วันนี้ จะขอเขียนเรื่องส่วนตัวอีกซักหน่อย เนื่องจากเมื่อสองเดือนก่อน แผ่นซีดีที่มาส่งที่สำนักงานผมตามปกติ ทำให้ผมถึงกับงง เมื่อมันคือแผ่นของวง Alice in Chains ทำให้ผมต้องเช็คอีกรอบว่ามันใช่วงๆเดียวกับวงกรันจ์ระดับตำนานที่ผมฟังมาตั้งแต่สมัยกางเกงขาสั้น หัวเกรียนรึเปล่า ที่ผมงงถึงขนาดนั้นก็เป็นเพราะว่า Alice in Chains น่าจะจบไปตั้งแต่การตายของนักร้องนำที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์ของวงอย่าง Layne Staley เมื่อปี 2002 แล้ว
ที่ผมบอกว่าส่วนตัว ก็เป็นเพราะว่า Alice in Chains คือวงที่ผมชอบฟังตั้งแต่สมัยเริ่มฟังเพลงร๊อคสากลใหม่ๆเมื่อตอนเรียนม.ต้น และสิ่งที่ทำให้ผมชอบในวงนี้มากคือ เสียงร้องที่มีรูปแบบเฉพาะไม่เหมือนใครของ Layne Staley ที่ต่างกับศิลปินคนอื่นที่ผมเคยฟัง และเสียงกีตาร์ยานๆหน่วงๆหลอนๆของ Jerry Cantrell ทำให้ผมติดฟังวงนี้ได้อย่างไม่รู้เบื่อจริงๆ
Layne Staley เป็นเจ้าของอีกเสียงหนึ่งที่แสนเศร้า แม้การร้องของเขาจะเต็มไปด้วยการแผดเสียงออกมาอย่างก้าวร้าวไม่ต่างกับการตะโกนร้องของวิญญาณที่บ้าคลั่ง แต่ในวิญญาณที่บ้าคลั่งนั้น กลับมีเสียงร้องไห้อย่างเศร้าโศกของเด็กชายตัวน้อยเจืออยู่ด้วย
Layne เติบโตมาตามรูปแบบมาตราฐานของร๊อคเกอร์ขี้ยาในยุค ’90 พ่อแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก และแม้เขาจะเติบโตมากับแม่ แต่ข่าวคราวเรื่องการติดยาของพ่อเขาก็ยังหลอกหลอนเขาอยู่ แม้จะมีคนบอกว่าพ่อเขาตายไปแล้ว แต่เขาก็ไม่เชื่อ และหวังว่า ถ้าเขาดังขึ้นมา พ่อคงจะมาหาเขาสักวัน แต่อย่างน้อย เขาก็ไม่โทษการแยกกันของพ่อแม่ของเขาว่าเป็นสาเหตุของการเล่นยาอย่างหนักของเขา
เขาเริ่มรวบรวมเพื่อนฝูงเพื่อตั้งวงดนตรี และหลังจากเปลี่ยนมาหลายแนว และหลายชื่อ พวกเขาก็มาลงตัวกับชื่อ Alice in Chains และแนวดนตรีกรันจ์ ที่จะครอบครองโลกยุคปี ’90 ต่อมา หลังจาก Nirvana ได้เป็นตัวจุดระเบิดให้กับเพลงกรันจ์จนดังไปทั่ววงการแล้ว วงแนวเดียวกันอีกหลายวงก็ได้โด่งดังขึ้นมากับกระแสกรันจ์ แต่มีเพียงไม่กี่วงเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดในวงการจนถึงทุกวันนี้ สาเหตุเพราะว่านอกจากการเสื่อมความนิยมของแนวเพลงทำให้พวกที่ไม่ใช่ตัวจริงต้องหายตัวไปแล้ว กรันจ์คือแนวเพลงของคนมีปัญหาที่พร้อมจะทำร้ายตัวเองอยู่เสมอไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เราเสียศิลปินไปอยู่เรื่อยๆ และ Layne ก็ต่อคิวเตรียมเดินทางไปตามเพื่อนร่วมรุ่น ด้วยพฤติกรรมการเล่นยาเสพติดอย่างไม่เพลามือของเขา
Alice in Chains สร้างชื่อกับผลงานชิ้นแรกอย่าง Facelift ในปี 1990 ที่มีเพลงดังอย่าง Man in the Box ที่ดังถึงขนาดวงหัวดำยังเอามาทำใหม่เลย และพวกเขาก็กลายเป็นวงระดับหัวแถวเมื่ออกผลงานชุดที่สองที่ชื่อ Dirt ในปี 1992 ที่ได้รับทั้งเงินทั้งกล่องอย่างงดงาม เพราะนอกจากมันจะแน่นไปด้วยเพลงเจ๋งๆอย่าง Rooster, Angry Chair หรือ Down in the Hole บวกกับมันเป็นช่วงพีคของกระแสกรันจ์ ทำให้พวกเขาฉายแสงอย่างงดงาม แต่ในแสงสว่างนั้น เงาแห่งความมืดก็แอบอิงอยู่ไม่ห่างจากมันนัก Layne มีปัญหาติดยาอย่างรุนแรง แม้อัลบั้มจะขายดี แต่พวกเขาก็ออกทัวร์ได้น้อยมาก เพราะปัญหาดังกล่าว
งานชุดที่สามที่ใช้ชื่อเดียวกับวงก็ประสบความสำเร็จเช่นเคย แต่กลับไม่มีการออกทัวร์ ทำให้คนเริ่มเป็นห่วงเรื่องปัญหายาเสพติดของ Layne มากขึ้น และเขาก็เริ่มจมดิ่งลงเรื่อยๆจากความตายของคู่หมั้นของเขา ไม่ยอมไปไหนและฝังตัวเล่นยาตลอด เขาเริ่มให้สัมภาษณ์ยอมรับปัญหาของเขา และรู้ตัวว่าเริ่มใกล้ตายแล้ว แม้วงจะไม่แตก แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยในปี 2002 ศพที่เต็มไปด้วยเฮโรอิน และโคเคนในกระแสเลือดของเขาถูกพบในคอนโดของ จบชีวิตศิลปินดังของยุค ’90 ไปอีกคนด้วยการตายจากยาเสพติดอีกแล้ว ในที่สุด เด็กน้อยแสนเศร้าในร่างผู้ใหญ่ก็อาจจะได้ไปพบกับพ่อที่เขาตามหามาตลอดชีวิตแล้วก็ได้ ปิดฉากตำนานของเสียงที่มีเอกลักษณ์ของเขาไปอย่างน่าเสียดาย ผมยังจำได้ว่าตอนที่ได้ยินข่าวนี้และเอาเพลง Another Brick in the Wall ที่เขาเอามาร่วมทำใหม่กับศิลปินคนอื่น มาฟัง ยังต้องน้ำตาคลอเลยทีเดียว
ยังดีที่เพื่อนๆของเขาไม่ยอมล้มเลิก ยังพยายามสานต่อตำนานของ Alice in Chains ที่ควรจะได้รับคำชมมากกว่านี้ หลังจากยุบวงไปช่วงหนึ่ง พวกเขาดึงเอา William DuVall เข้ามาแทน Layne และก็ได้ออกอัลบั้ม Black Gives Way to Blue ในปี 2009 ที่กลายเป็นความสำเร็จอย่างงดงามเกินคาด แม้จะขาดเสียงที่สัญลักษณ์ของวงไป แต่ William ก็มาทำหน้าที่แทนได้อย่างลงตัว เสียงกีตาร์ของ Jerry Cantrell ยังคงโดดเด่นเช่นเคย และมันก็เป็นอัลบั้มที่สมควรได้รับคำชมจริงๆ เพลงเด่นๆอย่าง Your Decision และ When The Sun Rose Againก็งดงาม ส่วนเพลงที่หนักหน่วงอย่าง Check My Brain ยังคงแนวเพลงของพวกเขาไว้ได้อย่างดี สานต่อตำนานที่หยุดนี่งไปเกือบ 15 ปีของพวกเขาได้อย่างลงตัว หวังว่า Layne คงจะมีความสุขในโลกหน้าถ้าได้ฟังอัลบั้มนี้
No comments:
Post a Comment