Monday, December 15, 2014

Cold War Kids

บางทีผมไปไล่เช็คงานเก่าๆ ก็ตกใจที่ไม่เคยเขียนถึงหลายวงที่ชื่นชอบ และบางวงก็อยู่มาจะสิบปีแล้วแท้ๆ และมีงานออกมาหลายชิ้นแต่ก็ยังไม่เคยได้โผล่ที่นี่เสียที จนต้องขอเขียนถึงบ้าง และวงที่ว่าก็คือ Cold War Kids

10347158_10152540244478962_7246345922421756710_n

Cold War Kids ถือกำเนิดในช่วงปี 2004 ที่ Fullerton แคลิฟอร์เนีย ที่สมาชิกสามคน Nathan Willett (นาธาน ร้องนำ เปียโน) Matt Maust (แมท เบส) และ Matt Aveiro (แมท กลอง) มักจะรวมตัวกันที่อพาร์ทเมนต์ของ John Russell (จอห์น กีตาร์) ที่อยู่บนร้านอาหารชื่อ Mulberry Street พวกเขาตัดสินใจตั้งวง โดยได้ไอเดียเรื่องชื่อวงว่า Cold War Kids จากการเดินทางไปยุโรปตะวันออกของ Matt Maust ที่เขาได้เห็นอนุสาวรีย์ยุคคอมมิวนิสต์ที่ถูกทิ้งในสนามเด็กเล่น ทำให้นึกชื่อ Cold War Kids ขึ้นมา เพราะเขาเองก็เกิดปี 1979 ซึ่งโตมากับบรรยากาศของโลกยุคสงครามเย็นมาตลอด และชอบชื่อนี้เป็นอย่างมาก พวกเขาตัดสินใจย้ายไป Whittier ที่แคลิฟอร์เนียและออก EP แรกชื่อ Mulberry Street ตามชื่อร้านอาหาร กับค่าย Monarchy Music ในช่วงปี 2005 และได้ออก EP ออกมาอีกสองแผ่นในปี 2006 ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักและเริ่มได้ออกทัวร์กับวงดังอย่าง Editors และ Tapes ‘n Tapes รวมไปถึงได้ไปเล่นในเทศกาล Lollapalooza อีกด้วย

ด้วยความน่าสนใจของ EP ทั้งสามแผ่น ทำให้พวกเขาได้สัญญาออกอัลบั้มกับ Downtown Records ซึ่งก็กลายมาเป็นอัลบั้มแรกที่ชื่อ Robber & Cowards ในปี 2006 ซึ่งดึงเอาเพลงเด่นจาก EP ก่อนหน้านั้นมาด้วย นั่นคือ We Used to Vacation, Hair Down และ Hang Me Up To Dry ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก เพลงแรกแม้จะเริ่มจากจังหวะอัพบีทที่ทำให้เราแอบนึกถึง Maroon 5 แต่เมื่อเครื่องดนตรีอื่นและเสียงร้องตามมา มันก็กลายเป็นอีกทิศทางหนึ่งไปเลย เสียงร้องของ Nathan เต็มไปด้วยอารมณ์และวิญญาณ ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของชายที่พยายามจะเลิกเหล้าเพื่อครอบครัวแต่ก็ทนความเย้ายวนของมันได้อย่างยากลำบาก ในขณะที่เสียงกีตาร์ก็มีกลิ่นของดนตรีบลูส์อย่างเต็มตัว ฟังแล้วช่างกรีดไปที่กลางหัวใจเสียจริง ส่วน Hang Me Up To Dry ก็ค่อยๆ เดินเพลงไปเรียบๆ แต่พลังเสียงของนาธานบวกกับการโขยกคีย์เปียโนทำให้มันโดดเด่นขึ้นจริงๆ ขณะที่ Hair Down ก็เป็นเพลงกีตาร์บลูส์ผิวขาวที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อีกเพลงที่พลาดไม่ได้คือ Hospital Beds ที่เดินเพลงด้วยเปียโนเป็นหลักก็ช่างปวดร้าวเหลือเกิน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักส่วนผสมในการทำเพลงให้ออกมาได้อย่างติดหูและเปี่ยมไปด้วยพลังและจิตวิญญาณพร้อมๆ กัน บางทีฟังแล้วก็ไพล่นึกไปถึงรุ่นพี่อย่าง The White Stripes อีกด้วย

Robbers & Cowards กลายเป็นงานเปิดตัวชิ้นที่เด่นที่สุดในปีนั้นอีกชิ้นหนึ่งของแวดวงอินดี้ พวกเขากลายเป็นทีเลื่องลือไปทั่ว เพราะความโดดเด่นและเต็มไปด้วยพลังของมัน ทำให้ได้รับเสียงชมจากแทบทุกทิศ และการออกทัวร์อย่างหนักก็ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม

5527126941_cdd314f3ab_z

และด้วยประสบการจากการออกทัวร์ พวกเขากลับเข้าห้องอัดและออกอัลบั้มใหม่ในปี 2008 ชื่อ Loyalty to Loyalty ที่ยังคงเดินรอยตามดนตรีบลูส์ยุคใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยวิญญาณจากชุดแรก แต่พวกเขาขยายขอบเขตมันออกไปอีกด้วยการพูดถึงเรื่องราวที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมทั้งการเมืองและปรัชญาผ่านการเล่าเรื่องในเนื้อเพลง และธีมมันหม่นหมองขึ้นกว่าเดิม ซิงเกิ้ลแรก Something Is Not Right With Me เริ่มต้นด้วยบีทแบบดิสโก ก่อนที่จะกลายเป็นบลูส์แบบ The White Stripes ที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัวคน แต่ด้วยการตะโกนไปมาของ Nathan ทำให้บางทีมันฟังดูน่ารำคาญไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ยังโอเค แต่ก็ยังเป็นรองซิงเกิ้ลต่อมา I’ve Seen Enough ที่หม่นได้อย่างงดงาม เช่นเดียวกับ Every Man I Fall For ที่เป็นเพลงบลูส์ช้าๆ แต่ฟังแล้วชวนขนลุก ถ้าต้องการเพลงที่เข้มข้นขึ้นก็ต้อง Mexican Dogs ที่แฟนๆ ของ The Black Keys อาจจะถูกใจได้ไม่ยากนัก

ปี 2011 พวกเขาออกอัลบั้มใหม่ Mine Is Yours หลังจากการออกทัวร์อย่างหนักเช่นเคย แต่อัลบั้มนี้กลายเป็นการทำงานในแนวทางใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาทิ้งความดิบกร้านแบบที่เคยมีมาในสองอัลบั้มแรก และหันไปทำเพลงที่ “สะอาด” กว่าเดิม จนทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขากำลังจะทิ้งบาร์เก่าคลุ้งกลิ่นบุหรี่ หันไปหาสนามกีฬาขนาดใหญ่แทน ซึ่งก็อาจจะทำให้เสียแฟนเพลงเดิมๆ ที่เคยมีมา (และแน่นอนว่าถูกนักวิจารณ์หลายรายสับว่าพวกเขาขายวิญญาณ) เพลงอย่าง Finally Begins นี่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากพวกเขาได้เลย ขณะที่ Skip The Charades และ Flying Upside Down ก็ทำให้นึกไปถึง U2 ยุค Joshua Tree ซึ่งถ้าจะถามว่าวงผิดไหมที่เลือกทางนี้ ก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ถ้าจะเทียบกันก็คงเทียบกับ Kings of Leon ที่เปลี่ยนซาวด์ของตัวเองในชุด Only By The Night จนดังถล่มทลาย พวกเขาเองก็อาจจะเลือกทางถูกได้ เพราะเพลงอย่าง Bulldozer และ Louder Than Ever ในอัลบั้มนี้มันก็มีความงดงามของมันเอง แฟนเพลงรุ่นเก่าอาจจะไม่ชอบ แต่พวกเขาก็ได้แฟนเพลงหน้าใหม่เพิ่มได้

ปี 2012 John ออกจากวงไป แต่พวกขาก็ได้ Dann Gallucci (แดน) จาก Modest Mouse มารับหน้าที่เล่นกีตาร์แทน และรวมไปถึงร่วมโปรดิวซ์อัลบั้มชุดใหม่ Dear Miss Lonelyhearts ซึ่งนั่นก็อาจจะช่วยให้วงรักษาสมดุลของความดิบกร้านแบบงานสองชุดแรกและซาวด์ที่ฟังง่ายและสะอาดของชุดที่สามได้ Loner Phase คือเพลงที่โครมครามมาก และได้เสียงคีย์บอร์ดเข้ามาช่วยเสริมเสียงร้องของ Nathan ฟังๆ ดูแล้วก็แอบนึกไปถึง The Killers อีกด้วย เช่นเดียวกับซิงเกิ้ลแรก Miracle Mile ที่เต็มไปด้วยพลังและอัพบีทมากจนถ้าใครจะเอาไปมิกซ์เป็นเพลงเต้นรำก็คงไม่ยากอะไรนัก ส่วน Lost That Easy ก็สามารถเรียกเสียงตะโกนจากแฟนเพลงกลางคอนเสิร์ตได้แน่นอน Tuxedos ก็เต็มไปด้วยกลิ่นของบลูส์แบบที่พวกเขาถนัด Bottled Affection ก็เป็นซาวด์แบบใหม่ของพวกเขาที่มีเครื่องสังเคราะห์เพิ่มเข้ามา Dear Miss Lonelyhearts เป็นงานที่แสดงความสามารถและวิสัยทัศน์ของพวกเขาได้อย่างดี

Cold_War_Kids_at_the_Fonda_(8817755849)

ต่อมา Mat Averio ลาออกจากวง และพวกเขาได้ดึง Joe Plummer จาก Modest Mouse (อีกแล้ว) มาร่วมวงแทน และออกงานชุดใหม่ในปีนี้ Hold My Home ซึ่งทำให้เราต้องทึ่ง เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้สูตรเคมีของการทำเพลงให้ติดหู แต่ไม่เสียพลังแบบเดิมของพวกเขา ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย เป็นเหมือนค้อนปอนด์ที่กระหน่ำใส่เราอย่างไม่ยั้ง ตั้งแต่ All This Could Be Yours ที่สดราวกับพวกเขาเพิ่งออกอัลบั้มนี้เป็นชุดแรกเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ Hot Coals ก็เป็นการอัดทีเด็ดที่อย่างที่พวกเขามีออกมา First ก็พร้อมจะทำให้ทุกคนในคอนเสิรตร้องและปรบมือตามพวกเขา เช่นเดียวกับ Go Quietly และถ้าคิดว่าพวกเขาจะแผ่วปลาย ก็ยังมี Flower Drum Song ที่เข้มข้นสุดๆ มาดึงเอาไว้

หลังจากทำวงมาได้ 10 ปี ก็ดูเหมือนว่า Cold War Kids จะรู้ส่วนผสมที่ลงตัวของดนตรีของพวกเขา ทำให้แม้จะมีอายุเพิ่มขึ้น แต่คุณภาพของงานเพลงก็ยิ่งดีขึ้นกว่าเดิม และคิดว่าเราคงจะได้ฟังพวกเขาไปอีกนานเลยล่ะครับ

No comments: