Monday, June 3, 2013

Hurts เมื่อยุค 80 ย้อนกลับมา

วงดนตรีก็เหมือนแฟชั่น ที่มักจะมีลูปวนรอบมันออกมา เทรนด์เพลงที่เคยฮิตในอดีต ก็มักจะกลับมาฮิตได้อีกครั้ง เพราะวงดนตรีรุ่นใหม่ ก็มักจะอยากทำเพลงโดยมีอิทธิพลจากเพลงที่ตนเองเคยฟังในอดีต ดังนั้นลูปของดนตรีก็จะวนรอบกลับมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Hurts ที่ทำเพลงที่ได้รับอิทธิพลจากอดีต และนำมาเจิดจรัสในยุคนี้ได้อย่างงดงาม

Hurts

Hurts เริ่มต้นได้อย่างประหลาด เมื่อ Theo Hutchcraft (ธีโอ ร้องนำ) และ Adam Anderson (อดัม คีย์บอร์ด ซินธิไซเซอร์) เจอกันในคลับที่แมนเชสเตอร์ เนื่องจากเพื่อนของพวกเขากำลังซัดกันนัว แต่พวกเขาเมาเกินกว่าที่จะไปร่วมวง เลยนั่งคุยกันเรื่องเพลงแทน และพบว่ารสนิยมเพลงของทั้งคู่ตรงกันพอดี จึงตัดสินใจตั้งวงร่วมกัน โดยทำงานผ่านทางอีเมล จนในปี 2006 พวกเขาก็ตั้งวง Bureau ในปี 2006 และออกเล่นตามคลับ กับออกซิงเกิ้ลด้วยตัวเอง ซึ่งทำได้ดีถึงกับได้เป็นซิงเกิ้ลประจำสัปดาห์ของสถานีอินดี้ชื่อดังอย่าง XFM แต่พวกเขาก็ยุบวง และตั้งวงใหม่ชื่อ Daggers แทนในปีถัดมา

Daggers ทำเพลงอีเล็กโทรพ๊อพที่จังหวะรวดเร็ว แม้จะได้เซ็นสัญญา แต่เมื่อการเปิดตัวล้มเหลว พวกเขาก็กลับมารังเก่าที่แมนเชสเตอร์ เพื่อทบทวนแนวทางเพลงของตัวเอง และเมื่อแต่งเพลง Unspoken เพลงบัลลาดช้าๆ และทรงพลัง ทำให้พวกเขารู้ว่า นี่แหละคือสิ่งที่ต้องการทำจริงๆ พวกเขาจึงตัดสินใจยุบวง Daggers เสีย เพื่อเปิดตัวกับวงใหม่ นั่นคือ Hurts

Hurts เริ่มต้นด้วยการทำเพลงซินธ์พ๊อพที่มีส่วนผสมของเพลงนิวเวฟจากยุค 80 เจอกลิ่นเคราต์ร๊อค โดยเพลงแรกที่พวกเขาปล่อยออกมาคือ Wonderful Life ที่เป็นที่รู้จักจากวิดีโอที่พวกเขาทำเองง่ายๆ แล้วอัพขึ้น Youtube ตัววิดีโอเป็นคลิปขาวดำของเขาสองคน เล่นเพลง Wonderful Life และมีนักแสดงสาวที่พวกเขาประกาศรับ มาเต้นตามจังหวะ แล้วก็นิ่ง แล้วก็เต้น ด้วยความแปลกและอาร์ตของตัววิดีโอ ทำให้มันดังแบบไวรัลขึ้นมา และเพลงของพวกเขาก็เป็นที่รู้จักจนได้โอกาสเซ็นสัญญากับค่ายเพลง

แม้ตัววิดีโอจะเด่น แต่ตัวเพลงก็เยี่ยมไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นแค่วิดีโอไวรัลที่มาแล้วจากไป ตัวเพลงคือเพลงซินธ์พ๊อพที่ถูกกลั่นออกมาอย่างละเมียดละไม จนทำให้เรานึกถึงยุค 80 ที่ต่างคนต่างต้องการทำเพลงเพอร์เฟคพ๊อพ ที่เกลาทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกจนเหลือแต่เพลงพ๊อพที่งดงามที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ Wonderful Life ก็เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งเสียงและจังหวะที่ลงตัว กับเสียงร้องของธีโอที่งดงามอย่างไร้ที่ติด จนมันกลายเป็นความสมบูรณ์แบบบนตัวโน้ตอย่างแท้จริง

เมื่อพวกเขาได้สังกัด พวกเขาก็เริ่มทำงานเพลงและเริ่มสร้างฐานแฟนเพลงได้ เพลงแรกที่พวกเขาตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลอย่างเป็นทางการคือ Better than Love เพลงซินธ์พ๊อพที่จังหวะเร็วขึ้นกว่าเดิม ติดหู และค่อนข้างจะแหวกไปจากวงรุ่นเดียวกัน ที่มักจะหยิบความก๋ากั๋น เปรี้ยวซ่า เอาฮาของยุค 80 มา (นึกถึงเสื้อสี้สะท้อนแสง ทรงผมฟูๆ) แต่พวกเขากลับหยิบเอาความสมบูรณ์แบบของเสียง ความเรียบเนี้ยบจากยุคนั้นมาแทน จนโดดเด่นขึ้นมา คนที่ชอบฟังเพลงยุคนั้นอย่างผมเลยเพลินทีเดียวครับ

เมื่ออัลบั้มเต็ม Happiness ออกวางขายในปี 2010 พวกเขาก็ไม่ทำให้คนที่เฝ้าคอยผิดหวัง พวกเขายังคงคอนเซ็ปต์ของซาวด์ที่ประณีตไว้อย่างดี อย่าง Unspoken ก็รู้สึกเหมือนได้ฟัง Ultravox ทีเดียว เพลงอื่นอย่าง Blood, Tears & Gold ก็งามอย่างไร้ที่ติดไม่แพ้กัน ในขณะที่ Sunday นั้นก็จังหวะเร่งเร้าขึ้นมาก ค่อยๆไล่เรียงขึ้นไป เหมือนกับ a-Ha Stay ก็ช่างอลังการราวกับก่อหอคอยบาเบลด้วยเสียงดนตรี สียงของธีโอ กับซินธ์ของอดัมช่างลงตัวเหมือนกับเกิดขึ้นมาเพื่อกันและกันจริงๆ และส่วนผสมที่ลงตัวเหล่านี้เองที่ทำให้ Happiness โดดเด่นขึ้นมาก นอกจากทำยอดขายได้อย่างงดงามแล้ว มันยังได้เข้าชิงและได้รับรางวัลสารพัด รวมทั้งได้รับคำวิจารณ์แง่บวกอย่างล้นหลาม

จากความสำเร็จอย่างล้นหลาม และความคาดหวัง ทำให้เป็นความกดดันในการทำงานชุดที่สอง แต่พวกเขาก็พยายามจนเข็นงานเพลงชุดใหม่ออกมาได้ในปีนี้ นั่นคือ Exiles โดยมีซิงเกิลเปิดตัวก็คือ Miracle ที่เมื่อเราฟังก็ได้แต่ทึ่งในความสามารถในการทำเพลงที่ยิ่งใหญ่อลังการของพวกเขา จนไม่แปลกอะไรที่นักวิจารณ์บางคนเอาพวกเขาไปเทียบกับ Muse แม้แนวเพลงจะไม่ตรงกัน ขณะที่อีกซิงเกิ้ลอย่าง Blind ทั้งอลังการ ทั้งงดงามและบาดใจ โดยเฉพาะท่อนคอรัส ที่เศร้าโศกแต่งามราวกับน้ำตาในเปลวเทียน แต่ถ้าฟังทั้งอัลบั้ม แฟนเพลงรุ่นแรกอาจจะตกใจ เพราะแค่เพลงเปิดอย่าง Exiles ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศทะมึน ลึกลับ หม่น ออกจะดาร์คกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด และเสียงกีตาร์ก็มีบทบาทมากกว่าเดิม อย่างในเพลง Cupid จังหวะต่างๆก็หนักหน่วงขึ้นจนบางเพลงใกล้กับอินดัสเทรียล อย่างใน Mercy หรือ Only You ในขณะเดียวกันก็มีเพลงบัลลาดที่ยอดเยี่ยมดังเคยอย่าง Somebody To Die For ที่งดงามอย่างที่คุ้นเคย

โดยรวมแล้ว Exiles คืองานที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของวงก็ว่าได้ เพราะพวกเขาไม่พยายามเดินตามเส้นทางเดิมที่ประสบความสำเร็จ แต่เลือกทดลองสิ่งใหม่ๆแทนที่จะย่ำอยู่กับที่ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเท่าเดิมในสายตาของหลายๆคน แต่ก็ต้องยอมรับในความกล้าของพวกเขา และส่วนตัว ผมยกให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มน่าฟังของปีนี้จริงๆ Hurts สามารถนำเอาอิทธิพลเพลงจากยุคเก่ากลับมาปัดฝุ่นแล้วแต่งเติมเป็นแนวเพลงของพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยม

No comments: