Thursday, December 24, 2009

Rage Against The X-Factor อำนาจของเน็ตเวิร์คสังคม

จั่วหัวมาแบบนี้ หลายคนคงงงว่ามันจะมาไม้ไหน หรือจะเปลี่ยนไปเขียนเกี่ยวกับโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว จริงๆแล้วผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อวงการดนตรี เพื่อเป็นการสรุปยุคปี ’00 ที่กำลังจะจบลงในไม่กี่วันนี้แล้ว แต่ว่าที่อยากจะเอาเรื่องนี้มาเขียนก่อน เพราะยังสะใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหมาดๆในเกาะอังกฤษ ที่เน็ตเวิร์คสังคมที่เลื่องชื่ออย่าง Facebook ได้ออกฤทธิ์ถึงขั้นทำให้พ่อมดแห่งวงการเพลงป๊อปต้องกระอักมาแล้ว

เรื่องเริ่มต้นจากรายการรีลลิตี้ (จริงๆต้อง รีอัลลิตี้) ชื่อดังในเกาะอังกฤษชื่อ The X-Factor ซึ่งมี Simon Cowell เป็นโปรดิวเซอร์มาตลอดและได้รับความนิยมในเกาะอังกฤษแบบมหาศาล ถึงขนาดว่าวันตัดสินรอบสุดท้ายมีแต่คนลุ้นกันทั่วประเทศ (อีกรายการหนึ่งของตานี่คือ Britain’s Got Talent ที่ได้ป้าเฉิ่ม Susan Boyle ทำให้ดังไปทั่วโลกมาแล้วไงครับ) คล้ายๆกับอีกสองรายการในบ้านเราที่ยึดเวลาค่ำของช่องเก้าบ้านเรามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้ผมสงสัยว่า เราไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้วเหรอ รูปแบบรายการจะต่างจากบ้านเราหน่อยคือ มีการแข่งขันหลายกลุ่มตามประเภท แล้วก็ค่อยคัดเอาผู้ชนะของกลุ่มที่ชนะอีกที และเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่า ผู้ชนะจะได้ออกซิงเกิ้ลรับเทศกาลคริสมาส ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของเกาะอังกฤษ และกลายเป็นว่า ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ผู้ชนะจากรายการนี้คว้าอันดับหนึ่งของยอดขายซิงเกิ้ลช่วงคริสมาสมาตลอด จากการโปรดิวซ์อย่างหัวใสของอีตา Simon นั่นเอง

Simon CowellSimon Cowell พ่อมดวงการเพลง


สำหรับคนทั่วไป ก็อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับแฟนเพลงแล้ว มันหมายถึงวงการเพลงถูกครอบงำโดยอำนาจของสื่อและธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่าที่จะเป็นคนที่รักดนตรีจริงๆ และเมื่อ Joe McElderry หนุ่มน้อยหน้าใสชนะในปีที่ 6 ของรายการ X-Factor และประกาศจะออกซิงเกิ้ลเพลง The Climb เพลงคัฟเวอร์ของ Miley Cyrus ก็ทำให้นักฟังเพลงสองสามีภรรยาชื่อ Jon และ Tracy Morter ทนไม่ไหวที่จะต้องเห็นเพลงแบบนี้คว้าที่หนึ่งอีก จึงเริ่มต้นแคมเปญ Killing in the Name เพื่อส่งเพลงตามชื่อแคมเปญของวง Rage against the Machine ที่ออกวางขายตั้งแต่ปี 1992 เพื่อคว้าที่หนึ่งแทน โดยการเริ่มต้นใน Facebook นั่นเอง

Joe McElderryสิงโต เอ๊ย Joe McElderry ผู้ชนะรายการ X-Factor ปีล่าสุด


ทำไมต้องเป็นเพลงนี้ ผมคิดว่า เพราะวง RATM มีชื่อเสียงโด่งดังมานานในเรื่องการต่อต้าน พวกเขามีวีรกรรมดังๆมาตลอด เช่น เผาธงชาติ ยืนแก้ผ้าประท้วงPMRC ต่อต้านบุช พวกเขาคือสัญลักษณ์ของการต่อต้าน และ Killing in the Name ยังมีวลีเด็ดคือ “Fuck you, I won’t do what you tell me” ที่บ่งบอกถึงการไม่ยอมแพ้ได้เป็นอย่างดี และเพลงนี้ก็ถูกเลือกมาเพื่อต่อต้านอุตสาหกรรมเพลงนั่นเอง

