ
ดีวีดีแผ่นนี้เปิดด้วยงาน CG การผจญภัยของหมี (คาดว่าคนในฮอลล์คงได้ดูเหมือนกัน) ก่อนที่จะเวทีจะค่อยๆเปิดขึ้นมา ให้เห็นเธอยืนสง่าในชุดเดรสฟูฟ่องสีม่วงอ่อน บนแท่นยกพื้น ขับขานเพลง Goodbye Happiness เพลงใหม่ของเธอ ซึ่งยอมรับเลยครับว่าเป็นการเปิดตัวอย่างสง่างามจริงๆครับ อีกจุดที่ผมชอบคือ เธอกลับไปตัดผมสั้น ดูทะมัดทะแมงเหมือนเดิม และท่าทางจะลดน้ำหนักไปได้เยอะด้วยครับ หลังจากจบเพลง ก็ตามติดด้วยเพลงโปรดของผมอย่าง travelling ที่ฟังกี่ครั้งก็เพลินติดหูไม่เคยเปลี่ยนครับ และหลังจากจบเพลง ค่อยทักทายแฟนเพลงทุกๆท่านด้วย “บองชูว์” ไปทั่วครับ และค่อยกลับมากับเพลง Take 5 (ผมขอเปลี่ยนจากภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษหมดนะครับ) ตามด้วย Prisoner of Love เพลงประกอบละครดัง Last Friends แล้วค่อยเป็นเพลง COLORS อีกเพลงสร้างชื่อของเธอจากงานชุดที่ 3 ตามด้วยเพลง Letters ก่อนที่จะแนะนำเพลงต่อไปว่า เป็นเพลงที่ เธอแต่งเนื้อเอง แต่ทำนองเอามาจากเพลงของคนอื่น นั่นคือเพลง Hymne a l’amour ~Ai no Anthem ซึ่งมาจากเพลงเก่าของ Edith Piaf นั่นเองครับ (และเป็นหนึ่งในเพลงใหม่ของอุทาดะ)
ต่อมา เธอหันไปเล่นเปียโนไปพลาง ร้องเพลง Sakura Drops ที่ได้อเรนจ์ใหม่ให้เข้ากับเปียโน ก่อนจะมีคั่นเบรคสั้นๆด้วยเพลง Eclipse ที่เป็นการโชว์ฝีมือของวงดนตรีเต็มที่ ก่อนที่เธอจะกลับมากับเพลง Passion ในชุดสีแดงอ่อน ซึ่งความอลังการของเพลงนี้ มันเหมาะกับการเล่นในฮอลล์เสียจริงๆครับ แล้วก็ตามติดด้วยเพลงยุคเดียวกันอย่าง BLUE ก่อนที่จะตามด้วยเพลง Show Me Love (Not A Dream) และ Stay Gold
แล้วเธอก็เปลี่ยนโทนด้วยเพลง Boku Wa Kuma (ผมคือหมีน้อย) ที่เป็นเพลงเด็กที่เธอแต่งเป็นครั้งแรก น่ารักมากครับ แล้วค่อยตามติดด้วยสองเพลงดังอย่าง Automatic และ First Love จากงานชุดแรก แล้วตามด้วย Flavors Of Life เพลงแสนเศร้าในฉบับบัลลาด และ Beautiful World จากอัลบั้มเดียวกัน และเพลงอัพบีทอย่าง Hikari และปิดท้ายด้วยเพลงใหม่ Niji Iro Bus (Rainbow Bus) ที่เธอแต่งมาโดยหวังให้คนในโลกเข้าใจในความแตกต่างของกัน แล้วเธอจึงจากเวทีไป
แน่นอนครับว่าต้องมีอังคอร์ เธอกลับมาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ และมานั่งดีดกีตาร์โปร่ง ในเพลง Across The Universe เพื่อเป็นเกียรติให้กับจอห์น เลนนอนที่เสียชีวิตในวันนั้น ก่อนจะร้องเพลงเข้าบรรยากาศคือ Can’t Wait Til Christmas เพลงแรกของเธอที่มีธีมเป็นเทศกาล ที่เธอโชว์พลังเสียงร้องไล่เรียงไปกับเสียงเปียโนนิ่มๆ แล้วจึงปิดท้ายอย่างเป็นทางการด้วยเพลง time will tell เพลงแรกที่เธอแต่งในชีวิตศิลปินครับ แล้วจึงค่อยๆลาเวทีไปท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนเพลง
และอัลบั้ม Back to Black ตามมาในปี 2007 ก็กลายเป็นงานมาสเตอร์พีซของชีวิตนักดนตรีของเธอ มันกลายเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน และยังเข้าชิงและคว้ารางวัลทางด้านงานเพลงจากหลายๆสถาบัน และส่งให้เธอกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ตัวจริงเสียงจริงอย่างเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