ในวงการเพลง ก็จะมีอัจฉริยะรุ่นใหม่ของแต่ละด้านจุติขึ้นมาในวงการเรื่อยๆ และแต่ละคนก็มักจะมีสไตล์ในแบบของตัวเอง และ Owen Pallett คนนี้ ก็ได้รับคำยกย่องในฐานะอัจฉริยะของเครื่องสายโดยเฉพาะไวโอลิน แค่เอ่ยชื่อของเขาขึ้นมา หลายคนอาจจะยังงงๆ แต่ให้ผมแนะนำเกี่ยวกับเขาก่อนเถอะครับ แล้วคุณจะหายสงสัยว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกเช่นนั้น
Owne Pallett เกิดในครอบครัวของนักเล่นออร์แกนในโบสถ์ในแคนาดา และนั่นปูพื้นความรู้ดนตรีคลาสสิกให้กับเขามาตั้งแต่แบเบาะ และเขาก็เริ่มเรียนไวโอลินคลาสสิกตั้งแต่เล็ก จนเก่งถึงขนาดประพันธ์เพลงได้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 13 เขารับทำงานเพลงให้กับเกมตั้งแต่วัยรุ่น และยังทำเพลงประกอบโอเปร่าอีกสองชิ้นตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าเห็นแววเจริญแต่เด็กแล้ว
เขาเริ่มหันมาแต่งเพลงอินดี้ในแบบของเขา นั่นคือการผสมบรรยากาศเพลงอินดี้เข้ากับดนตรีคลาสสิกโดยใช้เครื่องสายเป็นตัวนำ และเริ่มเข้าวงการในนาม Les Mouches (ต้องขอโทษด้วยที่หารายละเอียดไม่ได้ครับ) และก็ไปร่วมงานกับ Jim Guthrie แล้วก็วง The Hidden Cameras วงอินดี้มากสมาชิกอีกวงจากแคนาดา แต่ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเมื่อไปเล่นไวโอลินและเรียบเรียงเครื่องสายให้กับวง The Arcade Fire วงร๊อคจากแคนาดาที่ดังไปทั่ววงการในผลงานเปิดตัว Funeral ส่วนผมรู้จักเขาเป็นครั้งแรกเมื่อไปร่วมทำเพลง Black History Month ใหม่กับ Death from Above 1979 ในอัลบั้มรีมิกซ์และรีเมคของ DFA1979 และมันก็เป็นเพลงที่น่าทึ่งเมื่อเพิ่มเสียงไวโอลินที่ทั้งหวานทั้งอลังการให้กับเพลงที่ทรงพลังอย่าง BHM ทำให้มันทรงพลังมากยิ่งขึ้น ไปกว่าเดิม และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่นามแฝง Final Fantasy ของเขามาเข้าตาผม
สำหรับแฟนเพลงที่ไม่สนใจวงการเกมอาจจะงงว่ามันคืออะไร Final Fantasy คือเกม RPG ชื่อดังที่ขายมายาวนาน และเป็นเกมในดวงใจของ Owen ทำให้เขาเลือกเอามาเป็นนามแฝง อิทธิพลของเกมที่มีผลต่อดนตรีของเขายังไม่จบเท่านี้ครับ
เขาเริ่มออกอัลบั้มในนาม Final Fantasy อย่างเป็นทางการหลังจากสร้างชื่อกับโปรเจ็คต์ต่างๆ และผลงานชุดแรกในนามนี้คือ อัลบั้ม Has A Good Home ในปี 2005 ที่ แน่นอนว่าแนวเพลงคือการผสมดนตรีอินดี้เข้ากับดนตรีคลาสสิคอย่างที่เขาถนัด โดยมีเสียงร้องนิ่มๆของเขามาเป็นส่วนประกอบที่ลงตัวอย่างน่าทึ่ง แต่ละเพลงสามารถทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเหมือนกับการอาบแดดในฤดูใบไม้ผลิ หรือนอนหลับในอ้อมกอดของสาวคนรักได้เลยทีเดียว เพลงที่งดงามไร้ที่ติอย่าง This is the Dream of Win & Reg นั้นจะติดตรึงอยู่ในเซลล์สมองของเราได้ตั้งแต่แรกฟัง (Win และ Reg หมายถึง Win Butler และ Regina Chassagne จาก The Arcade Fire) ส่วน An Arrow in the Side of Final Fantasy ที่หยิบยืมทำนองจากเกมมาริโอก็เยี่ยมไม่แพ้กัน แม้จะเป็นอัลบั้มเปิดตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่มันก็ทำให้เรารู้ถึงอัจริยภาพของหนุ่มน้อยคนนี้ในการเรียบเรียงดนตรีระดับเซียน แนวเพลงของเขามันต่างไปจากคนอื่นอย่างชัดเจนเนื่องจากรากดนตรีคลาสสิกในตัวเขา
นอกจากเกมแฟมิคอมที่มีอิทธิพลต่อดนตรีของเขาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากคือเพศของเขา เขาเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์และบอกว่ามันมีอิทธิพลต่อเพลงของเขาในแง่ของดนตรี ไม่ใช่ด้านเนื้อหา
ในปี 2006 เขาก็ออกงานต่อมาชื่อ He Poos Cloud ที่เนื้อหาโดยมาอิงกับเกม Zelda และเกมกระดาน และมันกลายเป็นงานสร้างชื่อให้เขาเมื่อมันได้รับรางวัล Polaris Music Award ในแคนาดา ทั้งอัลบั้มยังคงได้รับการเรียบเรียงอย่างละเอียดอ่อนและงดงามวิจิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพลง The Arctic Circle หรือ I'm Afraid of Japan กระทั่งเพลงสั้นๆอย่าง →
หลังจากสร้างชื่อแล้ว เขาก็ยังไปร่วมงานกับอีกหลากศิลปินเช่น Holy Fuck, Fucked Up, The Last Shadow Puppets รวมไปถึงเพื่อนร่วมแนวอย่าง Patrick Wolf และ Beirut (ที่เรียบเรียงเครื่องสายได้งามไม่แพ้กัน) จนมาถึงปีนี้ที่เขาตัดสินใจออกอัลบั้มที่ 3 โดยทิ้งชื่อ Final Fantasy ที่จะคอยทำให้คนสับสนกับเกมชื่อดัง หันมาใช้ชื่อจริง Owen Pallett อย่างเป็นทางการ และเป็นอัลบั้มที่ชื่อ Heartland
ซึ่งมันก็ยังเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงที่ได้รับการเรียบเรียงอย่างงดงามเช่นเคย และยังเพิ่มโทนเพลงที่แปลกใหม่ขึ้นมาอีก เช่น Keep The Dog Quiet ที่มีเครื่องสายให้บรรยากาศลึกลับไม่ต่างจากหนังนักสืบนัวร์ หรือ Lewis Takes Action เหมือนเพลงประกอบหนังยุค ’80 แต่กลับมีเนื้อหาที่โหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วน Lewis Takes Off His Shirt ก็เป็นเพลงที่รวดเร็วกว่าที่เคยมีมามาก แม้จะทดลองหลายอย่าง แต่เขาก็ยังไม่ลืมความงดงามแบบเคยใน Oh Heartland, Up Yours! และ What Do You Think Will Happen Now? ที่ยังเรียบง่ายเหมือนเดิม
และแน่นอนครับ อัลบั้มดีๆแบบนี้ Platinum ก็ได้เอาเข้ามาจำหน่ายให้เราได้ฟังกันอีกแล้วครับ ลองไปหามันฟังให้เพลินๆลองดูแล้วกันครับ
No comments:
Post a Comment