Rage Against The Machine 1

Rage Against The Machine “We Gotta Take The Power Back” 

หลังจากตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาใน Facebook วันที่ 15 ธันวาคม BBC ก็รายงานว่ามีสมาชิกกลุ่มถึงกว่า 950,000 คน เรื่องนี้เริ่มกลายเป็นข่าวดังไปทั่ว และศิลปินหลากหลายต่างออกมาสนับสนุนแคมเปญนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัววง RATM เอง หรือ Sir Paul McCartney, Dave Grohl, The Prodigy และ Muse หรือกระทั่ง Steve Brookstein ผู้ชนะรายการ X-Factor คนแรกก็ด้วย ทุกคนต่างออกมาให้สัมภาษณ์สนับสนุนกันหมด ส่วนพ่องานก็บอกว่าจะเอารายได้ไปบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อคนไร้บ้าน

ฝ่ายเพลงป๊อป Simon Cowell ออกมาโจมตีแคมเปญดังกล่าวว่ามันดูถูกผู้อื่น และขี้ตืด ขณะที่ไอ้หนุ่ม Joe บอกว่าไม่รู้จักเพลงนี้มาก่อน แต่พอได้ฟังมัน เขาก็เกลียดมันและบอกว่ามันเป็นเพลงที่เลวร้ายเอามากๆ ต้องไม่ลืมว่า ต้นสังกัดใหญ่ของทั้ง RATM และ Joe ก็คือ Sony เหมือนกัน

เมื่อเสียงนกหวีดดัง แฟนของทั้งสองฝ่ายต่างแย่งกันดาวน์โหลดเพลงของศิลปินที่ตัวเองชอบ โดยที่ RATM ทำคะแนนนำมาตลอดโดยไม่ได้ทิ้งห่างมากนัก และ RATM ก็ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะเล่นฟรีคอนเสิร์ตถ้าชนะในครั้งนี้ และไปเล่นเพลงดังกล่าวออก BBC โดยไม่ได้ตัดท่อนที่หยาบคายออกเลย หลายคนมองว่าเมื่อแผ่นซีดีของ Joe ออกวางขาย จะช่วยยอดขายได้มาก แต่สุดท้าย RATM ก็ครองที่หนึ่งไปโดยทำยอดขายทิ้งห่างถึง 50,000 แผ่น กลายเป็นซิงเกิ้ลช่วงคริส มาสเพลงแรกที่ได้ที่หนึ่งจากการดาวน์โหลดอย่างเดียว

Rage Against The Machine 2Rage Against The Machine ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ 


ทันทีที่รู้ข่าว สามีภรรยา Morter ก็แทบไม่เชื่อหู พวกเขาดีใจมากและบอกว่า นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เด็กของ Simon Cowell เท่านั้นที่จะได้ที่หนึ่ง และพวกเขาได้อันดับหนึ่งกลับมาแล้ว RATM เองก็ดีใจเป็นอย่างมากที่ความมุ่งมั่นสามารถเอาชนะอุตสาหกรรมเพลงป๊อปได้ ส่วน Simon Cowell ได้แต่บอกว่ารู้สึกเจ็บใจ แต่ก็ยังเป็นนักกีฬาที่ดี เขาโทรไปแสดงความยินดีกับสองสามีภรรยาและยังเสนองานให้ด้วย แต่ก็โดนปฏิเสธไป ส่วนหนุ่ม Joe ก็ออกมาแสดงความยินดีผ่าน Twitter เช่นกัน ปิดตำนานการแข่งขันที่สนุกและสะใจแฟนเพลงของยุค 2009 ไปได้อย่างงดงาม

ศึกครั้งนี้ทำให้เราได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องการดาวน์โหลด เพลงที่ออกมานานแล้วยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งได้ และอำนาจของเน็ตเวิร์คสังคม มันคือการที่เดวิดเอาชนะโกไลแอธได้อย่างงดงามจริงๆ และต่อไปคงมีอะไรสนุกๆอย่างนี้มาเรื่อยๆแน่ๆครับ

 

No comments: