เมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสองวาระหลบความร้อนเมืองไทยไปยลดอกซากุระที่ญี่ปุ่นรวมเกือบสองอาทิตย์ เล่นเอาไม่อยากกลับไทยเลย และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่พลาดทำเสมอคือ การอัดพลงสารพัดลง iPod คู่กายที่ใช้มาเกือบ 5 ปีแล้ว เพื่อใว้ฟังเวลาเดินทาง แต่มานั่งดูดีๆ วงหนึ่งที่อยู่ใน iPod ของผมมาตลอดแบบไม่เคยโดนลบเลยคือ LostProphets วงลูกผสมสุดมันส์จากเวลส์นั่นเอง
LostProphets เริ่มต้นใน Pontypridd ที่เวลส์จากการแยกตัวออกมาจากวงเก่าของ Ian Watkins (เอียน ร้องนำ) และ Mike Lewis (ไมค์ กีตาร์) และต่อมาก็ได้ Lee Gaze (ลี กีตาร์) และ Mike Chiplin (ไมค์ กลอง) มาเพิ่ม และเปลี่ยนชื่อวงเป็น LostProphets โดยได้มาจากวง Duran Duran และเริ่มเตรียมทำผลงานชุดแรก
ก่อนที่งานชุดแรกจะเสร็จ ดีเจคนเก่าก็ขอออกจากวงไป พวกเขาเลยดึงเอา Jamie Oliver (เจมี่ ดีเจ ไม่ใช่คนที่เป็นเชฟนะ) มาร่วมวงแทน และพวกเขาก็ออกผลงานชุดแรก thefakesoundofprogress ในช่วงปี 2001 ซึ่งเป็นงานชุดแรกที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะความสำเร็จของดนตรี Nu-Metal ในช่วงนั้น ทำให้วงดนตรีที่ผสมดนตรีหลากหลายเข้าด้วยกันอย่างพวกเขาก็ถูกจัดอยู่ในหมวดเดียวกันโดยทันที จะเรียกว่าเป็นการเกาะกระแสแบบกลายๆก็ได้ เพลงเด่นสุดมันของพวกเขาคือ Shinobi Vs. Dragon Ninja นั้นสะใจชวนกระโดดและกระชากเหวี่ยงไปมาอย่างเต็มที่จริงๆ (และเป็นเพลงประจำคาราโอเกะของผมไปแล้ว) นอกจากนั้นยังมีเพลงมันๆอย่าง Kobrakai หรือ The Fake Sound of Progress ให้สะใจอีก
ผลจากความยอดเยี่ยมของอัลบั้มแรก ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่เมื่อกระแส Nu-Metal เสื่อม ก็ทำให้เราคิดว่า แล้วจะเกิดอะไรกับพวกเขา หลังจากจบทัวร์ พวกเขาก็เริ่มแต่งเพลงใหม่ ที่จะออกมาเป็นอัลบั้มที่สอง Start Something ในปี 2004
พวกเขาเบิกทางด้วยเพลงมันส์ๆอย่าง Burn Burn ก่อน และแนวทางมันก็เริ่มชัดว่าพวกเขามีแนวทางของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งกระแส เมื่อซิงเกิ้ลที่สอง Last Train Home เพลงที่ชวนแหกปากร้องตามออกวางขายและติดอันดับในชาร์ต พวกเขาก็กลายเป็นวงชื่อดังขึ้นมาทันที พวกเขาตามความสำเร็จด้วยเพลงมันๆอย่าง Make a Move ทันที และมันก็ยังคงมันส์สะใจเหมือนเก่า Start Something กลายเป็นอัลบั้มที่ส่งพวกเขาอยู่ในฐานะดาราทันที เพราะมันทั้งเจ๋งสุดฝีตีนและยังผสมผสานอิทธิพลต่างๆและเพิ่มความสะใจเข้ามาได้อย่างลงตัว เพลงทุกเพลงในอัลบั้มทรงพลังพอที่จะตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลได้ทุกเพลงเลยทีเดียว สองซิงเกิ้ลต่อมาคืองานโปรดของผม นั่นคือ Last Summer ที่นอกจากบรรยากาศจะเหมือนในชื่อเพลงแล้ว มันยังชวนเราขับรถออกไปรับลมในฤดูร้อนจริงๆ ส่วน Good Bye Tonight ก็ชวนเร่งคันเร่งให้สุดฝีตีนเหลือเกิน
จากความยอดเยี่ยมของ Start Something ก็ทำให้พวกเขาโด่งดังไปทั่ว และกวาดรางวัลหลากหลายและได้เล่นในเทศกาลดังๆ นอกจากนี้ความเท่ห์ของวงทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำแฟชั่นไปโดยทันที Ian กลายเป็นคนดังของนิตยสารกอสสิปทันที
พวกเขาใช้เวลาสองปีเพื่อกลับมากับอัลบั้มชุดที่สามที่ทุกคนเฝ้ารอ แต่ก่อนนั้น Mike Chiplin ก็ลาออกจากวงเพื่อทำผลงานอื่น และ Liberation Transmission ก็ออกวางขายในปี 2006 โดยมีเพลงที่ชวนวัยรุ่นแหกปากตะโกนพร้อมกันอย่าง Rooftops เป็นเพลงเปิดตัวอย่างครึกโครม โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบเพลงนี้มากเพราะแทบจะเป็นเพลงปลุกใจของเหล่าวัยรุ่นจริงๆ
และ Liberation Transmission ก็เป็นความสำเร็จที่งดงามอีกครั้งของพวกเขา เพราะพวกเขายังรู้สูตรเคมีแห่งความสำเร็จเป็นอย่างดี มันผสมผสานทั้งความหนัก ความมัน และความโจ๊ะเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการแหกปากตามใน Everrybody Screaming จังหวะโจ๊ะๆสนุกๆใน A Town Called Hypocrisy อีกซิงเกิ้ล หรือเพลงBroken Hearts, Torn Up Letters And The Story Of A Lonely Girl ที่ยังฟังได้เพลินไม่ต่างกับ Goodbye Tonight และยังมีเพลงช้าเพราะๆอย่าง 4:AM Forever อีกด้วย และงานชุดนี้ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาคือตัวจริงที่ไม่ต้องการกระแสเลยแม้แต่น้อย
และหลังจากปล่อยให้รอมานาน พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งในปีนี้กับอัลบั้มใหม่ The Betrayed ที่มีงานเพลงช้าแต่หนักอย่าง It's Not The End Of The World, But I Can See It From Here และอัลบั้มนี้ก็ไม่ได้ทำให้แฟนเพลงผิดหวังเลย เพราะมันยังเต็มไปด้วยเพลงเจ๋งๆเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น DSTRYR/DSTRYR ที่มันส์ไม่เปลี่ยน Dirty Little Heart ที่มากับไลน์กีตาร์ชวนซิ่งรถอีกแล้ว ส่วน Where We Belong ก็มากับเสียงร้องประสานระดับเมพ ส่วน For He's A Jolly Good Felon ก็มากับจังหวะโจ๊ะๆอีกแล้ว ทำให้เราอยากติดตามวงนี้ต่อไปเรื่อยๆ
LostProphets ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้จะเริ่มต้นดังมาได้เพราะกระแส แต่ว่าถ้าหากมีแนวเพลงที่ชัดเจนและรู้ดีว่าควรจะทำอะไร ก็สามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวแบบนี้ได้อย่างมั่นคง
No comments:
Post a Comment