เมื่อเดือนที่แล้วผมพึ่งเขียนถึงเพลง 59’ Sound ของวง Gaslight Anthem หมาดๆ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลับมาเขียนถึงวงที่พร่ำพรรณนาถึงความตายอีกรอบหนึ่งเร็วขนาดนี้ แต่ว่าจำเป็นต้องเขียนจริงๆครับ เพราะว่าแค่ได้ฟังอัลบั้มเปิดตัวของวงหน้าใหม่ที่ชื่อ White Lies ก็เล่นเอาผมติดใจวงนี้อย่างงอมแงมไปเลยทีเดียว
White Lies คือการรวมตัวกันของเพื่อนวัยเด็กสามคนจากรอบๆลอนดอนคือ Harry McVeigh (แฮรี่ ร้องนำ กีตาร์) Charles Cave (ชาลส์ เบส แต่งเนื้อร้อง) และ Jack Lawrence-Brown (แจ๊ค กลอง) เนื่องจากเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าสายใยที่เชื่อมพวกเขาไว้นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
พวกเขาเริ่มต้นชีวิตนักดนตรีด้วยการตั้งวง Fear of Flying ตั้งแต่อายุแค่ 15-16 เท่านั้น และหลังจากออกผลงานเพลงแนว Funk Punk กับสังกัดอิสระมาได้แค่สองซิงเกิ้ล และเป็นที่รู้จักด้วยการออกเล่นเปิดให้รุ่นพี่บ้าง พวกเขาก็ตัดสินในยุบ Fear of Flying ในปี 2007
สาเหตุที่ยุบวง เพราะว่า เมื่อพวกเขาเขียนเพลง Unfinished Business เสร็จ มันคือเพลงที่พวกเขาคิดว่าสมบูรณ์แบบ และนี่แหละคือแนวทางที่พวกเขาได้ค้นหามานาน และมันก็แตกต่างจากแนวเพลงเดิมของพวกเขามาก ทำให้วิธีที่ดีที่สุดคือ ทิ้งอดีตไปและหันหน้าหาอนาคตแทน และ White Lies ก็ถือกำเนิดขึ้นมาโดยการประกาศในเว็บไซต์ของตัวเองว่า Fear of Flying is DEAD…. White Lies is alive!
ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาคิดว่า Unfinished Business คือเพลงที่สมบูรณ์แบบ เพราะมันคือเพลงที่มืดหม่น และซับซ้อนอย่างน่าสนใจ Harry พร่ำร้องเกี่ยวกับวิญญาณของชายที่กลับมาหาภรรยาที่ฆ่าเขาตายในการทะเลาะกัน แต่ในที่สุด วิญญาณนั้นก็รู้ตัวว่าเขายังรักเธอและยังคงต้องการความรักจากเธอเสมอ มันคือนิยายฉบับสั้นที่ทำเอาเราขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟังมัน เพราะว่ามันเหมือนกับการกลับมาจุติของ Joy Division (เคยเขียนไปแล้ว) อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของ Harry หรือดนตรีที่อลังการเหลือเกิน แค่ท่อน You’ve got blood on your hands and I know it’s mine, I just need more time เท่านั้นก็เพียงพอที่จะเสียดแทงไปกลางใจเราแล้ว
แม้ Unfinished Business จะไม่ได้เข้าชาร์ต แต่ซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Death ก็ทำให้พวกเขาได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้ไปเล่นตามเทศกาลต่างๆ และต่อมาพวกเขาก็เข้าห้องอัดเพื่อมุ่งมั่งผลิตอัลบั้มเต็มของพวกเขาเป็นเวลาสองเดือนก่อนที่จะกลับมาเล่นสนับสนุนวงรุ่นพี่ที่หม่นน้อยกว่าหน่อยอย่าง Glasvegas และอัลบั้มของพวกเขาก็ถูกกำหนดให้ออกวางขายในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2008
และเมื่ออัลบั้มแรกของพวกเขา To Lose My Life ออกวางขาย มันก็กลายเป็นอัลบั้มแรกของปี 2009 ที่ขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ตทันที ดูเหมือนว่าผู้คนมุ่งหวังที่จะโอบรับความมืดที่พวกเขานำมาอย่างเต็มที่ แต่ถ้ามองจริงๆแล้วก็ไม่แปลกอะไร เพราะว่ามันคืออีกหนึ่งอัลบั้มที่เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกินตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Death ที่กล่าวถึงความกลัวความตายที่ไม่รู้ว่ามันจะมาเยือนเมื่อไหร่ ที่ทำให้เรานึกไปถึง U2 (ยุคแรก) หรือ The Killers ที่สร้างสรรค์เพลงที่อลังการแต่แฝงความมืดไว้ด้วย และอีกเพลงเด่นคือ To Lose My Life ที่กลายเป็นชื่ออัลบั้ม จริงๆแล้วชื่อเต็มของมันคือ To Lose My Life Or To Lose My Love ที่กล่าวถึงการที่คนเราต้องเลือกเอาระหว่างการตายไปก่อนคนรัก (Lose Life) หรือการที่ให้คนรักตายก่อนเราแล้วจมอยู่กับความเศร้า (Lose Love) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่เป็นที่น่าพิสมัยทั้งนั้น และมันน่าจะเป็นธีมหลักในการสร้างอัลบั้มนี้ อีกเพลงหนึ่งที่ผมชอบมากคือ Farewell to the Fairground ที่กล่าวถึงการตัดสินใจลาจากสภาพที่เป็นอยู่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า เพราะมันทำให้ผมนึกถึง Ian Curtis มารำไรๆ ดนตรีของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นไอของวงรุ่นพี่อย่าง Joy Division, Echo and the Bunnymen, Nick Cave, Interpol หรือ Editors ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร เพราะการรับอิทธิพลจากรุ่นพี่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากวงเหล่านี้ก็ตาม
To Lose My Life เต็มไปด้วยสีดำ ความมืด น้ำตา เลือด ความตาย งานศพ ความเศร้า ควันไฟ มันคืออัลบั้มที่แสนหม่นจนไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากสมองเด็กหนุ่มอายุแค่ 20 อย่างพวกเขา แต่จริงๆแล้ว มันคืออัลบั้มที่เต็มไปด้วยควมทะเยอทะยานที่เกี่ยวการมีชีวิตอยู่โดยรำลึกเสมอว่าซักวันความตายจะเข้ามาในชีวิตเราซักวันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงควรที่จะมีสติอยู่เสมอ หลายๆคนหวังจะพวกเขาจะจมในความเศร้าและฆ่าตัวตายให้สมใจ (เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับ Kurt และ Richey) แต่มันคงไม่เกิดขึ้นตราบเท่าที่พวกเขายังมีวง White Lies เป็นที่ระบายและใช้สื่อสารกับคนอื่นในโลกนี้อยู่
ได้รู้จักพวกเขาแล้ว ไม่ลองย่างเข้ามาสัมผัสโลกให้ความมืดของพวกเขาบ้างหรือครับ ส่วนผมอยู่ในนี้มานานแล้วครับ
No comments:
Post a Comment