ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเล่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์วง The Charlatans ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมในการสัมภาษณ์วงดนตรีจริงๆ และเนื่องจากผมเป็นแฟนของวงนี้มานาน มันจึงเหมือนการที่ได้คุยกับวงที่ชอบมากกว่าสัมภาษณ์อีกครับ
Q: หลายวงในยุค Brit-Pop มาเมืองไทย วงอย่าง Suede Shed Seven หรือกระทั่ง Mansun มาเพื่อสร้างฐานแฟนเพลง ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จ ที่สงสัยคือ ทำไมคุณไม่มาช่วงนั้น แต่กลับเลือกมาตอนนี้
A: Martin มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างครับ เช่น กับค่ายเพลง หรือเอเจนต์ จริงๆแล้ว การมาเมืองไทยอยู่ในแผนการของเรามาตลอด แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเราก็เริ่มจริงจังกับแผนการทัวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น แต่ปกติแล้ว กับเอเชีย เราก็ไปญี่ปุ่นทุกครั้งที่มีอัลบั้มใหม่ออกครับ
Q: แล้วสนุกกับเมืองไทยไหมครับ
A: Tim พวกเราสนุกมาก มาได้ 3 วันแล้ว เราได้ไปไหนมาไหนหลายที่ แต่ก็อยากเห็นอีก บางทีก็ชอบความวุ่นวายในเมือง เพราะบางที มันก็เหมือนกับไม่มีกฎระเบียบอะไรเลย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็มีความสงบอยู่เหมือนกันครับ
Q: พวกคุณตั้งวงมาได้ 20 กว่าปีแล้ว หลายวงได้แยกกันไป แต่พวกคุณยังอยู่เหนียวแน่น อะไรทำให้พวกคุณอยู่กันได้นานขนาดนี้โดยไม่มีการพักงานหรือแยกวงเลย
A: Mark คิดว่าเป็นการทำเพลงครับ เวลาเราเบื่อ เราก็พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทำให้เราไม่รู้สึกว่า วงถึงทางตัน และรู้สึกสดชื่นตลอด เราจะได้ทดลองเรื่อยๆ
Tim ผมคิดว่าตอน Primal Scream และ Charlatans ออกมา MSP ออกมา สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันคือ พวกเรามีเป้าหมายชัดเจน แม้แนวเพลงจะแตกต่างกัน แต่ว่าพวกเราส่งผลกระทบต่อผู้คน และแชร์กลุ่มแฟนเพลงกัน
Q: ส่วนความสัมพันธ์ในวงล่ะครับ เหมือนพี่น้องกันเหรอ
A: Tim เราไม่ใช่คนที่รวมตัวอยู่กันแบบหลวมๆครับ พวกเราสนิทกันมาก
Q: พวกคุณทำเพลงหลากหลายแนวทาง ทั้งผสมร๊อคเข้ากับดนตรีเต้นรำ ดังนั้นคุณสามารถปรับตามยุคสมัยได้เสมอ อย่างการทำเพลงกับ The Chemical Brothers นั่นทำให้คุณอยู่ในวงการได้ยาวนานหรือเปล่าครับ
A: Tim ตอนพวกเราออกมาใหม่ๆ เราทำรีมิกซ์เยอะเหมือนกัน อย่าง The Chemical Brothers ก็มาจากพื้นเพเดียวกัน และเราก็ทำงานหลายอย่างด้วยกันมาก่อนเกือบ 5 ปี กว่าผมจะไปร้องให้พวกเขา และพวกเขาตอบแทนด้วยการมิกซ์เพลงให้ น่าจะเป็นเพราะดนตรีอีเล็กโทรนิกส์มันดังในช่วงนั้น เราก็เลยลองทดลองดู ไม่ใช่ว่าทำเพราะขายได้ เหมือนกับยุค Brit Pop ที่เราก็ผ่านมันมา พวกเรามาก่อนมัน และอยู่รอดหลังจากนั้นได้ มันก็มาแล้วไป พวกเราก็ไม่ได้วิ่งหามันนัก แต่ก็รับอิทธิพลมาเหมือนกัน
