Monday, November 25, 2013

The Naked and Famous ดาวเด่นจากแดนกีวี

หลายครั้งที่วงจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่แค่อเมริกาหรือทางยุโรป สามารถไปเจาะตลาดใหญ่ทั้งสองประเทศได้ ที่ผ่านมาเท่าที่ผมจำได้ตั้งแต่มัธยมก็ Silverchair หรือ Pendulum รวมไปถึงที่เพิ่งเขียนถึงไปหมาดๆอย่าง Empire of the Sun ซึ่งที่ไล่มาก็มาจากออสเตรเลียหมด แต่ยังมีประเทศใกล้ๆกันอย่าง New Zealand ที่เคยส่ง The Datsuns มาให้เรามันส์ แต่คราวนี้จะเขียนถึงอีกวงที่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆอินดี้ในตอนนี้ นั่นคือ The Naked and Famous

The Naked and Famous

The Naked and Famous คือวงที่มีแกนกลางหลักของวงคือ Alisa Xayalith (อลิสา ร้องนำ คีย์บอร์ด) และ Thom Powers (ทอม ร้องนำ กีตาร์ สารพัด) ส่วนสมาชิกที่เหลือ ปัจจุบันคือ Aaron Short (แอรอน คีย์บอร์ด) David Beadie (เดวิด เบส) และ Jesse Wood (เจส กลอง) สองสมาชิกหลักเริ่มฟอร์มวงในปี 2008 โดยเลือกชื่อวงมาจากเนื้อเพลงของ Tricky ที่เสียดสีวัฒนธรรมการเป็นเซเล็บ

เมื่อฟอร์มวงได้ ทั้งสองก็เริ่มต้นทำงานเพลงทันทีด้วยการอัด EP แรกออกมา ซึ่งได้แอรอนช่วยดูแลให้ จนออกมาเป็น EP ชื่อ This Machine ในช่วงกลางปี 2008 นั่นเลย ซึ่งตั้งแต่เพลงแรก Kill The Littleblackdots เราก็จะได้สัมผัสเสียงที่ผสมกันระหว่างดนตรีอีเล็กโทรนิกส์กับโพสต์พังค์จากต้นยุค 80 ได้อย่างลงตัว ทั้งเสียงสังเคราะห์หลอนๆตลอดทั้งเพลงบนจังหวะกลองที่เรียบง่ายกับเสียงร้องเก๋ๆ แต่เพลงโปรดใน EP นี้ของผมคงต้องเป็น Meeting People Sucks ที่แม้การเดินเพลงจะคล้ายๆกัน แต่เสียงกีตาร์ที่ไล่มาตลอดเพลงนี่เจ๋งจริงๆครับ เท่สุดๆ

หลังจากออกงานชุดแรกได้ไม่กี่เดิน พวกเขาก็ออก EP ชุดที่สองออกมาติดๆกัน นั่นคือ No Light ที่เพลงเปิด Dadada นั้นเบสหนัก เร็ว บวกกับเสียงสังเคราะห์ในช่วงแรกเล่นเอานึกไปถึง Death from Above 1979 เลย แถมมีท่อนเบรกคล้ายๆกันอีก มันครับ ส่วน Cheek ก็เป็นเพลงพ๊อพร๊อคเก๋ๆแบบที่เราเคยเพลินกัน Elastica ส่วน Part 2 ก็ล่องลอยได้เพลินๆ ขณะที่เพลงปิด Bells ก็ฟังดูสวยหวานขึ้นมาหน่อยด้วยเสียงเปียโนที่ไล่คลอ แต่พอเข้าท่อนริฟฟ์กีตาร์ก็เท่ไม่เบาครับ

EP ทั้งสองแผ่นได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง ทั้งสองเลยเพิ่มสมาชิกเข้ามาเพื่อการแสดงสด และเริ่มทำงานเพลงต่อ พวกเขาโฟกัสไปที่การทำงานอัลบั้มเต็ม Passive Me, Aggressive You ซึ่งออกวางขายในปี 2010 ผ่านค่ายเพลงของตัวเอง โดยมี Young Blood เป็นซิงเกิ้ลแรก

และการเปิดตัวอัลบั้มของพวกเขาก็ส่งผลออกมาอย่างงดงาม เนื่องจาก Young Blood เปิดตัวในอันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงนิวซีแลนด์ทันที เป็นการเปิดตัวในวงกว้างที่โดดเด่น ตัวเพลงเองก็เป็นเพลงที่ชวนให้เสพติดได้ง่ายมาก มันเหมือนกับเพลงโพสต์พังค์ยุค 80 ที่ถูกเร่งจังหวะขึ้น พร้อมกับเสียงสังเคราะห์ที่งดงามไล่เลียงไปทั้งเพลง บวกกับท่อนฮุคแสนติดหูว่า “เย้ เย้ เย้ เย้” ชนิดที่ใครร้องตามก็ได้

เมื่อดูตัวอัลบั้ม มันก็ยังมีเพลงเด่นอีกมากให้เราได้หลงรัก ตั้งแต่เพลงแรก All of This เพลงที่จังหวะกลองเร่งเร้าเหลือเกิน ผสมกับเสียงร้องล่องลอยคลอไปกับเพลง ฟังไปก็นึกถึง Primal Scream ยุค Evil Heat ที่ช่างทริปเสียเหลือเกิน และแน่นอนว่า ขาดเพลงโปรด Punching in a Dream ไม่ได้แน่ เพลงที่เดินด้วยเบสบวมๆ ผสมกับเสียงสังเคราะห์ไปตลอดเพลง คล้ายกับ M83 ติดหูชนิดที่ฟังครั้งเดียวก็จำไปได้ตลอด เสียงร้องของอลิสามันช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์เหมือนเด็กสาวขี้เล่นแต่จริงจังพร้อมกัน ขณะที่ทอมก็ครวญเพลงไปพร้อมกันได้อย่างดี เพลงอื่นที่ไม่ควรพลาดในอัลบั้มก็อย่าง Eyes หรือ Girls Like You ที่เร้าใจและติดหูไม่แพ้กันครับ เพลงของพวกเขาเหมาะทั้งเปิดฟังเองเพลินๆ หรือจะหยิบไปเปิดในคลับ ก็ทำได้เนียนหู ไม่สะดุดแน่นอน

10072560166_ecd7be820a_z

ความสำเร็จของ Passive Me, Aggressive You ในประเทศได้ก้าวข้ามน้ำข้ามทะเล ไปดังต่อถึงทางฝั่งยุโรป และอเมริกา พวกเขาออกทัวร์ทั่วโลกเป็นเวลานาน เก็บเกี่ยวความสำเร็จจากผลงานชิ้นแรกและชนะใจแฟนเพลงจากหลายๆชาติ และกลายเป็นความสำเร็จระดับอินเตอร์ ถึงขนาดที่พวกเขาเลือกย้ายที่มั่นไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียแทน และเริ่มทำผลงานชุดใหม่ โดยพยายามจะลดทอนการใช้ Backing Track และทำให้สามารถเล่นเพลงแบบสดได้เองมากขึ้น จนออกมาเป็น In Rolling Waves ในปีนี้

In Rolling Waves เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลแรก Hearts like Ours ที่งดงามอย่างยิ่ง เพลงค่อยๆไล่เรียงบรรยากาศขึ้นไปเรื่อยๆ จากเนิบๆ แล้วเสียงต่างๆก็ค่อยเผยตัวออกมา พอเข้าถึงท่อนคอรัส ก็คงหาคำอื่นมาบรรยายได้ไม่เหมาะเท่า Epic เลยจริงๆ แต่ละเพลงในอัลบั้มปรับเปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อยตามที่บอกไปแล้ว พวกเขาเน้นเล่นสด ทำให้มีเพลงที่เป็นอคูสติกด้วย แต่ก็ไม่ลืมแนวเพลงที่ทำให้พวกเขาดังขึ้นมาก อย่าง I Kill Giants ก็เดินตามรอยความสำเร็จเดิมของพวกเขาอย่างงดงาม และติดหูเสมอ เช่นเดียวกับ The Mess ที่ทั้งอลิสาและทอม ครวญเพลงคู่กันไล่โทนของเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่เพลงอย่าง Waltz ช่างมินิมอลมาก เหมือนกับฟัง The XX อยู่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วน What We Want นั้นเริ่มต้นได้มินิมอลได้พอๆกันแต่ค่อยๆไล่โทนเพลงขึ้นมาเรื่อยได้อย่างยอดเยี่ยม In Rolling Waves คืองานเพลงที่อาจจะดูเหมือนเรียบลงกว่าเดิม แต่จริงๆแล้ว มันเกิดจากการเติบโตขึ้นของวงมากกว่า และสิ่งที่มาชดเชยก็คือความลึกในการทำเพลงนั่นเอง

มาคิดดูแล้ว บางทีก็อิจฉานะครับ ที่ประเทศเล็กๆอย่างนิวซีแลนด์สามารถสร้างศิลปินเจ๋งๆมาประดับวงการได้ไม่น้อย และยังไปดังถึงตลาดใหญ่อย่างทางยุโรปและอเมริกาเลยทีเดียว เคยคิดว่าถ้าวงไทยจริงจังกับการทำเพลงภาษาอังกฤษบ้างจะเป็นยังไงกันนะครับ

1 comment:

merlinnee said...

ตอนวงนี้มาไทยเราได้มีโอกาสไปดูเค้าเล่นสดด้วย

คือซื้อ CD ฟังก่อนหน้านั้น แบบชอบทุกเพลงเลย เปิดฟังในรถเรื่อยๆ พอได้มาดูเค้าเล่นสดยิ่งชอบ คือดีมากๆ ประทับใจวงนี้สุดๆ