ต่อจากตอนที่แล้ว พวกเขาออกอัลบั้มชุดที่สอง (What’s The Story) Morning Glory? ในปี 1994 นอกจากสองซิงเกิ้ลแรกแล้ว มันยังมีซิงเกิ้ลระดับตำนานอย่าง Wonderwall ที่ร้องกันได้ทุกหัวเมือง และ Don’t Look Back in Anger ที่ไปหยิบเอา Let It Be หน่อย และยังเป็นเพลงแรกที่ Noel ได้ร้องเองด้วย และมันก็ซึ้งไม่เบาเลยครับ ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดพีค (ไม่อยากใช้คำว่า จุดสุดยอด เสียวเกิน) ของชีวิตศิลปินของพวกเขาเลยครับ เพราะนอกจากจะขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษแล้ว ยังขึ้นถึงอันดับ 4 ในชาร์ตบิลบอร์ดของอเมริกาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ศิลปินอังกฤษจะประสบความสำเร็จขนาดนี้
แม้จะดังแค่ไหน แต่ความยียวนกวนประสาทของพวกเขายังไม่จบสิ้น โนเอลและเลียมมีรถคันหรูแต่งพิเศษ แต่ขับไม่เป็นทั้งคู่ มีสระว่ายน้ำในบ้าน แต่ก็ว่ายน้ำไม่เป็น ไม่รู้อะไรของมัน และไม่นาน พอลก็ลาออกจากวงไป
หลังจากความสำเร็จอันยอดเยี่ยม เค้าลางของความยุคมืดของ Britpop ก็คืบคลานเข้ามา มันเริ่มไม่ใช่วันเฮฮาของพวกเขาอีกแล้ว และก็เป็นโอเอซิสนี่เอง ที่ได้ชื่อว่า เป็นวงที่ออกอัลบั้มปิดตำนานยุค Britpop เนื่องจากอัลบั้ม Be Here Now ในปี 1997 ของพวกเขานั้น คือการ Anti-Climax เป็นการหักหลังความคาดหวังของแฟนเพลงทุกคนอย่างแท้จริง
ทำไมผมถึงกล้าพูดอย่างนั้น เพราะว่า Be Here Now ขาดความสด ความหนุ่มที่เป็นสเน่ห์ของพวกเขานั่นเองครับ แค่ซิงเกิ้ลแรก Do You Know What I Mean ก็ชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเลือกซาวนด์ที่อลังการแทนที่จะเป็นความดิบแบบเดิมๆ ตัวอัลบั้มนั้นเป็นความน่าเบื่ออย่างแท้จริง เพลงที่พอจะไปวัดไปวาได้คือ Stand By Me และ Don’t Go Away ที่เรียกไฟแช๊กได้ทุกคอนเสิร์ต นอกจากนั้นไม่มีอะไรน่าจดจำจริงๆครับ ยังมีความน่าเบื่อยาว 9 นาทีอย่าง All Around The World อีก แม้จะขายได้ดี แต่ในแง่ดนตรีแล้ว มันน่าเบื่อสุดๆครับ ยังดีที่พวกเขาเลือกออก The Masteplan อัลบั้มรวมเพลงแถมซิงเกิ้ลของพวกเขาในปีต่อมา เพราะจริงๆแล้ว เพลงแถมหลายเพลงดีกว่าเพลงในอัลบั้มนั้นอีกครับ ไม่ว่าจะเป็น Talk Tonight, Rocking Chair, Stay Young หรือ (It’s Good) To Be Free ที่สดและกลมกล่อมเหมือนกับเพราพึ่งแกะกล่องมันทุกครั้งทีได้ฟังเลยครับ
หลังจากนั้น โบนเฮดก็ออกจากวงไปอีก (ต่อมา ได้มาเล่นให้เสก โลโซ เมื่อเสกบุก Glastonbury โถ ชีวิต) พวกเขาได้ Gem Archer อดีตวง Heavy Stereo และ Andy Bell จาก Ride และ Hurricane #1 มาเสริมในตำแหน่งกีตาร์และเบสตามลำดับ ทั้งๆที่ Andy ไม่เคยเล่นเบสมาก่อนแท้ๆ
Oasis ฉบับไร้สมาชิกดั้งเดิมออกผลงานใหม่ในปี 2000 ชื่อ Standing on the shoulder of Giants ซึ่งนอกจากจะเป็นอัลบั้มที่มีชื่องี่เง่าสุดๆ (ยืนบนใหล่เดียวของยักษ์หลายตัว ตกภาษาอังกฤษรึเปล่า) ยังเป็นอัลบั้มที่น่าเบื่อยิ่งกว่าเดิมอีก ต้องขอบอกตรงๆว่า ผมฟังได้แค่รอบสองรอบ แล้วก็ไม่ได้ฟังอีกเลยครับ เลยจำไม่ค่อยได้ เพราะว่ามันเป็นอัลบั้มที่แห้งแล้ง และน่าเบื่อจนไม่คิดจะเสียเวลากับมันอีกเลยครับ
ยังดีที่พวกเขารู้ทางสว่าง พวกเขากลับมาในปี 2002 กับอัลบั้มใหม่ชื่อ Heathen Chemistry ที่ดูเหมือนพวกเขาจะจับแนวทางที่พวกเขาควรเดินได้สำเร็จ แม้จะช้าไปหน่อย มันคือการคืนฟอร์มที่สวยงามของพวกเขาจริงๆ แต่ละซิงเกิ้ลของอัลบั้มนี้ เป็นเพลงที่ทรงพลังในแบบที่พวกเขาเคยทำสำเร็จมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Stop Crying Your Heart Out ที่เหมือนกับกลั่นออกมาจากหัวใจจริงๆ ส่วน Hindu Times ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน Little By Little ก็ได้เสียงที่ทรงพลังของโนเอลมาเพิ่มความหนักแน่นให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี ส่วน Songbird ก็เป็นซิงเกิ้ลแรกของวงที่โนเอลไม่ได้แต่ง แต่เป็นไอ้เลียมแต่งเอง และมันก็โชว์กึ๋นออกมาได้ดีจริงๆครับ ความเยี่ยมของอัลบั้มนี้ ทำให้ลืมอัลบั้มที่แล้วได้เลยทีเดียว
แต่แทนที่จะทำตัวดีๆ ทั้งเหล้าและยาส่งผลต่ออาชีพพวกเขา ทั้งการยกเลิกการแสดง ต่อยตำรวจ ต่อยกันเอง คอนเสิร์ตห่วยๆ ทำให้หลายคนแทบจะกาชื่อพวกเขาออกไปแล้ว
แต่พวกเขาก็ยังเป็นที่ไว้ใจได้ เมื่อออกอัลบั้ม Dig Out Your Soul ในปี 2009 ที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง มันกลายเป็นอีกอัลบั้มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จของพวกเขา โดยไม่มีใครคิดเลยว่า จะกลายเป็นอัลบั้มสุดท้ายอีกด้วย
เรื่องมันเกิดในเดือนสิงหาคม เมื่อ พี่น้องทั้งสองทะเลาะกันจนเลียมไปพักกีตาร์ของพี่ชายเขา ผลคือ โนเอลเลือกที่จะเดินออกจากวงทันที และหลังจากนั้น สมาชิกที่เหลือก็ยังใช้ชื่อ Oasis อยู่ โดยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่สุดท้าย ก็เลือกเดินหน้าต่อไปในนามวงใหม่ ผิดตำนาน Oasis วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกวงหนึ่งของเกาะอังกฤษไปอย่างน่าเสียดาย ที่ผมพูดได้อย่างเดียวคือ พี่น้องกันแท้ๆ มันจะทะเลาะอะไรกันนักหนา
No comments:
Post a Comment