Monday, May 31, 2010

Puressence อัญมณีที่ถูกลืม

Technorati Tags: ,

ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองเรื่องต่างๆเริ่มสงบลง พอๆกับสภาพจิตใจของผมที่เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นจนเริ่มกลับมามีอารมณ์ฟังเพลงต่างๆได้เหมือนเดิม และเมื่อกลับไปค้นอัลบั้มเก่าๆ ที่กองไว้ตั้งแต่ย้ายบ้าน ก็เจองานเพลงชนิดที่ผมเรียกว่า Forgotten Gem หรืออัญมณีที่ถูกลืม ซึ่งงานพวกนี้คือ ผลงานชั้นเลิศที่ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างที่ควรจะได้รับ แต่เมื่อเรากลับไปฟังมันทีไร ก็สร้างความสุขให้เราเสมอและได้แต่พร่ำบ่นว่าทำไมโชคชะตาเล่นตลกกับศิลปินเหล่านี้เหลือเกิน ทั้งๆที่วงห่วยๆหลายวงขายผลงานได้ไม่หยุดหย่อน วงดีๆกลับต้องเจอกับชะตาที่น่าเศร้าอย่างไม่น่าเชื่อ และวงที่ผมเจอในครั้งนี้คือ Puressence ครับ7485_490250_championing_the_underdog_puressence Puressence คืออีกวงหนึ่งที่เป็นผลงานจากเมืองแมนเชสเตอร์ แหล่งผลิตวงดนตรีชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของโลก พวกเขาประกอบไปด้วย James Mudriczki (เจมส์ ร้องนำ) Neil McDonald (นีล กีตาร์) Kevin Matthews (เควิน เบส) Tony Szuminski (โทนี่) ซึ่งพวกเขาพบกันบนรถโดยสารระหว่างทางไปดูคอนเสิร์ตในตำนานของเจ้าพ่อแห่งเมืองแมนเชสเตอร์อย่าง The Stone Roses ที่ Spike Island โดยที่พวกเขาปีนรั้วเข้าไปดูฟรี เมื่อตะลึงกับความยอดเยี่ยมของ The Stone Roses แล้ว เควินก็ตัดสินใจซื้อเบสมาหัดเล่น และสมาชิกคนอื่นๆก็ทำตาม มีแต่นีลเท่านั้นที่เล่นกีตาร์มาแต่แรกแล้ว และวง Puressence ก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

พวกเขาเริ่มทำให้คนรู้จักด้วยการติดกระดาษที่มีตัวอักษร P U R E S S E N C E ไปทั่วเมืองแมนเชสเตอร์ และพวกเขาก็ได้โอกาสกับค่าย Rough Trade ออกซิงเกิ้ลแรกในปี 1992 ก่อนจะไปออกอีกสองเพลงกับค่าย 2 Damn Loud ตามมา และผลงานของพวกเขาก็ได้เตะตาค่ายใหญ่อย่าง Island จนได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมค่ายในช่วงกลางของยุค Brit Pop และได้โอกาสเปิดตัวในฐานะวงเปิดของ Marion อีกวงจากเมืองเดียวกันที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน

พวกเขาเริ่มต้นงานกับค่ายใหญ่ด้วยการออกซิงเกิ้ลแรง I Suppose ที่จัดได้ว่าเป็นงานชั้นยอดเยี่ยมของยุคอีกเพลงหนึ่งเลยทีเดียว มันเริ่มต้นด้วยบรรยากาศทมึนด้วยเสียงเบสและกลองก่อนที่กีตาร์จะเริ่มแทรกเข้ามากับเสียงร้องอันโหยหวน จนถึงเสียงกีตาร์เปลี่ยนเป็นเสียงที่แตกกระหึ่มราวพายุฤดูร้อน เมื่อบวกเสียงที่ไม่ต่างจากไซเรนในเทพนิยายกรีก ทำให้มันกลายเป็นเพลงที่โดดเด่นและแตกต่างไปจากวงอื่นๆในยุคนั้นจริงๆ เพราะหลายๆวงพยายามที่จะสนุกสนานกัน แต่พวกเขากลับเลือกนำความมืดมิด เศร้าหมองมาใส่ในบรรยากาศของเพลง ซิงเกิ้ลที่สอง Fire ก็มาในแนวเดียวกัน ด้วยการสร้างบรรยากาศลึกลับในตัวเพลงก่อนที่จะไปอัดอย่างหนักหน่วงด้วยเสียงกีตาร์ในตอนหลัง จนทำให้เราคิดว่า แม้พวกเขาจะเริ่มตั้งวงเพราะ The Stone Roses แต่วง Radiohead ต่างหากที่เป็นอิทธิพลหลักของพวกเขาPuressence-01-big

และงานชุดแรกของพวกเขาที่ออกในปี 1996 ที่ใช้ชื่อ Puressence เหมือนกับวง ก็กลายเป็นงานที่ควรได้รับการยกย่องจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดอัลบั้มด้วยเพลง Near Distance ที่บ่งบอกให้เรารู้ได้เป็นอย่างดีกว่า จากนี้ไป เราจะได้พบกับ 43 นาทีของเสียงกีตาร์ที่ทั้งดิบกร้านและงดงามในเวลาเดียวกัน เสียงร้องที่เป็นเหมือนลูกนอกสมรสของนางฟ้าและซาตาน แทบทุกเพลงนั้นทรงพลังเพียงพอที่จะเป็นซิงเกิ้ลได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Every House on Every Street ที่ไพเราะจนหาทิ่ติไม่ได้ Casting Lazy Shadows ที่เต็มไปด้วยเสียงร้องที่หงอยเหงา Traffic Jam in Memory Lane ที่เสียงกีตาร์แตกๆนั้นโดดเด่นเสียเหลือเกิน รวมไปถึงเพลงสุดท้าย India ที่อัดกันอย่างไม่ยั้งเป็นการส่งท้ายอัลบั้มอย่างยอดเยี่ยม ปกของอัลบั้มที่เป็นรูปเรือเก่าในอู่ร้างก็สื่อถึงบรรยากาศความเหงา วังเวง และถูกทอดทิ้งของอัลบั้มนี้ได้เป็นอย่างดี น่าเศร้าที่งานชั้นเลิศระดับนี้ กลับไม่สามารถทำยอดขายได้ดีนัก

พวกเขาพยายามกลับมากับอัลบั้มที่สอง Only Forever ในปี 1998ที่บรรยากาศสดใสขึ้น ไม่หม่นหมองเหมือนเดิม โดยมีซิงเกิ้ลอย่าง This Feeling, It doesn’t Matter anymore และ All I Want เป็นตัวพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน สองเพลงแรก ยังมีคราบความดิบของกีตาร์ และจังหวะในแบบที่พวกเขาถนัด แต่มันก็สดใสกว่าเดิมมาก ส่วน All I Want นั้นก็ เป็นเพลงที่หวานๆแบบที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน เช่นเดียวกับเพลงอย่าง Standing in Your Shadow แต่ก็ยังมีเพลงหม่นๆอย่าง Turn The Lights Out When I Die ให้ได้สัมผัสอารมณ์เดิมๆ Only Forever กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของพวกเขา

พวกเชาออกผลงานชุดที่ 3 Planet Helpless ในปี 2002 แต่ว่ามันทำยอดขายไม่ได้ และทางค่ายเพลงก็บอกให้พวกเขาทำเพลงเหมือน Savage Garden หน่อย พวกเขาเลยเลือกออกจากค่าย Island ทันที แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในอังกฤษ พวกเขาก็ได้ดังที่กรีซแทน และผลงานชุดที่ 4 Don’t Forget to Remember ก็ทำยอดขายที่กรีซได้ดีกว่าในบ้านเกิด และทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังคงสร้างผลงานดนตรีที่พวกเขารักต่อไป แม้จะไม่มีโอกาส Make It Big อีกแล้ว และทิ้งผลงานเก่าๆของพวกเขาให้กลายเป็น Forgotten Gem ในวงการเพลงตลอดไป

Monday, May 24, 2010

ซีดีแผ่นใหม่ Placebo และ Tom McRae

Technorati Tags: ,,

ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า จนกระทั่งเขียนงานชิ้นนี้ ผมเองก็ยังปรับสภาพสมองตัวเองไม่เสร็จ หลังจากช๊อคจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราทั้งหมด ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากขอไว้อาลัยให้กับความสูญเสียทั้งหมดทั้งปวง และหวังว่าคนไทยจะเอาเหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรสอนใจ เพื่อที่จะไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดแบบนี้อีก เพื่อที่มันจะไม่ได้เกิดขึ้นอีก และหวังว่าเลือดของคนในชาติจะไม่ต้องหลั่งแบบไม่จำเป็นแบบนี้อีก ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ความตาย ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้ ครับ ผมนึกไม่ถึงว่า 18 ปีผ่านไป ผมจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก

และเนื่องจากหมดเวลาไปกับการติดตามข่าวสารบ้านเมือง ทำให้ไม่มีเวลาพอที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับวงดนตรีต่างๆเพื่อเอามาเสนอแบบที่ทำเป็นประจำ จึงขอหยิบเอาซีดีทีได้รับมามารีวิว ให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้รู้จักกันครับ

Placebo – Covers

Placebo-Covers-503100

อัลบั้มชุดใหม่ของวง Placebo ที่พึ่งมาแสดงสดในเมืองไทยหมาดๆ จะว่าใหม่ ก็ไม่ใหม่จริง เพราะว่า งานชิ้นนี้ เคยเป็นแผ่น Bonus Disc สำหรับอัลบั้ม Sleeping with Ghost ในปี 2003 มาก่อน ก่อนที่จะถูกนำเอามากผลิตออกขายในปี 2007 ในชื่อ Covers ก่อนที่บ้านเราจะเอามาทำขายในปี 2010 ที่ผ่านมา มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มาครับ เพราะคิดว่า หลายคนคงอยากจะฟังงานชุดนี้จริงๆ

เนื่องจาก ช่วงหลังๆ กระแสงานเพลง Running Up That Hill ที่วง Placebo ไปเอาเพลงของเจ้าแม่แห่งความหลุดโลกอย่าง Kate Bush มาคัฟเวอร์ กำลังเป็นที่โด่งดัง เนื่องจากมันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชุดเรื่อง Vampire Diaries และบรรยากาศของเพลงที่ทั้งลึกและมืดหม่นกว่าต้นฉบับที่จังหวะจะเร็วกว่านั้น ทำให้มันเป็นเพลงที่เหมาะสมกับหนังลึกลับๆเป็นอย่างดี หลายคนยังบอกว่าชอบฉบับของ Placebo มากกว่าต้นฉบับด้วยซ้ำ และทำให้งาน Covers ที่เป็นงานที่รวมผลงานของทางวงที่นำเพลงของวงอื่นมาคัฟเวอร์ เป็นที่สนใจของหลายๆท่าน

สองเพลงที่ผมเคยฟังมาก่อนคือ Bigmouth Strikes Again ที่ทางวงเคยคัฟเวอร์ The Smiths ในอัลบั้มทริบิวต์วง The Smiths ที่ใช้ชื่อเดียวกับเพลงดังกล่าวที่ออกมาขายตั้งแต่สมัยผมยังเรียนอยู่เลยครับ ส่วนอีกเพลงคือ 20th Century Boy ของ T-Rex ที่ทางวงส่งประกวดในอัลบั้มประกอบภาพยนตร์เรื่อง Velvet Goldmine ที่โคตรจะหลุดโลก โดยที่ทางวงก็ได้ไปปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนเพลงนี้ก็มันและเปรี้ยวไม่แพ้ต้นฉบับครับ

นอกจากสามเพลงที่กล่าวมา เพลงอื่นๆก็เจ๋งไม่แพ้กันครับ ไม่ว่าจะเป็น Johnny and Mary ที่ทางวงเอาเพลงของ Robert Palmer มาทำใหม่ได้อย่างเพลิดเพลิน อีกเพลงที่ผมชอบคือ Where Is My Mind ที่เอาเพลงเก่าของ The Pixies มาทำใหม่ครับ ในขณะที่ Holocaust ก็เงียบเหงาและวังเวงได้บรรยากาศดีจริงๆครับ ส่วนเพลงเก่าของ Depeche Mode อย่าง I Feel You ก็ได้รับการคืนชีพอย่างน่าสนใจเช่นกันครับ โดยเฉพาะเสียงกีตาร์หลอนๆตลอดเพลงนั้นฟังได้เพลินใจจริงๆครับ ส่วนเพลงสุดท้ายที่ทำให้ผมตกใจมากที่สุดคือ Daddy Cool ที่เป็นเพลงเก่าของ Boney M ตำนานเพลงดิสโกที่พวกเขาเอามาทำใหม่ให้เป็นเพลงร๊อคได้อย่างสนุกเอาเรื่องเลยล่ะครับ จนอยากให้เอาไปเล่นตามผับคงมันพิลึก คนรุ่น The Palace คนเฮกันตรึม ถึงจะออกมาวางขายช้า แต่ก็ยังเป็นงานที่น่าสนใจครับ

Tom McRae – Alphabets of Hurricanestom-mcrae

งานเพลงชุดที่ 5 นักร้องนักแต่งเพลงรุ่นเก๋าจากอังกฤษที่ยังคงรักษาความงดงามและละเมียดละไมของบทเพลงของเขาไว้ได้อย่างดี ไม่ห่างจากแนวเพลงโฟล์คสมัยใหม่แบบที่เขาถนัด และเมื่อฟังงานชุดนี้ก็ทำให้ผมปากค้างในความงดงามของการเรียบเรียงทั้งดนตรีและภาษาที่เรียกได้ว่าสมศักดิ์ศรีนักร้องนักแต่งเพลงจริงๆ และผมดีใจและตกใจมากที่ Platinum กล้าเอาอัลบั้มดีๆแต่ไม่ดังแบบนี้มาให้เราได้ฟังกัน

เพลงอย่าง American Spirit คือเพลงที่เราอยากเปิดเมื่อขับรถทั้งคืนเพื่อไปดูประอาทิตย์ยามเช้าที่ชายหาดกับหญิงคนรักพลางกุมมือกัน ส่วนเพลงอย่าง Please ก็บ่งบอกถึงสปิริตของเสรีชนที่ชวนเรากู่ร้องเพื่ออิสระอย่างแท้จริง Can’t Find You ก็เป็นเพลงเรียบๆง่ายๆ แต่สวยงามไม่น้อยหน้าเพลงอื่น เช่นเดียวกับ Best Winter ที่ผมไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของ Ukulele รึเปล่า เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง Still Love You เองก็งดงามทั้งเนื้อหาและดนตรี แต่เพลงโปรดที่สุดในอัลบั้มนี้ของผมคงเป็น Summer Of John Wayne ที่ทั้งไพเราะ ทั้งเศร้าสร้อยและตัดพ้อ จนทำให้เรานึกถึง Ryan Adams ในช่วงพีคของเขาเลยทีเดียว

Alphabets of Hurricanes อาจจะเป็นงานที่เข้าถึงยากสำหรับคนที่ไม่ไกด้ฟังเพลงอย่างจริงจังมาก แต่ลองให้เวลามันสักหน่อย แล้วจะตกหลุมรักมันแบบถอนตัวไม่ขึ้นครับ

Monday, May 17, 2010

The Riot Songs บทเพลงขบถ

ตอนที่กำลังเขียนบทความนี้ ผมยอมรับว่าอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยเป็นสุขเท่าไหร่ เนื่องจากนั่งตามข่าวการชุมนุมประท้วงที่กำลังโดนเรียกพื้นที่คือในลักษณธการล้อมปราบซะมากกว่า จนเกิดเหตุคนตายอีกแล้ว ผมเป็นคนสันติวิธี เป็นมนุษยนิยม ไม่อยากเห็นคนตาย ไม่ว่าจะสีไหน ฝั่งไหน แต่ก็ต้องเจ็บปวดใจกับกระแสในโลกออนไลน์ที่ผมสิงอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเห็นผู้คนสารพัดดีใจที่อีกฝ่ายตาย จนอยากให้เราคิดว่า ถ้าหากนั่นเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้องของเรา เราจะคิดอย่างไร นี่มันไม่ใช่เกม ไม่ใช่หนัง ที่คนตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้ จนทำให้ผมสงสัยว่าสังคมเรามันเป็นอะไรกันไปแล้ว ไม่อยากให้คนลืมว่า ยังเป็นคนเหมือนกันครับ ไม่ใช่ควายหรืออะไรทั้งสิ้น

ขอโทษที่นอกเรื่องไปเยอะครับ แต่สถานการณ์แบบนี้ ผมเองไม่มีอารมณ์เขียนอะไรทั้งสิ้น เรื่องที่เตรียมไว้เขียน ก็เขียนไม่ออก จะให้เขียนเรื่องแฮปปี้ๆ ก็คงลำบากครับ ผมเลยเปลี่ยนมาเขียนเกี่ยวกับเพลงกับการประท้วงแทน

ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเป็นต้นมา บทเพลงก็กลายเป็นอาวุธอีกอย่างหนึ่งในการประท้วง หรือเรียกร้องสิทธิของคนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสังคม ตั้งแต่บ๊อบ ดีแลนกรีดเสียงกีตาร์ครวญเพลง Blowin’ In The Wind บทเพลงก็กลายเป็นอาวุธที่มีอำนาจสูงในการประท้วง ทำให้หลังจากนั้น จิตวิญญาณการประท้วงยังคงสืบต่อมาในวงการเพลง จนหลายครั้ง การทำเพลงคือการแสดงออกเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่นักดนตรีเหล่านั้นเห็นไม่ได้เห็นด้วย หรือต่อสู้เพื่อคนที่ด้อยโอกาสในสังคม อย่างเช่นการแต่งเพลงให้กับคนคุกของ Johnny Cash แต่บางส่วนต่อมาก็กลายเป็นดนตรีพังค์ ที่ต่อต้านระบบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Sex Pistols หรือ The Clash ที่แต่งเพลงเจ๋งๆไว้หลายเพลง เช่น I Fought The Law

แต่เพลงที่ผมหยิบมาเสมอเมื่อนึกถึงการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชน คือเพลง Nehemiah ซิงเกิ้ลสุดท้ายจากอัลบั้ม The Lost Riots ของ กบฏผู้พ่ายแพ้อย่าง Hope of The States นั่นเองครับ แม้วงนี้จะแตกไปแล้ว (และผมเคยเขียนถึงแล้ว) แต่ก็ยังทิ้งผลงานระดับ Masterpiece ไว้ให้พวกเราได้ชื่นชมอยู่เสมอ ที่ผมเลือกเพลงนี้ ก็มีความหมายที่อยู่ในเนื้อเพลงอยู่แล้วล่ะครับ ลองมาดูกัน ผมคงขอแปลเฉพาะท่อนที่สำคัญด้วยเหตุผลของเนื้อที่ในคอลัมน์นะครับ

Nehemiah, last survivor
In this cynical world.
Sparks come from anywhere,
It's the fire that matters.
Nehemiah sing to the storm,
Make it turn around.
It's all decided before you're born.
Friendly fire, burn the liars.
Don't feel like you're alone.
Let them all hide behind
Dead flags and old lies.
Nehemiah you were the leader,
We all just followed.
Sparks come from anywhere,
It's the fire that matters.
Hear us singing we sing:
yeah, yeah, yeah, yeah.
No self pity we sing:
yeah, yeah, yeah, yeah, yeah.
People come on make a stand.
Come on people if you try you can.
You're not alone when the lights go off.
We stand together when it all stops.

กระสุนของพวกเดียวกัน ฆ่าคนโกหก

รู้สึกไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว

ปล่อยให้ของพวกนั้นอยู่ข้างหลังเรา

ธงที่ตายแล้วและคำโกหกคร่ำครึ

เนเฮไมห์ คุณคือผู้นำ

ที่เราจะติดตาม

ประกายไฟมาจากทุกที่

แต่ต้นไฟสิ ที่สำคัญจริงๆ

พวกเราจะร้องไปด้วยกัน

เย่ห์ เย่ห์ เย่ห์ เย่ห์

ไม่ต้องสมเพชตัวเอง

เย่ห์ เย่ห์ เย่ห์ เย่ห์

ฝูงชนเอ๋ย มาร่วมสู้กัน

มาเถอะ หากเราสู้ เราต้องทำได้

เธอไม่เดียวดายแม้ไร้ซึ่งแสงไฟ

เราจะยืนอยู่เคียงข้างกันเมื่อทุกอย่างมันจบลง

โดยรวมแล้ว อัลบั้มนี้ ทำออกมาในบรรยากาศการโจมตีประเทศอิรักรอบที่สอง ทั้งอัลบั้มเลยเชื่อมโยงกับสถานการณ์นั้น แค่ MV ของซิงเกิ้ลแรกอย่าง Black Dollar Bills ก็โดนแบนทันที ข้อหาทำให้คนนึกถึงสงครามและความโหดร้าย แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เลือกที่จะสุ้ด้วยเสียงดนตรีและอุดมการณ์ของพวกเขาครับ แม้ว่า พวกเขาจะแยกวงหลังจากออกผลงานมาแค่สองอัลบั้ม แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ได้สร้างผลงานที่จะเป็นที่จดจำในวงการเพลง และเพลง Nehemiah ก็เป็นเพลงที่แสดงให้เห็นถึงความหวังในการลุกขึ้นสู้ แม้วันนี้อาจจะพ่ายแพ้ แต่หากสู้ต่อไป สักวัน ก็จะเป็นชัยชนะของประชาชนนั่นเองhope_of_the_states

ไม่ว่าตอนนี้จะมืดมิดแค่ไหน แต่อย่างน้อย แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ยังทำให้เรามีความหวังเสมอครับ แต่ตอนนี้ ผมขอมองหาแสงที่ปลายอุโมงค์ก่อนครับ

ขอโทษนะครับที่เรื่องวันนี้แทบจะไม่เกี่ยวกับเพลง จะพยายามกลับมาเขียนให้ได้เหมือนเดิมครับ

สุดท้าย วันนี้ที่คุณถือหนังสือพิมพ์เล่มนี้อ่านอยู่ จำได้ไหมครับว่าเคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในวันนี้เมื่อ 18 ปีก่อน

Monday, May 10, 2010

LostProphets:กลับมากับความมันส์

Technorati Tags: ,

เมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสองวาระหลบความร้อนเมืองไทยไปยลดอกซากุระที่ญี่ปุ่นรวมเกือบสองอาทิตย์ เล่นเอาไม่อยากกลับไทยเลย และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่พลาดทำเสมอคือ การอัดพลงสารพัดลง iPod คู่กายที่ใช้มาเกือบ 5 ปีแล้ว เพื่อใว้ฟังเวลาเดินทาง แต่มานั่งดูดีๆ วงหนึ่งที่อยู่ใน iPod ของผมมาตลอดแบบไม่เคยโดนลบเลยคือ LostProphets วงลูกผสมสุดมันส์จากเวลส์นั่นเอง

LostProphets เริ่มต้นใน Pontypridd ที่เวลส์จากการแยกตัวออกมาจากวงเก่าของ Ian Watkins (เอียน ร้องนำ) และ Mike Lewis (ไมค์ กีตาร์) และต่อมาก็ได้ Lee Gaze (ลี กีตาร์) และ Mike Chiplin (ไมค์ กลอง) มาเพิ่ม และเปลี่ยนชื่อวงเป็น LostProphets โดยได้มาจากวง Duran Duran และเริ่มเตรียมทำผลงานชุดแรก

ก่อนที่งานชุดแรกจะเสร็จ ดีเจคนเก่าก็ขอออกจากวงไป พวกเขาเลยดึงเอา Jamie Oliver (เจมี่ ดีเจ ไม่ใช่คนที่เป็นเชฟนะ) มาร่วมวงแทน และพวกเขาก็ออกผลงานชุดแรก thefakesoundofprogress ในช่วงปี 2001 ซึ่งเป็นงานชุดแรกที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเลยทีเดียวlostprophets_1024x7681

เพราะความสำเร็จของดนตรี Nu-Metal ในช่วงนั้น ทำให้วงดนตรีที่ผสมดนตรีหลากหลายเข้าด้วยกันอย่างพวกเขาก็ถูกจัดอยู่ในหมวดเดียวกันโดยทันที จะเรียกว่าเป็นการเกาะกระแสแบบกลายๆก็ได้ เพลงเด่นสุดมันของพวกเขาคือ Shinobi Vs. Dragon Ninja นั้นสะใจชวนกระโดดและกระชากเหวี่ยงไปมาอย่างเต็มที่จริงๆ (และเป็นเพลงประจำคาราโอเกะของผมไปแล้ว) นอกจากนั้นยังมีเพลงมันๆอย่าง Kobrakai หรือ The Fake Sound of Progress ให้สะใจอีก

ผลจากความยอดเยี่ยมของอัลบั้มแรก ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่เมื่อกระแส Nu-Metal เสื่อม ก็ทำให้เราคิดว่า แล้วจะเกิดอะไรกับพวกเขา หลังจากจบทัวร์ พวกเขาก็เริ่มแต่งเพลงใหม่ ที่จะออกมาเป็นอัลบั้มที่สอง Start Something ในปี 2004Lostprophets Dance Floor

พวกเขาเบิกทางด้วยเพลงมันส์ๆอย่าง Burn Burn ก่อน และแนวทางมันก็เริ่มชัดว่าพวกเขามีแนวทางของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งกระแส เมื่อซิงเกิ้ลที่สอง Last Train Home เพลงที่ชวนแหกปากร้องตามออกวางขายและติดอันดับในชาร์ต พวกเขาก็กลายเป็นวงชื่อดังขึ้นมาทันที พวกเขาตามความสำเร็จด้วยเพลงมันๆอย่าง Make a Move ทันที และมันก็ยังคงมันส์สะใจเหมือนเก่า Start Something กลายเป็นอัลบั้มที่ส่งพวกเขาอยู่ในฐานะดาราทันที เพราะมันทั้งเจ๋งสุดฝีตีนและยังผสมผสานอิทธิพลต่างๆและเพิ่มความสะใจเข้ามาได้อย่างลงตัว เพลงทุกเพลงในอัลบั้มทรงพลังพอที่จะตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลได้ทุกเพลงเลยทีเดียว สองซิงเกิ้ลต่อมาคืองานโปรดของผม นั่นคือ Last Summer ที่นอกจากบรรยากาศจะเหมือนในชื่อเพลงแล้ว มันยังชวนเราขับรถออกไปรับลมในฤดูร้อนจริงๆ ส่วน Good Bye Tonight ก็ชวนเร่งคันเร่งให้สุดฝีตีนเหลือเกิน

จากความยอดเยี่ยมของ Start Something ก็ทำให้พวกเขาโด่งดังไปทั่ว และกวาดรางวัลหลากหลายและได้เล่นในเทศกาลดังๆ นอกจากนี้ความเท่ห์ของวงทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำแฟชั่นไปโดยทันที Ian กลายเป็นคนดังของนิตยสารกอสสิปทันทีlostprophets

พวกเขาใช้เวลาสองปีเพื่อกลับมากับอัลบั้มชุดที่สามที่ทุกคนเฝ้ารอ แต่ก่อนนั้น Mike Chiplin ก็ลาออกจากวงเพื่อทำผลงานอื่น และ Liberation Transmission ก็ออกวางขายในปี 2006 โดยมีเพลงที่ชวนวัยรุ่นแหกปากตะโกนพร้อมกันอย่าง Rooftops เป็นเพลงเปิดตัวอย่างครึกโครม โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบเพลงนี้มากเพราะแทบจะเป็นเพลงปลุกใจของเหล่าวัยรุ่นจริงๆ

และ Liberation Transmission ก็เป็นความสำเร็จที่งดงามอีกครั้งของพวกเขา เพราะพวกเขายังรู้สูตรเคมีแห่งความสำเร็จเป็นอย่างดี มันผสมผสานทั้งความหนัก ความมัน และความโจ๊ะเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการแหกปากตามใน Everrybody Screaming จังหวะโจ๊ะๆสนุกๆใน A Town Called Hypocrisy อีกซิงเกิ้ล หรือเพลงBroken Hearts, Torn Up Letters And The Story Of A Lonely Girl ที่ยังฟังได้เพลินไม่ต่างกับ Goodbye Tonight และยังมีเพลงช้าเพราะๆอย่าง 4:AM Forever อีกด้วย และงานชุดนี้ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาคือตัวจริงที่ไม่ต้องการกระแสเลยแม้แต่น้อย

และหลังจากปล่อยให้รอมานาน พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งในปีนี้กับอัลบั้มใหม่ The Betrayed ที่มีงานเพลงช้าแต่หนักอย่าง It's Not The End Of The World, But I Can See It From Here และอัลบั้มนี้ก็ไม่ได้ทำให้แฟนเพลงผิดหวังเลย เพราะมันยังเต็มไปด้วยเพลงเจ๋งๆเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น DSTRYR/DSTRYR ที่มันส์ไม่เปลี่ยน Dirty Little Heart ที่มากับไลน์กีตาร์ชวนซิ่งรถอีกแล้ว ส่วน Where We Belong ก็มากับเสียงร้องประสานระดับเมพ ส่วน For He's A Jolly Good Felon ก็มากับจังหวะโจ๊ะๆอีกแล้ว ทำให้เราอยากติดตามวงนี้ต่อไปเรื่อยๆLostprophets-shot1-788674

LostProphets ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้จะเริ่มต้นดังมาได้เพราะกระแส แต่ว่าถ้าหากมีแนวเพลงที่ชัดเจนและรู้ดีว่าควรจะทำอะไร ก็สามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวแบบนี้ได้อย่างมั่นคง

Monday, May 3, 2010

Oasis มันจบแล้วครับนาย (ตอนจบ)

Technorati Tags: ,

ต่อจากตอนที่แล้ว พวกเขาออกอัลบั้มชุดที่สอง (What’s The Story) Morning Glory? ในปี 1994 นอกจากสองซิงเกิ้ลแรกแล้ว มันยังมีซิงเกิ้ลระดับตำนานอย่าง Wonderwall ที่ร้องกันได้ทุกหัวเมือง และ Don’t Look Back in Anger ที่ไปหยิบเอา Let It Be หน่อย และยังเป็นเพลงแรกที่ Noel ได้ร้องเองด้วย และมันก็ซึ้งไม่เบาเลยครับ ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดพีค (ไม่อยากใช้คำว่า จุดสุดยอด เสียวเกิน) ของชีวิตศิลปินของพวกเขาเลยครับ เพราะนอกจากจะขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษแล้ว ยังขึ้นถึงอันดับ 4 ในชาร์ตบิลบอร์ดของอเมริกาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ศิลปินอังกฤษจะประสบความสำเร็จขนาดนี้

แม้จะดังแค่ไหน แต่ความยียวนกวนประสาทของพวกเขายังไม่จบสิ้น โนเอลและเลียมมีรถคันหรูแต่งพิเศษ แต่ขับไม่เป็นทั้งคู่ มีสระว่ายน้ำในบ้าน แต่ก็ว่ายน้ำไม่เป็น ไม่รู้อะไรของมัน และไม่นาน พอลก็ลาออกจากวงไป

หลังจากความสำเร็จอันยอดเยี่ยม เค้าลางของความยุคมืดของ Britpop ก็คืบคลานเข้ามา มันเริ่มไม่ใช่วันเฮฮาของพวกเขาอีกแล้ว และก็เป็นโอเอซิสนี่เอง ที่ได้ชื่อว่า เป็นวงที่ออกอัลบั้มปิดตำนานยุค Britpop เนื่องจากอัลบั้ม Be Here Now ในปี 1997 ของพวกเขานั้น คือการ Anti-Climax เป็นการหักหลังความคาดหวังของแฟนเพลงทุกคนอย่างแท้จริงOasis-WORLD-tour-2009

ทำไมผมถึงกล้าพูดอย่างนั้น เพราะว่า Be Here Now ขาดความสด ความหนุ่มที่เป็นสเน่ห์ของพวกเขานั่นเองครับ แค่ซิงเกิ้ลแรก Do You Know What I Mean ก็ชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเลือกซาวนด์ที่อลังการแทนที่จะเป็นความดิบแบบเดิมๆ ตัวอัลบั้มนั้นเป็นความน่าเบื่ออย่างแท้จริง เพลงที่พอจะไปวัดไปวาได้คือ Stand By Me และ Don’t Go Away ที่เรียกไฟแช๊กได้ทุกคอนเสิร์ต นอกจากนั้นไม่มีอะไรน่าจดจำจริงๆครับ ยังมีความน่าเบื่อยาว 9 นาทีอย่าง All Around The World อีก แม้จะขายได้ดี แต่ในแง่ดนตรีแล้ว มันน่าเบื่อสุดๆครับ ยังดีที่พวกเขาเลือกออก The Masteplan อัลบั้มรวมเพลงแถมซิงเกิ้ลของพวกเขาในปีต่อมา เพราะจริงๆแล้ว เพลงแถมหลายเพลงดีกว่าเพลงในอัลบั้มนั้นอีกครับ ไม่ว่าจะเป็น Talk Tonight, Rocking Chair, Stay Young หรือ (It’s Good) To Be Free ที่สดและกลมกล่อมเหมือนกับเพราพึ่งแกะกล่องมันทุกครั้งทีได้ฟังเลยครับ

หลังจากนั้น โบนเฮดก็ออกจากวงไปอีก (ต่อมา ได้มาเล่นให้เสก โลโซ เมื่อเสกบุก Glastonbury โถ ชีวิต) พวกเขาได้ Gem Archer อดีตวง Heavy Stereo และ Andy Bell จาก Ride และ Hurricane #1 มาเสริมในตำแหน่งกีตาร์และเบสตามลำดับ ทั้งๆที่ Andy ไม่เคยเล่นเบสมาก่อนแท้ๆ

Oasis ฉบับไร้สมาชิกดั้งเดิมออกผลงานใหม่ในปี 2000 ชื่อ Standing on the shoulder of Giants ซึ่งนอกจากจะเป็นอัลบั้มที่มีชื่องี่เง่าสุดๆ (ยืนบนใหล่เดียวของยักษ์หลายตัว ตกภาษาอังกฤษรึเปล่า) ยังเป็นอัลบั้มที่น่าเบื่อยิ่งกว่าเดิมอีก ต้องขอบอกตรงๆว่า ผมฟังได้แค่รอบสองรอบ แล้วก็ไม่ได้ฟังอีกเลยครับ เลยจำไม่ค่อยได้ เพราะว่ามันเป็นอัลบั้มที่แห้งแล้ง และน่าเบื่อจนไม่คิดจะเสียเวลากับมันอีกเลยครับoasis_band

ยังดีที่พวกเขารู้ทางสว่าง พวกเขากลับมาในปี 2002 กับอัลบั้มใหม่ชื่อ Heathen Chemistry ที่ดูเหมือนพวกเขาจะจับแนวทางที่พวกเขาควรเดินได้สำเร็จ แม้จะช้าไปหน่อย มันคือการคืนฟอร์มที่สวยงามของพวกเขาจริงๆ แต่ละซิงเกิ้ลของอัลบั้มนี้ เป็นเพลงที่ทรงพลังในแบบที่พวกเขาเคยทำสำเร็จมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Stop Crying Your Heart Out ที่เหมือนกับกลั่นออกมาจากหัวใจจริงๆ ส่วน Hindu Times ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน Little By Little ก็ได้เสียงที่ทรงพลังของโนเอลมาเพิ่มความหนักแน่นให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี ส่วน Songbird ก็เป็นซิงเกิ้ลแรกของวงที่โนเอลไม่ได้แต่ง แต่เป็นไอ้เลียมแต่งเอง และมันก็โชว์กึ๋นออกมาได้ดีจริงๆครับ ความเยี่ยมของอัลบั้มนี้ ทำให้ลืมอัลบั้มที่แล้วได้เลยทีเดียว

แต่แทนที่จะทำตัวดีๆ ทั้งเหล้าและยาส่งผลต่ออาชีพพวกเขา ทั้งการยกเลิกการแสดง ต่อยตำรวจ ต่อยกันเอง คอนเสิร์ตห่วยๆ ทำให้หลายคนแทบจะกาชื่อพวกเขาออกไปแล้ว

แต่พวกเขาก็ยังเป็นที่ไว้ใจได้ เมื่อออกอัลบั้ม Dig Out Your Soul ในปี 2009 ที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง มันกลายเป็นอีกอัลบั้มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จของพวกเขา โดยไม่มีใครคิดเลยว่า จะกลายเป็นอัลบั้มสุดท้ายอีกด้วย

เรื่องมันเกิดในเดือนสิงหาคม เมื่อ พี่น้องทั้งสองทะเลาะกันจนเลียมไปพักกีตาร์ของพี่ชายเขา ผลคือ โนเอลเลือกที่จะเดินออกจากวงทันที และหลังจากนั้น สมาชิกที่เหลือก็ยังใช้ชื่อ Oasis อยู่ โดยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่สุดท้าย ก็เลือกเดินหน้าต่อไปในนามวงใหม่ ผิดตำนาน Oasis วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกวงหนึ่งของเกาะอังกฤษไปอย่างน่าเสียดาย ที่ผมพูดได้อย่างเดียวคือ พี่น้องกันแท้ๆ มันจะทะเลาะอะไรกันนักหนา