Saturday, June 12, 2010

Korea Fever ไข้เกาหลี

ช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา นอกจากความวุ่นวายต่างๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะมากในบ้านเราคือ การเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของเกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว ผมอาจจะพูดแรงไปนะครับ แต่ว่า จากที่เราเคยเห่ออเมริกา (ยุค ’80) เห่อญี่ปุ่น (ยุค ’90) และเกือบๆจะเห่อไต้หวัน แต่สุดท้ายแล้ว ต้องยกให้เกาหลีจริงๆครับ ที่เข้ามาครองใจเราคนไทยไปเกือบทุกคนจริงๆ ขนาดผมที่ผูกพันกับญี่ปุ่นมานาน ยังต้องเผลอใจไปกับเกาหลีบ้างเลยครับ (ก็ญี่ปุ่นยังบ้าเกาหลีเลยนี่ครับ)

จริงๆแล้ว แต่เดิม เรากับเกาหลีก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันนักหนา ภาพที่เราเห็นเกาหลีคือ ประเทศที่มีการประท้วงตลอด นักมวยกับคำตัดสินที่รับได้ยาก กับสินค้าเชยๆอย่าง Goldstar แต่เมื่อหลังจากฟื้นมาจากพิษธุรกิจ พวกเขาก็ค้นพบว่า สิ่งที่จะขายออกนอกประเทศได้อย่างยืนยงคือ วัฒนธรรม นั่นเอง ไม่ต่างจากอเมริกาที่ขายวัฒนธรรมแบบอเมริกาไปทั่วโลกมาแล้ว และหัวหอกแรกที่เข้ามาเจาะบ้านเราคือ ละครย้อนยุคชื่อ แด จัง กึม นั่นเองครับ

แด จัง กึม กลายเป็นปรากฏการที่ทำให้หลายประเทศคลั่งเกาหลีทันที ด้วยเนื้อเรื่องที่ยึดพื้นฐานความดีและอดทน (พจมาน?) และวัฒนธรรมใหม่ที่คนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทำให้วัฒนธรรมเกาหลีกลายเป็นที่สนใจไปทั่ว ที่ญี่ปุ่นเอง ก็ดังเช่นกัน เพียงแต่ที่ญี่ปุ่น ถูกรอยยิ้มพิมพ์ใจของท่านแป ยอง จุน (เรียกตามภาษาญี่ปุ่นว่าท่านยอง) จากละครรักน้ำเน่า แต่ยึดมั่นเรื่องรักแท้ ทำให้ป้าๆชาวญี่ปุ่นตกหลุมรักกันหมด มนต์ของเกาหลีเริ่มแพร่ออกไปทั่วsnsd-3

หลังจากนั้น ก็ตามที่ทราบกันครับว่า วัฒนธรรมเกาหลี เข้ามาครอบงำประเทศไทยเยอะมาก ตั้งแต่ละคร เพลง หนัง จนกระทั่งสินค้าต่างๆที่แต่ก่อนอ้างว่าผลิตจากอเมริกาหรือญี่ปุ่น ก็กลายเป็นเกาหลีไปแทน แบรนด์เชยอย่างโกลด์สตาร์ก็มาเป็น LG แข่งกับ Samsung ที่เน้นดีไซน์สวยงาม และราคาถูก จนผู้ผลิตญี่ปุ่นได้แต่มองตาละห้อย แล้วอะไรที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ ทั้งที่แต่ก่อน เกาหลียังไม่มีศิลปินดังระดับนานาชาติ มีแต่รายการของทหารเชยๆ ญี่ปุ่นส่งไอดอลอย่าง Morning Musume ของตัวเองไปขายเกาหลีได้ (แต่ต้องแอบ เพราะก่อนหน้านี้ยังต่อต้านอยู่) แต่ตอนนี้ ขนาดญี่ปุ่นยังคลั่งนักร้องเกาหลีกันเลยครับ มันคงไม่ใช่หน้าตาเท่านั้นหรอกครับ

จากมุมมองที่เฝ้าสังเกตุการปรากฏการเกาหลีมาเรื่อยๆ ผมมองว่า สิ่งแรกสุดที่สำคัญคือ การสนับสนุนจากรัฐบาล ที่เล็งใช้ความบันเทิงในการเจาะตลาดนอก นอกจากศิลปินจะเป็นตัวชูโรงตามงานต่างๆแล้ว ทางรัฐบาลก็อาศัยความสำเร็จของสิ่งบันเทิงในการเปิดตลาดด้วย กลับมามองดูบ้านเราแล้ว เฮ้อ เพื่อนบ้านเราเอาละครเราไปดูตลอด แต่ก็ไม่ได้ใช้โอกาสนี้ทำอะไรเลยsuperjunior02

นอกจากนี้คือ พลังฮึดของคนเกาหลีครับ นักร้องเกาหลีต้องอยู่หอพักของค่ายด้วยกัน วันไหนไม่มีงานก็ซ้อมๆๆๆๆ จนหลับตามันยังเต้นกันได้ เพราะถ้าพลาดโดนตบ แบบนี้ เล่นจริงๆไม่มีพลาดหรอกครับ ดูอย่าง Wonder Girls สิครับ เป๊ะทุกช๊อต แต่บ้านเรา ขายได้เพลงสองเพลงก็เป็นเทวดาไปซะแล้ว แล้วจะเอาอะไรไปแข่งกับเค้าล่ะครับ ขนาดว่าเจ้าของค่ายเพลงใหญ่ในไทย ยังไปถือหุ้นในค่ายเพลงเกาหลี ซักวัน ถ้าแกเบื่อศิลปินไทย แล้วส่งเงินไปปั้นเกาหลีอย่างเดียว จะยุ่งกันหมดนะครับ

นอกจากนี้ คนเกาหลีต่างจากญี่ปุ่นตรง ศิลปินญี่ปุ่นมักจะพอใจที่ขายได้ในญี่ปุ่นเท่านั้น เลยไม่สนใจออกนอกประเทศ (ขนาดวง X Japan เราแทบไปกราบมัน มันยังไม่มาเลยครับ) แต่เกาหลี มองว่าตลาดอินเตอร์สิ ที่ขายได้เยอะ ดังนั้น อะไรเป็นงาน รับหมดครับ เราเลยได้เห็นนักร้องเกาหลีมาโชว์ตัวในไทยบ่อยมากๆ ได้เห็นตัวเป็นๆบ่อยขนาดนี้ ใครก็ชอบล่ะครับ ได้ใจตลาดติ่งหูบ้านเราไปมากครับ และศิลปินเกาหลียังพยายามฝึกภาษา และเจาะเข้าไปตลาดฮอลลีวู้ดตามฮ่องกงไปแล้วอย่าง เรน และ ลี บุน ฮุง แต่ญี่ปุ่น กลับแทบไม่มี จนคนเกาหลียังได้บทคนญี่ปุ่นไปเลยครับkara-lupin-4

แต่นอกจากการลงทุน และความบ้าพลังแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นในเพลงป๊อปเกาหลีคือ แม้มันจะเป็นเพลงป๊อปธรรมดาที่ไม่ได้ต่างจากเพลงบ้านเรามากนัก (บางเพลงก็ห่วยและเชยแบบไม่น่าให้อภัยซะด้วยซ้ำ) แต่สิ่งที่พวกเขาใส่ลงไปคือ องค์ประกอบที่จำเป็นของเพลงป๊อปครับ นั่นคือ ท่อนติดหูที่ร้องตามได้ง่ายๆ แบบที่คอยหยอดมาทีละนิดทีละหน่อย เอาง่ายๆเลย ตัวอย่างเช่นเพลง Nobody ที่ใครก็ร้องท่อนฮุคได้ แถมการตบมือแปะๆที่ชวนทำตามอีก เพลงดังๆอื่นๆเช่น Sorry หรือ Gee ที่ติดหูด้วยวลีที่แม้แต่เด็กก็จำได้ ขนาดเพลง Lupin ของ Kara ยังแอบมีท่อน อ๊าว แบบไมเคิล ได้คอยแหกปากตาม จริงๆ ลูกเล่นแบบนี้ Morning Musume ของญี่ปุ่นเคยเอามาใช้แล้ว แต่โปรดิวเซอร์คงลืม หลังๆเลยหายไป แต่มันได้ผลกับการทำเพลงป๊อปที่ขายได้ครับ จริงๆ บ้านเรา โฟร์มด ก็เคยทำได้กับเพลงชุดแรกๆมาแล้ว (เฮ้อเธอ กับ เลิฟๆ) ถ้าบ้านเราอยากจะเอามั่ง คงต้องศึกษาตรงนี้ให้ดีครับ ผมแทบจะเรียกว่าสารประกอบ X ของเพลงป๊อปเลยทีเดียว ขนาดผมที่ไม่ใช่แฟนเพลงเกาหลี ฟังครั้งเดียวยังฮัมตามได้เลยครับ

เห็นเกาหลีเค้ารุดหน้าไปขนาดนี้แล้ว อยากเห็นคนไทยเอาอย่างบ้างครับ เขาอาจจะไม่ได้ดีหมด แต่ถ้าเอาด้านดีของเขามาศึกษา และไม่อิจฉากันเอง เราก็ทำได้แน่ๆครับ ขอแค่อดทนและพยายามอย่างมีแผนการที่ชัดเจนเท่านั้น ถ้าเอาแค่เปลือกเค้ามา อย่างไรซะ มันก็ไม่ยืนยาวหรอกครับ

1 comment:

sulwhasoo said...

ตอนนี้อะไรก็เกาหลี

เครื่องสำอางเกาหลี