ในช่วงที่ผ่านๆมา หลังจากยุ่งไปกับงานประจำอยู่พักใหญ่ ผมก็ได้รับซีดีแผ่นหนึ่งโดยไม่คาดคิด นั่นก็คือ อัลบั้มใหม่ของ Green Day ซึ่งที่บอกว่าไม่คาดคิดเพราะว่า ไม่ทันได้ตามข่าวเลยว่าวงนี้จะออกอัลบั้มใหม่ จนวันที่มันมากองที่โต๊ะทำงานผมนี่แหละครับ
จะว่าไป ชีวิตการฟังเพลงของผมก็เกี่ยวกับวงๆนี้ไม่น้อย เพราะว่าเป็นวงแรกๆที่เริ่มฟังหลังจากที่หันเหจากวงแฮร์แบนด์มา ซึ่งที่ได้ฟังก็เพราะเพื่อนมันแนะนำเหลือเกินตอนไปทัศนศึกษา ปี 94 ตอนแวะกรุงเทพเลยตบอัลบั้ม Dookie ซะ ซึ่ง ไม่เสียแรงแนะนำครับ เพราะว่ามันมันสะใจวัยรุ่นม. 4 ในตอนนั้นเหลือเกิน เพลงดังๆไม่ว่าจะเป็น She, Long view หรือ Welcome to the Paradise นั้น เราฮัมตามได้เกือบหมด (ยังร้องไม่ได้ครับ) และไม่ต้องพูดถึง Basket Case และ When I Come Around ที่เป็นเพลงชาติของวัยรุ่นตอนนั้นไปแล้ว และมันก็เป็นการจุดกระแสวงพังค์ให้กลับมาดังอีกแล้ว พร้อมๆกับที่บ้านเรากะลังเฟื่องดนตรี Alternative พอดี Green Day เลยดังระเบิดไปทั่วบ้านทั่วเมือง จนไม่มีใครลืมหน้า Billy Joe Armstrong (บิลลี่ กีตาร์ ร้องนำ) Mike Dirnt (ไมค์ เบส) และ Tre Cool (เทร กลอง) ไปได้ และพวกเขาก็ได้รับเชิญมาแสดงในเมืองไทยด้วย และทำให้เกิดตำนานรองเท้าบินใส่วงไทยที่เป็นวงเปิด (ละชื่อไว้เพราะไม่อยากมีเรื่อง) นอกจากจะทำให้เกิดวงพังค์ในไทยมากมาย พวกเขายังใจดีให้บางวงยืมทำนองมาด้วย (ฮา)
แม้พวกเขาจะโดนสบประมาทว่า แค่วงเล่นสามคอร์ด ไม่มีฝีมือ แต่พวกเขาก็ไม่สนพวกเจ้าฝีมือ และทำดนตรีของเขาไป แม้อัลบั้มที่ 2 อย่าง Isomniac จะทำยอดขายไม่ดีเท่าเก่า เพราะว่าอัลบั้มมันมืดกว่าชุดที่แล้วมาก ทำให้คนเริ่มสมน้ำหน้า และยิ่งเมื่อ Nimrod อัลบั้มที่สามออกมา ยอดขายมันก็ยังน่าผิดหวังเหมือนเดิม แม้จะมีเพลงดังอย่าง Good Riddance (Time of your Life) ที่เป็นเพลงดังให้พอได้ชื่นใจบ้าง
แต่พออัลบั้มต่อมา Warning ไม่ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คู่บุญ พวกเขาก็เหมือนกับจะจมลึกลงไปอีก เมื่อมันทำยอดขายได้น่าผิดหวัง เพลงที่พอเป็นที่จดจำก็อย่าง Minority เท่านั้น จนถึงตอนนี้ผู้คนแทบจะกาชื่อพวกเขาออกไปจากสาระบบแล้ว
แต่ใครจะไปคิดครับ ว่าพวกเขาจะกลับมาได้อย่างงดงาม และยิ่งใหญ่เสียด้วย และเรื่องนี้มันเกิดจากความโชคดีในความโชคร้าย เมื่องานเพลงชุดใหม่ที่พวกเขาอัดไว้ถูกขโมยไป (ช่วงนั้นฮิตครับ U2 กะ the Streets ก็โดน) แทนที่จะอัดใหม่อีกรอบ พวกเขาบอก ช่างแม่ง แล้วตัดสินใจทำอัลบั้มร๊อคโอเปร่าตามอย่าง the Who ซึ่งมันก็กลายเป็นคอนเซ็ปท์อัลบั้มที่ชื่อ American Idiot ในปี 2004
