21 ตุลาคม 2010 PM 5.40 สนามบินนาริตะ ญี่ปุ่น (เวลาท้องถิ่น) ผมกำลังนั่งรอนกเหล็กหมายเลข JL707 ที่จะพาผมกลับเมืองไทยหลังจากเสร็จภารกิจในประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อย การเดินทางคนเดียวเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างจะชอบ เพราะมันได้บรรยากาศเหงาๆดีเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมงงนิดหน่อยก็คือ ทำไมเที่ยวบินจากโตเกียวมาไทยเที่ยวบินนี้มีฝรั่งเยอะจัง ก็เอาแต่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นเที่ยวโค้ดแชร์กับสายการบินอเมริกันก็ได้ อย่างตรงข้ามผม มีชายหนุ่มผิวขาวร่างท้วม ทำผมโมฮอว์คซ่าเชียว กำลังจิ้มเครื่องแมคของเขาตลอด คิดว่ามันก็ดูเทีดีแฮะ
22 ตุลาคม 2010 PM 8.45 เวลาประเทศไทย ผมยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิร์ตของวง Vampire Weekend ที่ทันเดอร์โดม เมืองทองธานี หลังจากฝ่ารถติดแบบสุดๆมาได้ แม้จะไม่ทันมาดูวงเปิดอย่าง 25 Hours แต่การมาทันดูวงหลักก็ยังดี แถมยังได้เจออาจารย์สมัยม.ปลาย และพี่ซี้ด ดีเจและนักเขียนฮีโร่ในใจด้วย
หลังจากเซ็ตเสียงเสร็จ วง Vampire Weekend จากอเมริกาก็เดินออกมา และทันใดนั้นเอง คำว่า “ยึดเป็ด” ก็หลุดออกจากปากของผมทันที เพราะไอ้หนุ่มโมฮอว์คที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนั้น จริงๆแล้วก็คือ Rostam Batmanglij มือกีตาร์ของวงนั่นเอง เล่นเอาผมรู้สึกโง่ไปในทันที นั่งตรงข้ามกันแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ทำตัวเป็นร๊อคสตาร์อะไรนักหนา แต่ดูออกจะเหมือนกับนักศึกษากำลังท่องเที่ยวเท่านั้นเอง
พวกเขาทั้งหมดออกมาในชุดสบายๆ ส่วน Ezra นักร้องนำของวง ก็ใส่แค่เสื้อลายสก๊อตตาใหญ่เหมือนผ้าขาวม้า กับกางเกงขาเต่อ และรองเท้าแล่นเรือใบเท่านั้น พวกเขาไม่พูดพล่ามทำเพลงครับ เริ่มต้นเปิดงานด้วยเพลง Holiday ทันที เล่นเอาแฟนๆ (โดยเฉพาะสาวๆ) เฮฮากันอย่างเต็มที่ ส่วนนักเขียนอย่างผมก็ได้แต่กดชัตเตอร์เก็บภาพอย่างเต็มที่ด้วยกล้อง Canon G9 คู่ใจ ที่แม้จะไม่โปรมาก แต่ก็ถือว่าใช้งานได้ดีเลยทีเดียว (ดูจากรูปประกอบได้ครับ) เมื่อจบเพลง Holiday พวกเขาก็ต่อด้วย White Sky ก่อนจะเรียกเสียงฮือฮาด้วย Cape Cod Kwassa Kwassa ที่แฟนเพลงรู้จักกันดี และเมื่อจบเพลง ผมก็ต้องออกมาจากแถวหน้า เนื่องจาก ทางวงอนุญาตให้นักข่าวถ่ายภาพแค่สามเพลงครับ จึงต้องออกมาสนุกต่อข้างนอกแทน ส่วนพวกเขาก็เริ่มทักทายแฟนๆบ้างครับ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ขนเพลงสารพัดสารพันของพวกเขาออกมาให้แฟนๆได้สนุกกันอย่างเต็มที่ครับ โดยเรียงไปเลยตั้งแต่ I Stand Corrected, M79, Bryn และ California English เรียกเสียงกรี้ดได้ตลอดครับ
เมื่อมีเวลามองไปรอบๆงาน ผมสังเกตได้ว่าในงานมีคนผิวขาวเยอะมากๆครับ จนอาจจะพอๆกับคนไทยเลยก็ได้ (กลุ่มเพื่อนที่ผมไปด้วยก็มีทั้งอังกฤษทั้งญี่ปุ่น) เรียกได้ว่า แรงหนุนจากแฟนเพลงที่อยู่ในต่างประเทศก็ไม่เลวเลยจริงๆครับ เพลงต่อมาที่พวกเขาเล่นคือ Cousins, Taxi Cab, Run และเพลง A-Punk ที่เรียกเสียงกรี้ดและเฮจากแฟนๆได้เยอะมากๆครับ โดยเฉพาะช่วง เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ ที่แหกปากตามกันอย่างสนุกครับ แล้วค่อยต่อด้วย One (Blakes got a new face) อีกทีครับ
อีกเพลงที่พวกเขางัดออกมาเรียกเสียงกรี้ดต่อคือ Giving Up The Gun ที่เป็นเพลงโปรดของผม เพราะบีตมันหนักหน่วงเสียเหลือเกินครับ สนุกกันอย่างเต็มที่ ก่อนจะต่อด้วย Campus และปิดท้ายเซ็ตด้วยเพลงป๊อปหนุงหนิงอย่าง Oxford Comma เป็นการปิดท้ายเซ็ตอย่างสวยงาม ก่อนที่จะเดินออกไปกันครับ
และตามฟอร์มที่ต้องมีการคอรัสครับ (เลิกก็ดีครับ เบื่อ เล่นให้มันสะใจรวดเดียวไปเลยดีกว่า) พวกเขากลับมาโดยที่ Ezra เปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงมวยไทย นอกเวทีคงใส่แบบนี้ไม่ไหวล่ะครับ และเพลงที่พวกเขาเลือกกลับมาคือ Horchata เพลงเด่นอีกเพลง ก่อนที่จะตามด้วยเพลงเกี่ยวกับเมืองแห่งการศึกษาอย่าง Boston แล้วก็เล่น Mansard Roof เพลงเปิดอัลบั้มแรกต่อ ผมกำลัง้ริ่มคิดว่าเขาจะเอาเพลงไหนมาปิดท้ายให้แฟนๆได้สนุก เพราะพวกเขางัดเอาทีเด็ดออกมาเกือบหมดแล้ว แต่ผมกลับลืมว่ายังมีเพลง Walcott เพลงแสนสนุกจากอัลบั้มแรกอยู้ และมันก็เป็นเพลงปิดท้ายเซ็ตได้อย่างงดงามจริงๆครับ แม้ว่าจะคอนเสิร์ตนี้จะสั้นไปหน่อย (แค่ราวชั่วโมง แต่ผมขับรถมาเกือบสองชั่วโมง) แต่ก็ถือว่าสนุกเอาเรื่องจริงๆครับ
หลังจากจบงานแล้ว ยังมีการเปิดแผ่นของพี่ซี้ดต่อให้แฟนเพลงอินดี้ได้ฟังอย่างเพลิดเพลินครับ ผมเองก็นั่งฟังซักพักก่อนจะขอตัวกลับมาเขียนงานนี่แหละครับ ระหว่างนั้น มีคนเอาประกาศมาบอกว่า วันที่ 19 พฤศจิกายน จะมีคอนเสิร์ตของวงรุ่นเก๋าอย่าง The Charlatans มาให้ได้ชมอีก คงไม่พลาดล่ะครับ