Q: ในความเห็นของพวกคุณ อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในช่วง 20 ปีที่คุณอยู่ในวงการมา
A: Martin วิธีที่ผู้คนเข้าถึงดนตรีครับ ก่อนหน้านี้ผุ้คนไปร้านแผ่นเสียง ซื้อซีดี แต่ตอนนี้ นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แทน
Q: อินเตอร์เน็ตได้ฆ่าวงการเพลงหรือไม่
A: Martin มันทั้งฆ่า และส่งเสริมไปพร้อมๆกันครับ การดาวน์โหลดเพลงส่งผลกระทบมาก ถ้าเพลงถูกดาวน์โหลดฟรี วงก็ตายแน่นอน
Q: การทำอัลบั้มเป็นไปได้ยากขึ้นหรือไม่ ในเมื่อผู้คนสนใจแต่จะฟังเป็นเพลงๆไป
A: Mark ผมคิดว่าคนยังเชื่อในคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มอยู่ และมันกำลังกลับมาครับ วงใหม่ๆหลายวงที่น่าสนใจ อย่าง The Horrors ก็ทำเพลงแบบเน้นโครงสร้างอัลบั้ม พวกเราอยากให้มีวงแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆครับ มากกว่าที่จะสนใจขายพลงไม่กี่เพลง
Q: คุณมาที่ไทย ที่มีปัญหาเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก คุณออกไปแล้วเห็นแผ่นเถื่อนมากมาย คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง
A: Tim ผมก็คิดว่า มันช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนกับอินเตอร์เน็ตล่ะครับ มันก็ต้องมีของแบบนี้อยู่แล้ว เหมือนกับแต่ก่อนที่คนบอกว่า การก๊อปปี้เทพเพลงจะทำลายดนตรี แต่ยุคสมัยมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆล่ะครับ เราไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก
Mark สิ่งที่คุณก๊อปปี้ไม่ได้คือ ประสบการณ์จากการแสดงสดครับ นั่นทำให้ปัจจุบัน วงหลายวงหันมาให้ความสำคัญกับการแสดงสดมาก เพราะว่า นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถก๊อปปี้ หรือดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ตได้ครับ
Q: คำถามสุดท้ายนะครับ พวกคุณคิดอย่างไรกับรีลลิตี้โชว์อย่าX-Factor (รายการประกวดร้องเพลงเหมือนกับ AF บ้านเราแต่ดังกว่ามากๆ)
A: Martin มันก็ทำตามเป้าหมายของมันนะครับ มันโชว์ให้เห็นว่าดนตรีป๊อปทำอะไรได้บ้าง มันเป็นแค่ความบันเทิงเท่านั้น แค่ทีวี
Tim ผมค่อนข้างสงสารคนที่ทำมันนะ เพราะว่ามันเหมือนกับของปลอมๆ พอๆกับ เฮโรอีนสังเคราะห์
Mark ผมไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอะไร เราคงไม่ต้องกลัวผู้ชนะการประกวดหรอกครับ
Martin ก็เหมือนกับคาราโอเกะนั่นแหละครับ วัยรุ่นชอบมัน ป้าๆยายๆชอบมัน ก็คงโอเค
Tim ผมเกลียดยายผมนะ ฮ่าๆ แต่พวกเรารักมันมากๆ (ประชด)
หลังจากสัมภาษณ์ ก็ได้คุยนอกรอบกับทางวงหน่อย ซึ่ง Tony ดูท่าทางจะสนใจกล้องผมมาก ชวนคุยซะยาวเลย จริงๆแล้ว ได้คุยเรื่องวง The Verve กับ Pete ด้วยครับ แต่เขาขอเป็นนอกรอบ เลยเว้นไว้ดีกว่า เดี๋ยวครั้งหน้า กลับมาเจอคอลัมน์แบบปกติแล้วครับ เล่น the Charlatans ซะ 3 ตอนติดเลย