พวกเขาเบิกโรงด้วยการออกซิงเกิ้ลชี่อเดียวกับวงออกมาชิมลางก่อน และมันก็กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลายไปทั่วโลก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมันเป็นชื่อเพลงที่เสียดสีประเทศอเมริกาในยุคของบุชได้เป็นอย่างดี และมันอยู่ในช่วงก่อนการเลือกตั้งพอดีด้วย และเมื่ออัลบั้มเต็มออกวางขาย มันก็ทำยอดขายได้อย่างงดงามจริงๆ เพราะนอกจากยอดขายถล่มทลายแล้ว ตัวอัลบั้มเองก็ยอดเยี่ยมสมกับที่คนแห่กันไปซื้อ แม้บางเพลงในอัลบั้มจะทำให้คนคิดว่ามันเป็นอัลบั้มเกี่ยวกับ 9/11 แต่จริงๆแล้วมันเกี่ยวกับความรักและความดิบในตัวคนๆนึงมากกว่า แต่ไม่ว่ายังไง America Idiot คืออัลบั้มที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
นอกจากนี้แล้ว การออกทัวร์เพื่อสนับสนุนอัลบั้มนี้ยังโดนเด่นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาเปลี่ยนคอนเสิร์ตให้เป็นประสบการอย่างอลังการที่คนดูที่โชคดีจะได้ขึ้นมาเล่นกีตาร์บนเวทีและรับกีตาร์นั้นกลับบ้านอีกด้วย ไม่รักก็บ้าแล้ว หลังจากนั้น พวกเขาก็แอบไปออกงาน The Saints Are Coming to Town ร่วมกับ U2 เหมือนกับเป็นการยืนยันสถานะยักษ์ใหญ่ของวงอีกด้วย หลังจากนั้น พวกเขาแอบออกอัลบั้มแนว Rock and Roll ชื่อ Stop Drop and Roll ภายใต้ชื่อวงแฝง Foxboro Hot Tubs ที่มีเพลงสนุกๆอย่างMother Mary และ The Pedestrian ซึ่งถ้าตั้งใจฟัง ยังไงก็แยกออกว่าเป็น Green Day แน่ๆ แม้แนวจะไม่เหมือนกัน ซึ่งก่อนหน้า American Idiot พวกเขาก็เคยออกอัลบั้มในนามวง The Network โดยไม่ยอมรับว่าเป็นพวกตัวเอง แล้วยังบอกอีกว่าเกลียดขี้หน้าวงนี้มาก
และปีนี้ พวกเขากลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ 21st Century Breakdown ที่ได้ Butch Vig มาช่วยดูแลให้ และเกินความคาดหมายครับ อัลบั้มใหม่ที่ตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เราเชื่อถือหรือยึดมั่นในยุคนี้ และโจมตีไปที่ขี้กองใหญ่ที่บุชทิ้งไว้ กลายเป็นอัลบั้มที่โคตรทรงพลัง จนเล่นเอา American Idiot เป็นเหมือนกับวอร์มอัพไปเลย ทุกเพลงเต็มไปด้วยความงดงามและพลังที่แน่นอยู่ทุกตัวโน๊ต แม้จะยังยึดมั่นอยู่กับแนวพังค์ ดนตรีพวกเขาพัฒนาไปมากและมันอลังการถึงขนาดต่อให้เล่นในสามเวมบลีย์ติดกัน ก็ไม่มีพลังตกแน่ จนบอกได้ง่ายๆครับว่า วิ่งไปที่แผงแล้วควักเงินซื้อเถอะครับ คุ้มทุกบาทแน่ๆ เพราะขนาดตอนนี้ผมยังไม่กล้ายกตัวอย่างซักเพลง เพราะมันเด่นไม่แพ้กันเลยครับ
No comments:
Post a Comment