ตอนที่เขียนคอลัมน์นี้ ผมยังเบลอๆ อยู่เลยครับ เพราะเพิ่งกลับมาจากการอีเวนต์ Gravity Thailand 2014 ที่มีโชว์ชุด Arcadia: The Bangkok Landing เป็นโชว์หลักของงาน และมันเป็นอีเวนต์ที่ยาวมาก เพราะลากยาวตั้งแต่ตอนเย็น ยันตีหนึ่งกว่า กว่าจะกลับถึงบ้านได้ก็เริ่มหมดสภาพล่ะครับ แต่ก็ต้องมาปั่นงานก่อน
ถึงจะบอกว่ายาวแค่ไหน แต่บอกตรงๆ ว่างานนี้พลาดแล้วเสียดายสุดๆ จริงๆ ครับ เพราะการยกเอาโชว์ Arcadia มาเล่นแบบจัดเต็มนี่ไม่ใช่เรื่องงายเลย หลายคนอาจจะงงว่า Arcadia คืออะไร
ARCADIA คือคณะ “นาฎยจักรกลแห่งอนาคต” (Futuristic Mechanical Cabaret) ผู้สร้างสรรค์ประติมากรรมรีไซเคิลอันแสนมหัศจรรย์แห่งโลกอนาคต ที่เปรียบเสมือนโรงละครยิ่งใหญ่อลังการของดนตรีเต้นรำที่สุดขั้วในทุกๆสไตล์ พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษตระการตาภายใต้สภาพแวดล้อมที่จะสร้างความตื่นเต้น ความสนุก และความมันส์ให้กับผู้ชมที่สัมผัสได้อย่างไร้ขอบเขตพรมแดนใดๆมาขวางกั้น จุดเด่นของ Arcadia คือเจ้าแมงมุมยักษ์ ที่ทำหน้าที่เป็นบูธดีเจโคตรอลังการ สร้างจากวัสดุรีไซเคิล ออกมาดูเหมือนกับมันหลุดมาจากหนังเรื่อง Mad Max แถมมันยังมีปืนยิงไฟถึง 9 หัว ยิงไฟพุ่งไปบนฟ้าได้ถึง 50 ฟุต เล่นเอาพื้นรอบๆ สั่นสะเทือนได้ แถมยังมีระบบแสงสี เลเซอร์พร้อม และแขนทั้ง 3 ของมันก็ขยับได้อิสระ สามารถให้นักแสดงไปห้อยเพื่อร่ายรำโชว์บนฟ้าได้อย่างน่าทึ่ง เรียกได้ว่าเป็นมากกว่าเวทีเฉยๆ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของโชว์เลยล่ะครับ แถมยิ่งเห็นรายชื่อศิลปินในงานแต่ละคนแล้วบอกได้แค่ว่า พลาดไม่ได้ครับ
จริงๆ ประตูงานเปิดตั้งแต่ก่อนสี่โมงเย็นนะครับ แต่ไม่ไหวครับ ผมไปตอน 6 โมงกว่าๆ เพราะมีภารกิจอื่น แถมสถานที่จัดงานก็อยู่หน้าสวนสยาม ไกลเอาเรื่องครับ เลยต้องบอกผ่านโชว์ของ Machina และ Suharit ตอนไปถึง ข้างในก็เริ่มสนุกกันล่ะ แต่ผมออกจะติดๆ ขัดๆ หน่อย เลยได้เข้าไปก่อนหนึ่งทุ่ม กะว่าจะไปให้ทัน Landing Show นั่นล่ะครับ แต่เล่นเอางง เพราะตามตาราง ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ Bang Bang Bang เล่นอยู่ ก่อน Landing Show แต่กลายเป็นว่าผมได้เจอ Adsorb ดีเจสายอีเล็กโทรเฮาส์กับเบรกบีท ที่ร่วมงานกับ Bass6 บีทบอกเซอร์จากอังกฤษ แต่วันนี้หลักๆ คือมาเป็น MC ให้ครับ ผมเองไม่เคยตามทั้งคู่มาก่อน แต่ยอมรับเลยว่าเล่นได้มันส์มากครับ เปิดเพลิงลื่นไหล เอนเทอร์เทนคนดูได้แบบรัวสุดๆ Bass6 แกวิ่งพล่านไปทั่ว ชวนคนมามันได้จริงๆ แต่ในใจผมได้แต่คิดว่าพลาด Landing Show ล่ะ ดูเหมือนทุกอย่างจะเร็วกว่าตารางแฮะ
จบเซ็ต สองดูโออังกฤษก็ส่งไม้ต่อให้ Freestyle Seed หรือพี่ซี้ดที่เรารู้จักกันดี ซึ่งพี่ซี้ดก็เตรียมตัวมาดีครับ รับช่วงต่อได้ไหลลื่น เสียดายที่ผมไม่ได้ฟังมาก เพราะต้องออกไปตามหาเพื่อนก่อน พอวกกลับมาอีกที จู่ๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นโชว์ที่เจ้าแมงมุมเป็นตัวหลัก ในความเข้าใจผมคือเขาเลื่อนเวลา Landing Show มาตอนนี้แทน เพราะไม่มีดีเจเลย แต่โชว์แสงสีจากเจ้าหุ่นแมงมุมเต็มที และซักหน่อยก็มีนักแสดงมาห้อยโหนโชว์ลีลาที่ปลายแขนทั้ง 3 ของเจ้าหุ่น ดูแล้วชวนหวดเสียวจริงๆ ครับ แต่ทำออกมาได้อลังการมาก ตื่นเต้นและสวยงาม จะว่าไปก็เหมือนโชว์ในละครสัตว์จากอนาคตจริงๆ เล่นเอาคนดูเฮกันหมดเลย (ซึ่งก็น่าจะเป็น Landing Show เพราะผมมาเทียบแล้วคล้ายกับตอนงาน Glastonbury ปี 2013 จะต่างกันก็ตรงงานที่ไทยไม่มีโชว์ Projection Mapping ด้วยเท่านั้น)
พอจบการแสดงชุดนั้น ก็เป็นอีกโชว์ที่ผมสนใจจะดูมากๆ นั่นคือ Lords of Lightning หรือโชว์เจ้าสายฟ้า ที่เป็นโชว์ที่อาศัยวิทยาศาสตร์มาช่วย ด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้า 4 ล้านโวลต์ ย้ำ 4 ล้านโวลต์ ผ่านตัวเจ้าสายฟ้าทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนแท่นยก ให้เราเห็นกระแสไฟฟ้าเป็นเส้นๆ เหมือนเวลาฟ้าผ่านั่นล่ะครับ สวยมากๆ แถมพอดูใกล้ๆ นี่อย่างเท่เลย ทั้งสองคนโชว์ลีลาประกอบเพลงอย่างเมามัน มีทั้งโชว์กระแสไฟฟ้าจากมือ จากหัว ควงกระบองปล่อยไฟฟ้าสู้กัน ลีลาสวยงาม แถมคงกลัวคนดูไม่เสียว ปล่อยไฟลงพื้นเวทีโชว์อีกครับ อยู่ใกล้ๆ นี่ได้กลิ่นแปลกๆ เลย แต่เสียวและสนุกมาก สมกับที่เป็นโชว์ดังในเกาะอังกฤษจริงๆ ครับ
พอจบ LOL ก็เป็นคิวของ Far Too Loud ดีเจสาย EDM และเฮาส์ ที่เปิดเพลงลื่นไหลดีอีกรายครับ ฟังได้มันมาก เอาคนดูอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้ดูตลอด เพราะก็เดินวนไปมาก ก่อนจะกลับมาดู Skism สาย Dubstep จากอังกฤษ ที่บอกได้คำเดียวว่า Drop the Bass เรี่ยราดมาก โยกกันคอแทบหักครับ เบสหนักยังกับค้อนปอนด์ มารัวแบบไม่ยั้ง เลนเอาเหนื่อย พอจบแล้วก็มีโชว์ LOL รอบสองครับ ดูอีกรอบก็เพลิน
พอจบก็ตามติดด้วยโชว์ของ The Bloody Beetroots ดีเจจากอิตาลี ที่มาสายอีเล็กโทรเฮาส์ ผสมกับแดนซ์พังค์ ซึ่งพี่แกก็มาซะเท่ครับ ยีนส์เดฟ เสื้อหนัง ใส่หน้ากาก Venom ครึ่งหน้าเป็นเอกลักษณ์ มิกซ์เพลงอย่างเมามัน คนดูก็พีคสิครับ ไฟก็พ่นเอาๆ ยืนแถวขาแมงมุมนี่อย่างตื่นเต้นครับ มันโคตร เซ็ตนี้ยาวประมาณ 40 นาที แล้วก็ตามด้วยไฮไลต์ส่วนตัวของผม นั่นคือ Roni Size (ที่เคยเขียนถึงไปแล้ว) ที่ผมเฝ้ารอดูสดมานานมากครับ
Roni มาพร้อมกับ Dynamite MC คู่บุญ ออกมากก็จัดเพลงจากอัลบั้มล่าสุด Take Kontrol เลย แล้วก็มิกซ์อย่างเมามันมาก มีเพลง Dirty Beats กับ Brown Paper Bag ที่ผมจำได้ แถมยังเอาเพลง We Are Your Friends ของ Simian กับ Smack My Bitch Up ของ The Prodigy มามิกซ์ด้วย มันส์สุดๆ ครับ เต้นกันสนั่น (จะว่าไป เพลง Drums and Bass นี่จังหวะเต้นมันเข้ากับสเต็ปคาโปเอร่าดีนะครับ) เฮีย Dynamite นี่ก็พลังเยอะมาก ขนาดอายุไม่น้อยแล้ว วิ่งไปทั่วเลยครับ
พอจบชุด ก็มี Arcadia Soundsystem มารับช่วงต่อสั้นๆ เป็นการส่งท้ายร่วมกับ Bass6 แล้วที่ปลายขาเจ้าแมงมุม ก็เป็นธงชาติไทยตระหง่านครับ ปิดท้ายอย่างเท่ และมีกิมมิคส่งท้ายเล็กๆ ด้วยการโชว์ LOL อีกครั้ง
กว่าจะจบก็ตีหนึ่งล่ะครับ เล่นเอาหมดสภาพ แต่งานมันมาก จัดออกมาดีเลย โดยรวมดีหมดครับ จะมีติงหน่อยก็แค่เรื่องของการทิ้งขยะนั่นล่ะครับ ทีแรกก็พอไหว แต่ท้ายๆ นี่แบบกองแก้วกับถังพลาสติกเต็มไปหมด เหยียบทางไหนก็เจอ คนเมาๆ นี่ล้มง่ายมาก นอกนั้นเยี่ยมหมดครับ อย่างฟิน
No comments:
Post a Comment