Monday, May 31, 2010

Puressence อัญมณีที่ถูกลืม

Technorati Tags: ,

ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองเรื่องต่างๆเริ่มสงบลง พอๆกับสภาพจิตใจของผมที่เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นจนเริ่มกลับมามีอารมณ์ฟังเพลงต่างๆได้เหมือนเดิม และเมื่อกลับไปค้นอัลบั้มเก่าๆ ที่กองไว้ตั้งแต่ย้ายบ้าน ก็เจองานเพลงชนิดที่ผมเรียกว่า Forgotten Gem หรืออัญมณีที่ถูกลืม ซึ่งงานพวกนี้คือ ผลงานชั้นเลิศที่ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างที่ควรจะได้รับ แต่เมื่อเรากลับไปฟังมันทีไร ก็สร้างความสุขให้เราเสมอและได้แต่พร่ำบ่นว่าทำไมโชคชะตาเล่นตลกกับศิลปินเหล่านี้เหลือเกิน ทั้งๆที่วงห่วยๆหลายวงขายผลงานได้ไม่หยุดหย่อน วงดีๆกลับต้องเจอกับชะตาที่น่าเศร้าอย่างไม่น่าเชื่อ และวงที่ผมเจอในครั้งนี้คือ Puressence ครับ7485_490250_championing_the_underdog_puressence Puressence คืออีกวงหนึ่งที่เป็นผลงานจากเมืองแมนเชสเตอร์ แหล่งผลิตวงดนตรีชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของโลก พวกเขาประกอบไปด้วย James Mudriczki (เจมส์ ร้องนำ) Neil McDonald (นีล กีตาร์) Kevin Matthews (เควิน เบส) Tony Szuminski (โทนี่) ซึ่งพวกเขาพบกันบนรถโดยสารระหว่างทางไปดูคอนเสิร์ตในตำนานของเจ้าพ่อแห่งเมืองแมนเชสเตอร์อย่าง The Stone Roses ที่ Spike Island โดยที่พวกเขาปีนรั้วเข้าไปดูฟรี เมื่อตะลึงกับความยอดเยี่ยมของ The Stone Roses แล้ว เควินก็ตัดสินใจซื้อเบสมาหัดเล่น และสมาชิกคนอื่นๆก็ทำตาม มีแต่นีลเท่านั้นที่เล่นกีตาร์มาแต่แรกแล้ว และวง Puressence ก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

พวกเขาเริ่มทำให้คนรู้จักด้วยการติดกระดาษที่มีตัวอักษร P U R E S S E N C E ไปทั่วเมืองแมนเชสเตอร์ และพวกเขาก็ได้โอกาสกับค่าย Rough Trade ออกซิงเกิ้ลแรกในปี 1992 ก่อนจะไปออกอีกสองเพลงกับค่าย 2 Damn Loud ตามมา และผลงานของพวกเขาก็ได้เตะตาค่ายใหญ่อย่าง Island จนได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมค่ายในช่วงกลางของยุค Brit Pop และได้โอกาสเปิดตัวในฐานะวงเปิดของ Marion อีกวงจากเมืองเดียวกันที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน

พวกเขาเริ่มต้นงานกับค่ายใหญ่ด้วยการออกซิงเกิ้ลแรง I Suppose ที่จัดได้ว่าเป็นงานชั้นยอดเยี่ยมของยุคอีกเพลงหนึ่งเลยทีเดียว มันเริ่มต้นด้วยบรรยากาศทมึนด้วยเสียงเบสและกลองก่อนที่กีตาร์จะเริ่มแทรกเข้ามากับเสียงร้องอันโหยหวน จนถึงเสียงกีตาร์เปลี่ยนเป็นเสียงที่แตกกระหึ่มราวพายุฤดูร้อน เมื่อบวกเสียงที่ไม่ต่างจากไซเรนในเทพนิยายกรีก ทำให้มันกลายเป็นเพลงที่โดดเด่นและแตกต่างไปจากวงอื่นๆในยุคนั้นจริงๆ เพราะหลายๆวงพยายามที่จะสนุกสนานกัน แต่พวกเขากลับเลือกนำความมืดมิด เศร้าหมองมาใส่ในบรรยากาศของเพลง ซิงเกิ้ลที่สอง Fire ก็มาในแนวเดียวกัน ด้วยการสร้างบรรยากาศลึกลับในตัวเพลงก่อนที่จะไปอัดอย่างหนักหน่วงด้วยเสียงกีตาร์ในตอนหลัง จนทำให้เราคิดว่า แม้พวกเขาจะเริ่มตั้งวงเพราะ The Stone Roses แต่วง Radiohead ต่างหากที่เป็นอิทธิพลหลักของพวกเขาPuressence-01-big

และงานชุดแรกของพวกเขาที่ออกในปี 1996 ที่ใช้ชื่อ Puressence เหมือนกับวง ก็กลายเป็นงานที่ควรได้รับการยกย่องจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดอัลบั้มด้วยเพลง Near Distance ที่บ่งบอกให้เรารู้ได้เป็นอย่างดีกว่า จากนี้ไป เราจะได้พบกับ 43 นาทีของเสียงกีตาร์ที่ทั้งดิบกร้านและงดงามในเวลาเดียวกัน เสียงร้องที่เป็นเหมือนลูกนอกสมรสของนางฟ้าและซาตาน แทบทุกเพลงนั้นทรงพลังเพียงพอที่จะเป็นซิงเกิ้ลได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Every House on Every Street ที่ไพเราะจนหาทิ่ติไม่ได้ Casting Lazy Shadows ที่เต็มไปด้วยเสียงร้องที่หงอยเหงา Traffic Jam in Memory Lane ที่เสียงกีตาร์แตกๆนั้นโดดเด่นเสียเหลือเกิน รวมไปถึงเพลงสุดท้าย India ที่อัดกันอย่างไม่ยั้งเป็นการส่งท้ายอัลบั้มอย่างยอดเยี่ยม ปกของอัลบั้มที่เป็นรูปเรือเก่าในอู่ร้างก็สื่อถึงบรรยากาศความเหงา วังเวง และถูกทอดทิ้งของอัลบั้มนี้ได้เป็นอย่างดี น่าเศร้าที่งานชั้นเลิศระดับนี้ กลับไม่สามารถทำยอดขายได้ดีนัก

พวกเขาพยายามกลับมากับอัลบั้มที่สอง Only Forever ในปี 1998ที่บรรยากาศสดใสขึ้น ไม่หม่นหมองเหมือนเดิม โดยมีซิงเกิ้ลอย่าง This Feeling, It doesn’t Matter anymore และ All I Want เป็นตัวพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน สองเพลงแรก ยังมีคราบความดิบของกีตาร์ และจังหวะในแบบที่พวกเขาถนัด แต่มันก็สดใสกว่าเดิมมาก ส่วน All I Want นั้นก็ เป็นเพลงที่หวานๆแบบที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน เช่นเดียวกับเพลงอย่าง Standing in Your Shadow แต่ก็ยังมีเพลงหม่นๆอย่าง Turn The Lights Out When I Die ให้ได้สัมผัสอารมณ์เดิมๆ Only Forever กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของพวกเขา

พวกเชาออกผลงานชุดที่ 3 Planet Helpless ในปี 2002 แต่ว่ามันทำยอดขายไม่ได้ และทางค่ายเพลงก็บอกให้พวกเขาทำเพลงเหมือน Savage Garden หน่อย พวกเขาเลยเลือกออกจากค่าย Island ทันที แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในอังกฤษ พวกเขาก็ได้ดังที่กรีซแทน และผลงานชุดที่ 4 Don’t Forget to Remember ก็ทำยอดขายที่กรีซได้ดีกว่าในบ้านเกิด และทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังคงสร้างผลงานดนตรีที่พวกเขารักต่อไป แม้จะไม่มีโอกาส Make It Big อีกแล้ว และทิ้งผลงานเก่าๆของพวกเขาให้กลายเป็น Forgotten Gem ในวงการเพลงตลอดไป

No comments: