อาทิตย์ที่แล้ว ผมเขียนเกี่ยวกับนักดนตรีที่หลงใหลในสีดำ และเปลี่ยนแนวดนตรีของตนเองมาได้อย่างน่าทึ่ง จึงๆแล้ว ไม่เพียงแต่ในฝั่งอังกฤษเท่านั้น ฝั่งอเมริกาก็มีวงดนตรีที่คล้ายกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องคลั่งสีดำ และการเปลี่ยนขั้ว เอ๊ย แนวดนตรี นั่นคือวง Black Rebel Motorcycle Club นั่นเอง
Black Rebel Motorcycle Club กำเนิดในเมือง ซาน ฟรานซิสโก เมื่อ Robert Been (โรเบิร์ต เบส ร้องนำ) และ Peter Hayes (พีเตอร์ กีตาร์ ร้องนำ) พบกันในโรงเรียนมัธยมในปี 1995 และสนิทกันได้เพราะความชอบในวงดนตรีฝั่งอังกฤษอย่าง Stone Roses, Ride, The Jesus and Mary Chain และ My Bloody Valentine ทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ร่วมงานกัน โดยต่างฝ่ายต่างก็มีวงของตัวเอง และสลับกันไปดูอีกฝ่ายเล่นสดเสมอ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระจากวงที่สังกัดอยู่ ก็ตัดสินใจตั้งวงของตัวเองขึ้นมาในปี 1998 โดยได้ Nick Jago (นิค) หนุ่มอังกฤษที่ย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่อเมริกา มาเล่นกลองให้ และเรียกตัวเองว่า The Elements ก่อนจะพบว่ามีวงอื่นที่ใช้ชื่อนี้ไปแล้ว จึงเปลี่ยนเป็น Black Rebel Motorcycle Club แทน ซึ่งชื่อนี้มาจากแก๊งซิ่ง (ไม่แว๊น) ในหนังเรื่อง The Wild One ของ Marlon Brando ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นชุดหนังสีดำ ซึ่งทางวงก็โอบรับเอาภาพลักษณ์นั้นมาเช่นกัน
พอเริ่มวงได้ซักพัก พวกเขาก็ออกงานเดโมในวงจำกัดออกมา ซึ่งโชคดีที่มันไปเข้าหูดีเจของคลื่นดัง ทำให้พวกเขาได้รับการเชียร์ และกลายเป็นวงไร้สังกัดที่มาแรงเอามากๆ ถึงขนาดดังข้ามไปเกาะอังกฤษจน Noel Gallagher ชมว่าเป็นวงโปรดที่สุดของเขาในตอนนี้ และอยากเซ็นเข้าสังกัด แต่สุดท้าย ค่าย Virgin Records ก็ได้ลายเซ็นของพวกเขาไป
พวกเขาออกทัวร์ฝึกฝีมือกับ The Dandy Warhol ซักพัก จึงเริ่มอัดเพลงของตัวเอง จนกลายมาเป็นอัลบั้มแรก B.R.M.C. ในปี 2001 ที่สุดเท่ห์ด้วยความดิบกร้าวของดนตรีการาจ และความห้าวของฮาร์ดร๊อค หลายเพลงที่ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลนั้นมันเท่ห์เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น Spread Your Love ที่มีจังหวะอันหนักหน่วง Red Eyes and Tears ที่มีเสียงกีตาร์อันโดดเด่นเหลือเกิน ส่วน Love Burns ที่ช้าลงมาหน่อยก็มีบรรยากาศอึมครึมเหมือนบาร์ที่เต็มไปด้วยสิงห์ขี้ยา เพลงเด่นที่สุดน่าจะเป็น Whatever Happened to My Rock'n'Roll (Punk Song) ที่รวดเร็วชวนเราใส่ชุดหนังควบมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนเลยทีเดียว
นอกจาก B.R.M.C. จะเป็นอัลบั้มที่ดีแล้ว มันยังออกมาได้ถูกเวลา เพราะว่ามันมาพร้อมกับยุค Garage Revival ที่นำโดย The Strokes แม้ B.R.M.C. จะไม่ได้โด่งดังมากเท่า แต่พวกเขาก็มีฐานแฟนที่แน่นเอาการ และกลายเป็นวงน้องใหม่อนาคตไกลเลยทีเดียว
แต่ความสำเร็จก็มาพร้อมกับอันตราย Nick เกิดติดยาอย่างหนักจนเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย ที่ชัดเจนคือ ตอนที่เขายืนเงียบ 9 นาที บนเวที NME Awards ตอนได้รับรางวัลกลายเป็นหัวข้อสนทนาทันที แม้อัลบั้มที่สอง Take Them On, On Your Own ในปี 2003 จะเป็นงานที่ยอดเยี่ยมกว่าอัลบั้มแรกด้วยเพลงเด่นๆอย่าง Six Barrel Shotgun หรือ We're All In Love และยังมีเพลงโจมตีรัฐบาลอย่าง US Government แต่อาการของ Nick กลับกลายเป็นเรื่องน่าสนใจกว่า จนปัญหาต่างๆรุมเร้าถึงขนาดต้นสังกัดเลือกที่จะเฉดหัวพวกเขาทิ้ง
พวกเขากลับมาในปี 2005 กับอัลบั้ม Howl ที่ Nick แทบไม่มีส่วนร่วมเลย และทำให้มันเปลี่ยนจากร๊อคเป็นอัลบั้มที่คลุ้งกลิ่น บลูส์ โฟลค์ และกอสเปล ไปแทน แม้หลายคนจะมองว่าวงเติบโตขึ้น แต่หลายเสียงก็บอกว่าพวกเขาหลงทางแล้ว
แต่พวกเขาก็เลือกเดินทางเดิม แต่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยอัลบั้มที่ 4 Baby 81 ที่ได้ Nick กลับมาร่วมงาน มันคืออัลบั้มที่ร๊อคที่สุดของพวกเขา และยังคงความสดได้เป็นอย่างดี ซิงเกิ้ลอย่าง Weapon of Choice นั้นก็เจ๋งเหลือเกิน ส่วน All You Do is Talk ทำให้เรานึกถึง Wake Me Up When September Ends ได้เลย ส่วนเพลงโปรดของผมคือ Need Some Air เป็นการาจร๊อคดิบๆเร็วๆที่มีท่อนฮุคติดหูเหลือเกิน เรียกได้ว่า พวกเขากลับมาคืนฟอร์มได้อย่างงดงามจริงๆ
แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังสร้างความประหลาดใจขึ้นอีก หลังจาก Nick ตัดสินใจลาออกจากวงอย่างเป็นทางการ พวกเขาตัดสินใจออกอัลบั้มชื่อ The Effects of 333 ในปี 2008 ในรูปแบบดาวน์โหลดอย่างเดียวผ่านค่ายเพลงของพวกเขาเอง และมันก็เป็นงานที่ถ้าไม่บอกว่าเป็นงานของ BMRC ก็คงไม่มีใครรู้เลย เพราะมันคืองานNoise ที่เป็นเพลงบรรเลงล้วนๆ มันเต็มไปด้วยเสียงสังเคราะห์หลอนๆเหมือนกับโลกหลังยุคจักรกลพิฆาตใน Terminator เสียงกีตาร์ที่เคยโดดเด่นกลับเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น ใครจะเชื่อว่าพวกเขากล้าขนาดนี้ล่ะครับ
แต่ดูเหมือนว่า มันจะเป็นแค่การทดลองเท่านั้น ตอนนี้ พวกเขากำลังอัดเสียงอัลบั้มใหม่อยู่ ซึ่งน่าจะกลับมาเป็นร๊อคเหมือนเดิม ยังไงก็รอฟังเพลงใหม่ในซาวนด์แทร๊คหนังเรื่อง New Moon ที่เขาไปร่วมทำก่อนก็ได้ครับ
No comments:
Post a Comment