Monday, December 15, 2008

Religion for Sale; มีศาสนามาให้เลือกครับ

อย่างนึงที่ทำใหผมสงสัยมากในช่วงนี้คือ เวลาขอับรถไปใหนมาใหนช่วงเย็นๆ ก็มักจะเจอคนถือป้ายของศาสนาคริสต์ พร้อมกับเปิดเครื่องเสียงคำสอนเกี่ยวกับพระคริสต์ ที่ดังขนาดผมเป็นคนชอบฟังเพลงในรถเสียงดังๆ ยังได้ยิน มันทำให้ผมสงสัยว่า พวกเขา ทำไปทำไม และทำไมต้องมาทำช่วงนี้

ผมมักจะรู้สึกเสมอเวลาเจอเรื่องแบบนี้ว่า มันแทบจะไม่ต่างกับการทำ propaganda ของลัทธิเหมาสมัยก่อนเลย ผมสงสัยเสมอว่า เราจำเป็นต้อง recruit คนเข้าศาสนากันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ นี่มันยุคสงครามครูเสดกันหรือไง ผมงงทุกทีที่เจอ แล้วทีผมสงสัยมากกว่าคือ คนที่มาถือป้ายยืนตามสี่แยกพวกนี้ เป็นคนที่นับถือสิ่งที่พวกเขาถือจริงไรึเปล่า หรือว่าเป็นแค่ชาวบ้านที่ถูกจ้างมา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ยิ่งน่าอนาถใจมากขึ้นไปอีก ที่คุณสามารถใช้เงิน ให้คนทำเพื่อศรัทธาในศาสนาของคุณด้วยก็ได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำไมเขาต้องออกมากันช่วงนี้ หรือว่าศรัทธา และศีลธรรมของคนในบ้านเรามันถึงจุดตกต่ำได้ที่ จนเค้าคิดว่า นี่แหละ โอกาสหาสาวกเพิ่ม มันชวนสงสัยจริงๆเลยครับ

ผมเองก็ไม่ใช่คนเคร่งศาสนานัก ถ้าจะเอาจริงๆ หลายๆครั้งยังสงสัยเลยว่าตัวเองนับถือศาสนาอะไร เพราะถึงจะบอกว่าเป็นพุทธ ผมเองก็ท่องบทสวดไม่ค่อยได้ วัดก็ไม่ค่อยไป แถมยังทำใหนสิ่งที่พุทธบริสุทธ์ไม่ทำอีกด้วย นั่นคือการแขวนพระที่คอ เพราะพุธทจริงๆแล้ว ขนาดพระยังไม่เอาเข้าบ้าเลยครับ เพราะถือว่าไม่ควรมีอยู่ในบ้าน มันพึ่งมาบิดเบือนเอายุคหลังๆนี่เอง ถึงจะพยายามระกษาศิลห้า แต่ก็เผลอฆ่าแมลงสาบประจำ เหล้าก็กินเป็นวาระ เลยรักษาไม่ค่อยได้ซักที ถ้าจะเอาจริงๆ ผมอยากจะเรียกตัวเองว่าคนไร้ศาสนา ที่พยายามไม่เบียดเบียนคนอื่นมากกว่า บางที การทำแบบนี้มันอาจจะดีกว่าการตีตราตัวเองว่าเป็นคนศาสนาอะไร แล้วพยายามเบียดเบียนคนที่ต่างจากเรา ถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่าเราเลิกตีตรากันดีกกว่ามั้ย

Saturday, December 13, 2008

Hope of the States: ขบถผู้พ่ายแพ้

หลายครั้งที่ผมเขียนถึงวงดนตรีที่แยกวงไปแล้ว หรือศิลปินที่เสียชีวิตไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบที่จะทำหน้าที่คนที่ฉายแสงไฟให้กับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อที่ว่าจะได้ยังมีที่ยืนในความทรงจำของผู้คนยุคปัจจุบันในสังคมแห่งการบริโภคที่ทุกอย่างเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และอีกวงหนึ่งที่เป็นอดีตไปแล้วที่ผมอยากเอาเรื่องของพวกเขามาเสนอคือ เหล่าขบถที่พ่ายแพ้ Hope of the States

เรื่องราวของ Hope of the States เริ่มขึ้นเมื่อกลุ่มเพื่อนวัยเด็กที่โตขึ้นมาด้วยกันใน Chichester ประเทศอังกฤษ ทั้ง Sam Herlihy (ร้องนำ) Amthony Theaker (กีตาร์) James Lawrence (กีตาร์) ซึ่งเติบโตมาในยุดที่ดนตรีบริทป๊อปกำลังเบ่งบาน จึงไม่แปลกอะไรเลยที่พวกเขาเลือกที่จะหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาและตั้งวงดนตรีเหมือนกับวัยรุ่นอีกนับไม่ถ้วนในยุคนั้น พวกเขาได้ Paul Wilson (เบส) เข้ามาร่วมวงและแชร์ความสนใจในดนตรีกันมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาพยายามจนได้สัญญากับทางค่าย Parlophone แต่มันก็เป็นความล้มเหลว แม้พวกเขาจะไฟแรง แต่ความเป็นเด็กของพวกเขา ทำให้พวกเขาใช้เวลาไปกับการเติมแอลกอฮอล์ลงกระเพาะมากกว่า แม้พวกเขาจะพยายามหนีเรียนไปอัดเพลง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันHopeOfTheStatesPIC1

หลังจากเติบโตขึ้น และแน่นอนว่าฉลาดขึ้น แซมได้รวบรวมเพื่อนกลุ่มเดิม เพื่อตั้งวง Hope of the States การกลับมาในครั้งนี่ พวกเขาเอาจริงด้วยการยึดเครื่องแบบทหาร เป็นเครื่องแบบของวงเพื่อแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของทีม พวกเขาดึง Mike Siddel (ไวโอลิน) และ Simon Jones มาร่วมวง เพื่อให้เป็นวงที่สมบูรณ์ และในตอนนี้ แนวทางของพวกเขาก็ชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเลือกที่จะเดินคนละทางกับวงอย่าง Coldplay หรือ Travis ที่โด่งดังในช่วงนั้น แต่พวกเขาเลือกรับอิทธิพลด้านดนตรีจากวง Godspeed, You Black Emperor และ Radiohead ส่วนเรื่องเนื้อเพลงนั้นได้รับอิทธิพลด้านการเมืองอันเข้มข้นมาจาก Manic Street Preachers

พวกเขาเริ่มต้นได้อย่างน่าสนใจเมื่อออก EP ชื่อ Black Dollar Bills ในปี 2003 ในรูปแบบจำกัดโดยสมาชิกวงเป็นคนนั่งเย็บกระสอบที่หุ้มปกกันเอง (กลายเป็นสินค้าสะสมเรียบร้อย) และด้วยบรรยากาศสงครามอีกรอบสองในช่วงนั้น ทำให้มิวสิควิดีโอที่พวกเขาได้ Type2Error (ที่ดังมาด้วยกัน) มาช่วยสร้างให้ ต้องถูกแบนออกจาก MTV เนื่องจากมันมีเนื้อหาที่หดหู่และฉายภาพของสงครามชัดเจนเกินไป แต่กลับเป็นการดีเมื่อการแบนทำให้วงของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พวกเขาถูกดึงไปเล่นตามเทศกาลดนตรีต่างๆ และเมื่อออกซิงเกิ้ลต่อมา Enemies/Friends พวกเขาก็ได้รับสัญญาจากค่าย Sony และกลายเป็นวงที่น่าจับตามองมากที่สุดแห่งปี

อะไรๆก็เหมือนจะดูดีไปหมด แต่จู่ๆ หลังจากอัดเสียงกันในสตูดิโอ และนั่งพักผ่อนด้วยการดูหนัง James บอกราตรีสวัสดิ์เพื่อน และนั่นคือคำสุดท้ายที่เขาพูด เพราะหลังจากนั้น เขาก็แขวนคอตายในสตูดิโอในคืนนั้นเอง และมันก็เป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนสมาชิกที่เหลือ ที่พราะต้องเสียเพื่อนไปโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม และไม่มีโอกาสได้ช่วยเพื่อนเลย แต่พวกเขาก็ยังพยายามเดินหน้าต่อไปโดยได้ Michael Hibbert มาช่วยเล่นกีตาร์แทน

420x300

และเมื่ออัลบั้มแรก The Lost Riots วางขาย มันก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เป็นขวัญใจของนักวิจารณ์เพลงในปีนั้น เพราะมันคือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่สุด พวกเขาไม่ได้หากินกับความเศร้าจากความตายของเพื่อนเลย เพราะอัลบั้มนี้มันเต็มไปด้วยการวิจารณ์สังคมและการเมืองอเมริกันอย่างเข้มข้น บทเพลงทั้งอัลบั้มต่างเต็มได้ด้วยความจริงจังอย่างมาก เพลงอย่าง Black Dollar Bills และ The Red The White The Black The Blue ก็พูดถึงการเมืองอย่างชัดเจน ในขณะที่ Enemies/Friends และ Nehemiah ก็ทำให้เรารู้ว่ายังมีความหวังอยู่ที่ปลายอุโมงค์อยู่ และ Goodhorsehymm ก็เป็นเพลงที่คอยปลอบประโลมผู้พ่ายแพ้ในสังคม The Lost Riots แทบไร้ซึ่งที่ติด แต่น่าเสียดายที่มันออกมาในช่วงที่คนเลือกที่จะหนีจากการเมือง ทำให้วงที่มีภาพลักษณ์เท่ๆอย่าง The Strokes หรือ Yeah Yeah Yeahs ครองวงการอยู่ วงทำเพลงเกี่ยวกับการเมืองอย่างจริงจังอย่างพวกเขา และ Kinesis ก็เลยถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย จนได้รับแค่สถานะวงโปรดนักวิจารณ์เท่านั้น พวกเขากลายเป็นแค่เสียงกระซิบท่ามกลางพายุ

hope_of_the_states

แต่ว่าวิญญาณขบถอย่างพวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาออกอัลบั้มที่สอง Left ในปี 2006 ซึ่งก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างมากเหมือนเดิม เพราะมันเต็มไปด้วยเพลงเด่นอย่าง Blood Meridian, The Good Fight และ Sing It Out ที่ยังชวนปลุกเร้าอารมณ์ของเราให้ลุกขึ้นมาสู้กับความไม่เป็นธรรมอีกครั้ง แม้โทนดนตรีจะหันไปหากีตาร์และเข้าถึงง่ายกว่าชุดที่แล้ว แต่มันก็ยังแตกต่างจากวงรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ดี

ทว่า ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขากลับเลือกที่จะแยกทางกันในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน โดยไม่มีการกล่าวถึงสาเหตุอย่างชัดเจน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าถึงแม้จะพยายามแค่ไหน ดนตรีของพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างแรงกระทบต่อสังคมได้เหมือนกับวงอื่นๆ ทำให้พวกเขากลายเป็นแกะดำ เป็นขบถของวงการเพลงที่ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย และปิดตำนานของ Hope of the States ไว้เพียงเท่านี้

(หากสนใจดู MV ของวงที่เป็นผลงานของ Type2Error ทีมครีเอทีฟมาแรง ลองไปดูได้ ที่นี่)

Friday, December 5, 2008

ตัวโน๊ตแห่งความเศร้า Jeff Buckley (1966-1997)

Technorati Tags: ,

สำหรับคนทั่วไปแล้วโศกนาฏกรรมในชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่สำหรับบางคน หรือบางครอบครัวแล้ว มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าโชคชะตาคอยแต่จะกลั่นแกล้งครอบครัวเดิมๆอยู่ร่ำไป และในวงการดนตรี ก็มีครอบครัว Buckley ที่ทั้งพ่อและลูกก็เป็นนักดนตรีที่ได้รับคำยกย่องอย่างมากมายในวงการเพลง แต่กลับต้องจากไปก่อนเวลาอันควรทั้งคู่

ผู้พ่อ Tim Buckley คือศิลปินหัวก้าวหน้าแห่งยุค 60 ที่ไม่ได้ไหลไปกับกระแสดนตรีบุบผาชนของยุคนั้นเหมือนกับศิลปินอื่นๆ แต่เขากลับกล้าตั้งคำถามต่อทั้งฝ่ายรัฐบาลและวัยรุ่น แม้เขาจะฝากผลงานชั้นยอดไว้มากมาย ทว่า สุดท้ายแล้ว เขาก็พ่ายแพ้ต่อธุรกิจดนตรีที่ผันแปรอย่างรวดเร็ว และไม่นานเขาก็จบชีวิตนักดนตรีชื่อ (ไม่) ดัง ด้วยการเสพเฮโรอีนเกินขนาดและน๊อคตายไปต่อหน้าเมียตัวเอง

แต่อย่างน้อย นอกจากบทเพลงชั้นยอดที่เขาทิ้งไว้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ให้แก่โลกใบนี้คือ ลูกชายที่เกิดขึ้นกับเมียคนก่อนหน้า หนุ่มน้อย Jeff Buckley ที่ไม่ได้เข้าร่วมงานศพแท้ๆของพ่อตัวเองเพราะไม่มีใครบอกให้รู้ถึงความตายของพ่อแท้ๆ

หนุ่มน้อย Jeff มีชื่อว่า Scott Moorhead ตามนามสกุลของพ่อเลี้ยงของเขา แต่เขาก็เลือกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Jeff Buckley หลังจากที่พ่อแท้ๆของเขาตายไป ถึงแม้ว่าพ่อลูกคู่นี้จะไม่เคยมีโอกาสได้ใช้เวลาเป็นครอบครัว แต่ Jeff เองก็รับเอาดวงตาที่เหงาๆ เศร้าสร้อยในแบบของพ่อเขามาด้วย และบางทีมันอาจจะเป็นความเศร้าตรงนี้เองที่ฉุดทั้งคู่ไปสู่จุดจบก่อนวัยอันควรที่ไม่ต่างกันนักJeffBuckley

ถึงจะไม่สนิทกับพ่อแท้ๆ ทว่า แม่ของเขาเองก็เป็นนักดนตรีสายคลาสสิก ส่วนพ่อเลี้ยงก็เป็นคนพาเขาไปรู้จักวงร๊อคต่างๆ ตั้งแต่ The Who ยัน Pink Floyd และเมื่ออายุเพียง 5 ขวบ เขาก็เริ่มพยายามที่จะหัดเล่นกีตาร์แล้ว แม้จะต้องใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็กแบบเร่ร่อนไปทั่วด้วยรถแวน แต่ความสนใจของเขาก็ไม่เคยหันเหไปจากดนตรี จนเข้าช่วงมัธยม เขาก็หันความไปสนไปสู่ดนตรีแจ๊ซ และโปรเกรซซีฟอีก พอจบมัธยม เขาก็แพ๊คกระเป๋า เข้าสู่ฮอลลีวู้ด เพื่อเข้าศึกษาในสถาบันดนตรี ที่ภายหลังเขากลับรู้สึกว่าเสียเวลาไปเปล่าๆ

ตามแบบฉบับของหนุ่มไฟแรง เขาตระเวนไปทั่วทุกที่ เล่นดนตรีมันทุกแนวตั้งแต่เรกเก้แดนซ์ฮอลล์ ยัน เฮฟวี่เมทัล เพื่อสั่งสมประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเขาก็ย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์กเพื่อทำงานอื่นหาเลี้ยงชีพไปด้วย จนอดีตผู้จัดการของพ่อเขาเสนอออกค่าใช้จ่ายในการอัดเดโมให้ ทำให้เขารีบคว้าโอกาสในทันที และเดโมที่ออกมาก็ไปเข้าหูแมวมองทั้งหลายอย่างรวดเร็ว

jeff_buckleyเขามีโอกาสที่ดีอีกครั้ง เมื่อถูกเชิญไปร้องเพลงในงานที่ระลึกของ Tim พ่อของเขา และเพลงที่เขาเลือกคือ I Never Ask to Be your Mountain เกี่ยวกับตัวเขาและแม่ของเขา เขาไม่ได้เลือกเล่นคอนเสิร์ตนี้เพื่อสร้างชื่อ แต่มันคือการคารวะครั้งสุดท้ายแก่พ่อแท้ๆของเขา และชดเชยการไม่ ได้ไปร่วมงานศพของพ่ออีกด้วย

และหลังจากรวบรวมประสบการณ์มานาน อัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของเขา Grace ก็เสร็จสมบูรณ์ในปี 1994 ช่วงที่โลกยังอยู่ในกระแสดนตรีกรันจ์อยู่ และถึงแม้ว่างานของเขาจะได้รับโปรดิวซ์และมิกซ์เสียงโดย Andy Wallace คนเดียวกันที่มิกซ์เสียงอัลบั้ม Nevermind ­ของ Nirvana แต่ดนตรีของเขาก็แตกต่างออกไปจากดนตรีกรันจ์เป็นอย่างมาก Grace คือดนตรีกีตาร์ร๊อคที่ได้รับการเรียบเรียงออกมาอย่างประณีต และละมุนละไม เสียงร้องที่ผสมกึ่งแหบห้าวกึ่งสูงอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเขาก็ไปได้ดีกับตัวเพลง

บทเพลงทั้งหมดของอัลบั้ม Grace ได้ถูกบรรจงแต่งขึ้นด้วยประสบการณ์ของ Jeff ทำให้มันยอดเยี่ยมไม่แพ้เหล้าที่ได้รับการบ่มเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพลงสร้างชื่อของเขาคือ Last Goodbye ที่เป็นเพลงร๊อคที่พูดถึงการลาจากได้อย่างน่าเศร้าแต่งดงามในเวลาเดียวกัน เพลงแทบทุกเพลงในอัลบั้มแสดงให้เห็นถึงความประณีตราวกับการแกะสลักรูปปั้นหินอ่อน เพลงเก่าที่เขาเอามาทำใหม่อย่าง Hallelujah ก็เป็นการขับร้องออกมากจิตวิญญาณอย่างแท้จริงจนทำให้เรานึกถึงพ่อเขาขึ้นมาทันที Grace คืออัลบั้มแรกของเขา และมันก็ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก จนเราคิดว่าเขาน่าจะดีใจน่าดู แต่พอหันไปดูปกซีดี Jeff ยืนสงบกำไมค์ในมือ เขาหลับตาลง หากแต่เราสามารถดูออกได้ว่า เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้

grace

หลังจากได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม เขาก็เงียบหายไปซักพัก ก่อนที่จะเริ่มกลับมาทำงานชุดที่สองในปี 1997 โดยเขาย้ายไปที่สตูดิโอของเขาที่เมมฟิสและในเย็นวันที่ 29 พฤษภาคม เขากับสมาชิกในวงไปสังสรรค์กันที่แม่น้ำมิสซิสซิปปี เขากระโดดลงไปว่ายน้ำทั้งที่ใส่เสื้อผ้าทั้งตัว พร้อมทั้งแหกปากร้องเพลง Whole Lotta Love ของ Led Zeppelin ไปด้วย และทันใดนั้น เขาก็ถูกคลื่นซัดหายไปในทันที ตำรวจพบร่างของเขาในอีก 5 วันให้หลัง เขาไม่ได้มีสารเสพติดอะไรในร่างกายเลย จนทำให้สงสัยว่า ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น และในที่สุด พิธีศพของเขาก็ถูกจัดขึ้นในที่ๆเดียวกับที่เขาร้องเพลงเป็นที่ระลึกให้แก่พ่อของเขา จบชีวิตศิลปินแววตาเศร้าคนที่จากโลกก่อนวันอันควรเหมือนกับพ่อของเขาเอง

Thursday, December 4, 2008

Kylie X เซ็กซี่สมใจ

Technorati Tags: ,,,

หลังจากที่ไม่มีคอนเสิร์ตให้ไปนั่งดูมาได้ระยะหนึ่ง จู่ๆการประกาศเรื่องการมาทัวร์คอนเสิร์ตของเจ๊สาวสองพันปี Kylie Minogue ก็ทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาทันทีครับ

ที่ผมต้องตื่นเต้นอย่างมากก็เพราะว่าในความเห็นของผมแล้ว Kylie คือหนึ่งในศิลปินหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคนี้เลยทีเดียวครับ แม้จะมีหลายคนคอยค่อนขอดว่าเธอก็ดีแต่เลียนแบบมาดอนน่าตั้งแต่ยุค ‘80 แต่สำหรับตัวผมแล้ว Kylie คือศิลปินที่ทำให้เรารู้สึกว่าเข้าถึงง่ายกว่า เธอทำตัวสบายๆกว่ามาดอนน่า ไม่ค่อยมีข่าวเสียหาย ไม่มีศาสนาแปลกๆ เธอเหมือนกับสาวรุ่นพี่ที่เราอยากมีโอกาสชวนไปออกเดทด้วยซักครั้งเพื่อให้เธอสอนอะไรต่อมิอะไรให้เราอีกเยอะ

IMG_2892

ผมคุ้นกับภาพเธอเมื่อสมัยที่เธอพยายามค้นหาแนวทางใหม่ๆสมัยอยู่ในค่าย Deconstruction มาก เพราะว่าเป็นช่วงที่ผมเริ่มฟังเพลงอย่างจริงจัง เธออาจจะเคยเป็นทีนป๊อปมาก่อน แต่เธอก็ได้ลองแนวทางใหม่ๆ กระทั่งไปดูเอ็ตกับเจ้าพ่อเพลงกอธิคอย่างป๋านิค เคฟ และพอเธอกลับมาได้อย่างถูกทีถูกเวลากับอัลบั้ม Fever ที่เป็นการเอาดิสโกมาทำใหม่อีกครั้ง ทำให้คนหันกลับมาสนุกกันอีก จนเธอกลับกลายมาเป็นศิลปินระดับโลกอีกครั้ง แม้เธอจะห่างหายไปเพราะการผ่าตัดมะเร็งเต้านม แต่พอกลับมาเธอก็สร้างแรงกระทบขนาดใหญ่ต่อวงการเพลงอีกครั้ง และการออกทัวร์ Kylie X ไปทั่วโลกก็ทำให้โลกได้ตื่นตะลึงอีกครั้ง

หลังจากสลับตารางโยกหลอกกับงานประจำสำเร็จผมก็โทรติดต่อไปที่ BEC Tero ทันที ซึ่งทีมงานก็ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันใจเหมือนทุกครั้ง น่าประทับใจมากครับ หลังจากนั้นผมก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอนเสิร์ตนี้ แม้จะไม่ใช่แนวเพลงของผมโดยตรง แต่ว่าก็หวังว่าน่าจะเป็นโชว์ที่น่าประทับใจครับ เพราะเธอเคยถูกเชิญไปเล่นที่งานขาร๊อคอย่าง Glastonbury มาแล้ว ดังนั้น คงต้องมีอะไรถูกใจขาร๊อคอย่างผมแน่นอน

พอเข้าไปในงาน ก็มี DJ มาวอร์มอัพรออยู่แล้วครับ แต่ที่นั่งไกลไปหน่อยเลยดูไม่ออกว่าใคร แต่พอไฟดับลง ฮอลล์ก็กระหึ่มไปด้วยเสียงกรี้ดต้อนรับ Kylie ม่านถูกกางออก เผยให้เห็นสกรีนด้านหลังขนาดยักษ์ใหญ่ขนาดเกินบ้านสองชั้นหลังใหญ่ๆแน่นอนครับ บวกกับเวทีที่จัดได้อย่างสวยงาม กราฟฟิคแสนสวยปรากฏบนจอได้ซักพัก Kylie ก็ค่อยๆเยื้องกรายออกมาบนเวที และทันใดนั้น ความสนุกก็เริ่มต้นขึ้นทันทีเลยครับ เธอเปิดตัวด้วยเพลง Speakerphone ก่อนตามติดด้วยเพลงดังระดับก๊อดซิลล่าอย่า Can’t Get You Out of My Head ถึงตอนนี้ทั้งฮอลล์อยู่กันไม่สุขแล้วครับ หลายรายหลังจากนั่งเก๊กแมนมานาน ก็เก็บอาการไม่อยู่ แต๋วแตกทันที (ฮา) และเธอก็กระหน่ำรัวเพลงฮิตมาแบบกลัวแฟนเพลงไม่เหนื่อยเลยครับ พอเธอเปลี่ยนชุดกลับมาเป็น เชียร์ลีดเดอร์สาวสีชมพู และร้องเพลง Wow ก็เล่นเอาหัวใจชายหนุ่มอย่างผมเต้นเร็วกว่าจังหวะเพลงเลยครับ นอกจากตัวเธอที่แสดงเต็มที่แล้ว ทีมนักเต้นก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมครับ กราฟฟิคด้านหลังที่ประสานไปกับตัวเพลงเป็นเนื้อเดียวกัน และที่ผมชอบมากคือ เธอเลือกใช้วงดนตรีจริงๆมาเล่นสด ไม่ได้เปิดเพลงเอานี่ มันทำให้รู้สึกถึงความตั้งใจเลยทีเดียวครับ จังหวะที่เธอไปเปลี่ยนเสื้อก็จะมีการแสดงคั่นเวลาเสมอทำให้อารมณ์ไม่ติดขัดเลยครับ

IMG_3004

เธอกลับมารอบสามกับชุดออกทะเล เพื่อมาร้องเพลง Love Boat และ Copa Cabana โดยแทบจะเป็นการเล่นละครสั้นเลยครับ ต้องยอมรับเลยว่าการออกแบบท่าเต้นและฝึกซ้อมของทีมงานนักเต้นก็ทำออกมาได้อย่างประณีตมากๆ

Kylie ทั้งร้อง เต้น เอนเตอร์เทน คนดูได้แบบไม่เหนื่อยเลยครับ ทุกครั้งที่เธอกลับขึ้นมาเวที เหมือนกับเธอพร้อมจะลุยต่อเสมอ และแต่ละเพลงก็ทำให้คนดูทั้งฮอลล์ได้ฮืออาเสมอ และพอเธออำลาด้วยเพลง In My Arms ทั้งฮอล์ก็ตะโกนเรียกร้องให้เธอกลับมาอีก และเธอก็กลับมาอย่างอลังการในเพลง No More Rain และ Love At First Sight เพลงโปรดของผม และมีการโปรยเกล็ดทองลงมาอย่างงดงาม แม้เธอจะบอกว่าจบ แต่คนดูก็เซ้าซี้จนเธอกลับมาร้องเพลง The One ต่อ แต่แฟนเพลงก็เหมือนกับว่ายังไม่พอใจ จนเธอต้องงัดไม้ตาย สั่งลาด้วยเพลง I Should be so Lucky ที่เธอบอกเองเลยว่า หลายคนยังไม่เกิดตอนเพลงนี้ออกวางขายเลยด้วยซ้ำ และมันก็เป็นการปิดท้ายอย่างงดงามของคอนเสิร์ตสุดอลังการของเจ๊วัย 40 กะรัตที่ยังสุดเซ็กซี่ ที่เล่นเอาผมได้แต่ยืนตบมือค้างอยู่อย่างนั้นเลยครับ ผมต้องขอยอมรับเลยว่าเป็นคอนเสิร์ตที่มีโปรดัคชั่นที่ยอดเยี่ยม และคุ้มเงินคนดูจริงๆครับ เพราะถ้าเทียบกับวงร๊อคที่ไม่มีอะไรประดับฉากเลย นี่คือการโชว์ที่สุดอลังการที่ได้รับการกำกับมาอย่างดีและประณีตทุกจุด จนเรียกว่าสมบูรณ์แบบเลยก็ได้ครับ ที่สำคัญคือ แม้เธอจะอายุขนาดนี้และพึ่งหายจากมะเร็ง แต่ก็ทั้งร้องทั้งเต้นเอาใจคนดูไปทั่วทั้งโลกแบบวันเว้นวัน โดยไม่ต้องมีข่าวว่าต้องให้ออกซิเจนเหมือนป้าแถวบ้านเราเลยครับ (ฮา)

IMG_1224