ตั้งแต่บ้านเรามีห้าง Esplanade เป็นต้นมา อานิสงค์ที่ใหญ่ยิ่งของห้างนี้ที่มีต่อวงการบันเทิงไทยคือ ที่นี่มีโรงละครระดับมาตราฐานที่ใหญ่เพียงพอที่จะรองรับละครเวทีระดับใหญ่ยักษ์ได้ ทำให้วงการการละครบ้านเราคึกคักขึ้นมาเยอะ รวมไปถึงละครเพลงบรอดเวย์ดังๆที่มาเล่นที่เมืองไทยด้วย ที่เขียนมาใช่ว่าผมจะได้ไปดูบ่อยนะครับ บอกตรงๆว่ายังไม่มีโอกาส ขนาดช่วยแปลเนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่นให้เรื่อง ข้างหลังภาพ มาแล้ว ก็ยังไม่ได้ไปดูซะที แต่ที่เขียนถึงเพราะว่า มีละครบรอดเวย์เรื่องหนึ่ง ที่ผมอยากให้เอามาเล่นในเมืองไทยมาก เพราะพึ่งได้ฟังอัลบั้มเพลงจากละครเพลงเรื่องนี้หมาดๆ ละครเพลงที่ว่าคือ American Idiot ที่เอางานเพลงของ Green Day มาตีความใหม่ครับ
แต่เดิม งาน American Idiot ของ Green Day ก็มีความเป็นงานเพลงร๊อคโอเปร่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่แล้ว เนื่องจากมันเป็นอัลบั้มที่เล่าเรื่องของJesus of Suburbia วัยรุ่นอเมริกันที่ผิดหวังกับสังคมอเมริกันในยุคของบุชคนลูก และสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ กลายเป็น St. Jimmy พบรักกับสาวหัวขบถชื่อ Whatsername ก่อนที่จะบ้าคลั่งและกลับกลายเป็นคนๆเดิมและกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบแบบคนที่เติบโตขึ้น พูดตรงๆคือ มันคืองานเพลงที่วิจารณ์สังคมอเมริกันในนยุคของบุชหลังเหตุการณ์ 9/11 ผ่านสายตาของคนหนุ่มที่สับสนกับสังคมไม่ต่างอะไรกับยุคสงครามเวียดนาม
และด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจของมันนี่เอง ทำให้มีคนสนใจจะเอาเนื้อเรื่องของอัลบั้มนี้ไปทำเป็นภาพยนต์ และทางวงเองก็อยากเห็นเหมือนกัน แต่สุดท้าย พวกเขาก็วุ่นกับการทำเพลงจนต้องระงับโครงการนี้ไปก่อน แต่แล้ว Michael Meyer ผู้กำกับละครเวทีก็เข้ามาติดต่อวงเพื่อเสนอโครงการละเครเวทีเรื่อง American Idiot ซึ่งทางวงก็เห็นด้วยและยังยอมให้ Michael Mayer เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องตามที่เห็นสมควรได้
และ Mayer ก็เลือกเปลี่ยนเนื้อเรื่อง โดยเพิ่มตัวเอกมาอีกสองคน กลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่จะสร้างความลึกให้กับเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเรื่องย่อคือ Johnny, Will และ Tunny ชายหนุ่มอเมริกันอายุเกือบ 30 ในต่างจังหวัดที่วันๆใช้ชีวิตไม่มีแก่นสาร เอาแต่สุงสิงกันที่ร้านสะดวกซื้อ พวกเขาคิดเดินทางเข้าเมืองเพื่อหาอะไรให้กับชีวิต แต่ Will ไปไม่ได้เมื่อพบว่าแฟนท้อง Johnny และ Tunny เลยไปกันแค่สองคน แต่เมื่อเข้าเมือง Tunny เลือกสมัครเป็นทหารไปรบเพื่อชาติ ส่วน Johnny หลงรักหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าทำอะไร เขาเลยเลือกเกิดใหม่กลายเป็น St. Jimmy พังค์ผู้บ้าคลั่ง และเข้าไปจีบเธอ Tunny ขาขาดจากสงครามและพบรักกับนางพยาบาล แฟนของ Will หอบลูกหนีเขาเพราะปัญหาเรื่องเหล้าและยา ส่วน Whatsername คนรักของ Johnny ก็ขอให้เขาเลิกใช้ยาซะที เธอชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องในตัวเขา และสุดท้าย เธอก็ทิ้งเขาไป Johnny เฝ้าฝันถึงวันที่ดีกว่า Tunny ต้องการกลับบ้านเกิด Will ต้องการสิ่งที่เขาเคยมีทั้งหมด (เขาพบว่าแฟนของเขากลายเป็นแฟนศิลปินไปแทน) ด้วยความต้องการทั้งหมด พวกเขากลับมาเจอกันที่ร้านสะดวกซื้อที่เคยสุงสิงกัน แฟนของ Will กลับมาเพื่อให้เขาและเพื่อนอีกสองคนได้เจอกับลูก Tunny แนะนำแฟนสาวพยาบาลให้เพื่อนได้รู้จัก ส่วน Johnny ก็ได้กลับมานั่งมองย้อนกลับไปในชีวิตของเขาเอง ในที่สุดเขาก็พบกับความสงบในใจด้วยการรักษาสมดุลระหว่างความรักและความโกรธในใจของเขา เขาเลือกที่จะลืม Whatsername แต่ไม่ลืมวันเวลาที่มีกับเธอ
นั่นแหละครับ เรื่องราวทั้งหมดของ American Idiot และที่น่าทึ่งคือ เรื่องราวทั้งหมด เล่าผ่านบทเพลงจากอัลบั้ม American Idiot โดยที่มี 5 เพลงจากอัลบั้มต่อมา 21st Century Breakdown ที่ทั้งวงและผู้กำกับลงความเห็นว่าสามารถเพิ่มมาเพื่อให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์แบบได้อีก (แน่นอนครับว่าไม่พลาดเพลงดังอย่าง Know Your Enemy และ 21 Guns แน่นอนครับ) และยังมีเพลงอย่าง Favorite Son กับ Too Much Too Soon ที่เป็นเพลง B-Sides มาก่อนด้วย แต่ที่เจ๋งสุดคือ มีเพลง When It’s Time ที่ Billy Joe Armstrong เคยแต่งตอนอายุ 19 เพื่อจีบสาวคนที่จะกลายมาเป็นภรรยาเขาในตอนนี้ และมันก็ได้รับการอัดเสียงเป็นครั้งแรกด้วยครับ นักแสดงทั้งหมดที่ร่วมแสดงสามารถร้องเพลงของ Green Day ออกมาได้เป็นอย่างดีครับ และหลายท่อนที่เป็นเสียงหญิงสาว เรียกได้ว่า ได้อีกบรรยากาศหนึ่งครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความสุขกับการฟังอัลบั้มนี้เอาเรื่องเลยครับ ถ้าใครอยากลองฟังการตีความใหม่ๆของอัลบั้มนี้ ก็ลองหามาดูกันได้ครับ หวังว่าจะมีคนพาเอาเข้ามาแสดงในไทยบ้างนะครับ เพราะว่ามันน่าดูกว่าอีกหลายเรื่องที่เคยเข้ามาในบ้านเราจริงๆครับ
ปิดท้ายนิดหน่อยว่า จริงๆแล้ว ถ้าศิลปินบ้านเราจะทำงานเพลงแบบนี้ ก็น่าจะทำได้นะครับ แค่ให้ตัวละครผ่านยุค 5-6 ปีที่ผ่านมาก็เป็นอัลบั้มนึงแล้วครับ จริงๆผมเองก็ยังมีไอเดียอยู่เหมือนกันครับ แต่ก็อย่างว่าครับ ทำเพลงป๊อปตลาดๆคงหาเงินได้เยอะกว่า คงไม่มีใครกล้าทำ หรือถ้าทำไม่ถูกใจรัฐบาล จู่ๆอาจจะได้ไปอยู่ในแผนผังของเค้าก็ได้ครับ (นั่งๆเขียนอยู่ยังลุ้นว่าจะโดนด้วยรึเปล่า (ฮา (ไม่ออก)))
No comments:
Post a Comment