Monday, November 4, 2013

เสพหนัง ฟังเพลง : About Time

นอกจากการฟังเพลงแล้ว ความสุขของผมสามารถเกิดได้จากการดูหนังหรืออ่านหนังสือ และมันจะยิ่งสุขมากขึ้น เมื่อได้ดูหนังดีๆที่มีเพลงประกอบเพราะๆ เข้ากันกับหนัง

about_time

และเมื่อพูดถึงหนังที่เพลงประกอบเข้ากันกับเนื้อเรื่องมากๆแล้ว ส่วนใหญ่ผมจะมองไปที่ทางหนังฝั่งอังกฤษมากกว่าทางฮอลลีวู้ด เพราะส่วนใหญ่ หนังฮอลลีวู้ดจะยัดเพลงประกอบเข้ามาเพื่อเน้นขายเพลงควบไปกับหนัง โดยพยายามใส่เข้าไปในฉากต่างๆแบบบางทีก็แค่ เปิดวิทยุมาเจอเพลงบ้าง เปิดในคลับบ้าง แล้วก็เฟดหายไป แต่หนังฝั่งอังกฤษ มักจะเลือกเพลงที่ตรงกับเนื้อเรื่องตอนนั้น และใช้มันได้อย่างยอดเยี่ยม จนติดตราตรึงหูเรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฉากเสพยาจนโอเวอร์โดสไปกับเพลง Perfect Day ใน Trainspotting เพลงดิสโก้สุดเหวี่ยงใน The Full Monty หรือ Billy Elliot กับฉากเจ้าหนุ่มน้อย อัดอั้นตันใจ จนต้องระบายกับเพลง A Town Called Malice และหนึ่งในผู้กำกับชาวอังกฤษที่มีขื่อเสียงมากกับการสร้างหนังที่มีเพลงเด่นคนหนึ่งก็คือ Richard Curtis

ผลงานกำกับหนังของผู้กำกับคนนี้มีมากครับ แต่ที่ทิ้งเพลงประกอบหนังเด่นๆให้เราได้รู้จักกันคงต้องยกให้ Notting Hill หนังรักที่เพ้อฝันมากๆ แต่กลับทำออกมาได้ลงตัว เพราะจังหวะการเดินเรื่อง และเพลงประกอบสุดฮิต She ของ Elvis Costello ก็กลายเป็นเพลงดังแบบสุดๆมาแล้ว ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้น ก็มี Four Weddings and a Funeral ที่ทำให้เพลง Love is All Around ของ Wet Wet Wet กลายเป็นเพลงดังระเบิด และครั้งนี้ เขาก็กลับมากับผลงานหนังโรแมนติกที่มีเพลงประกอบสุดเด็ดอย่าง About Time อีกแล้ว

ตัวหนังยืนโรงฉายมานานแล้ว แต่คงต้องขอสรุปสั้นๆหน่อยแล้วกันว่า ตัวเอกของเรื่อง เกิดมาในครอบครัวที่ สมาชิกชายของครอบครัว สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ ซึ่งเขาได้เรียนรู้ความลับนี้จากพ่อของตัวเอง ซึ่งเขาก็ได้ใช้มันเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แม้จะไม่ได้เปลี่ยนอดีตจนกลายเป็นคนรวยหรือประสบความสำเร็จ (จนหลายคนบอกว่าไม่น่าเชื่อเลย) เขาก็ใช้การย้อนอดีตนั้น เพื่อจัดการให้ตัวเองได้รับกับหญิงที่ตัวเองพบ ก่อนที่จะค่อยๆเรียนรู้ว่า การย้อนเวลา อาจจะมีผลกระทบต่อชีวิตมากกว่าที่เขาคิดได้

เอาเข้าจริงๆ ไอเดียของหนังก็ไม่ได้ใหม่ เนื้อเรื่องก็มีจุดบอดบ้าง (อย่างที่บอกไปแล้ว) แต่ว่า เพราะจังหวะการเล่าเรื่อง และการทำเสนอ ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ทำให้เราสามารถดูมันได้โดยไม่สะดุด และออกมาจากโรงอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ใครได้ไปดูกับคนรัก รับรองจะอินเลิฟยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับ และที่เด่นมากๆ ก็ต้องยกให้บรรดาเพลงประกอบ ที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม สังเกตว่า ตัวละครในเรื่องพูดคุยกันเรื่องของเพลงที่โผล่มาในฉากสำคัญของหนังเช่นกัน

เมื่อได้ซีดีมา พออ่านปกใน (MP3 ทำแบบนี้ไม่ได้นะจ๊ะ แบบนี้เราได้รู้ว่าเค้าคิดยังไงกันตอนทำเพลง) มีบทความสั้นจากผู้กำกับเขียนไว้ด้วย ซึ่งก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าเขาทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไร Richard Curtis บอกเองเลยว่า เวลาเขียนบทหนัง มักจะมีเพลงต่างๆที่อยากนำมาใช้ในหนังอยู่แล้ว ซึ่งบางทีก็มีปัญหาว่า ช้าไปบ้าง ยาวไปบ้าง แต่เรื่อง About Time นั้นโชคดีมากๆที่มันตรงกันไปหมด

ตอนที่เขียนบทเรื่องนี้ เขามีเพลง The Luckiest ของ Ben Folds, Into My Arms ของ Nick Cave and the Bad Seeds, Il Mondo ของ Jimmy Fontana, Gold in Them Hills ของ Ron Sexsmith และ How Long Will I Love You ของ the Waterboys อยู่ในใจอยู่แล้วตอนเขียนบท ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเพลงเหล่านี้จึงโผล่มาในฉากสำคัญๆของเรื่องทั้งนั้น และกลมกลืนไปกับเนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างดี

About-Time-trailer---vide-001

แต่ละเพลงที่ไล่มา ถูกปล่อยออกมาในจังหวะที่เด่นมากๆ อย่าง Into My Arms เพลงที่ผมรักมาตลอดสิบกว่าปี ตอนที่เพลงนี้ขึ้นมาในฉากสำคัญ เท่านั้นล่ะครับ ระงับน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป เพราะมันช่างลงตัวแบบไร้ที่ติด ขณะเดียวกัน How Long Will I Love You เพลงเก่าของ The Waterboys ที่ถูกนำมาใช้ในฉากที่เป็นการตัดสรุปเรื่องราวความรักของพระเอกและนางเอก ก็ถูกคัฟเวอร์ใหม่ให้นิ่ม กระชับ และติดหู เข้ากับฉากที่ตัดไปมา ฉายความน่ารักของทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี ส่วน Il Mondo นั้น ผู้กำกับก็บอกว่า รักเพลงนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว และอยากจะใช้เพลงนี้มากๆ ซึ่งแม้มันจะแปลก แต่ก็เข้ากับฉากงานแต่งงานเป็นอย่างดี The Luckiest ก็ทำหน้าที่ของมันในฉากสำคัญได้อย่างทรงพลังมากๆ เช่นเดียวกับ Gold in Them Hills ที่เหมือนบทสรุปธีมของหนังว่า ไม่ว่ามันจะออกมาในทางไหน เราก็สามารถพบกับความงดงามในสิ่งนั้นๆได้เสมอ เพลงเหล่านี้ส่งให้หนังออกมาโดดเด่นจริงๆ

แต่ไม่ใช่แค่เพลงเด่นเหล่านี้เท่านั้นที่ยอด เพลงอื่นๆที่เลือกมาประกอบหนังก็เด่นไม่แพ้กันครับ ไม่ว่าจะเป็น Mid Air งานเดี่ยวของ Paul Buchanan แห่ง The Blue Nile และเพลงบรรเลงธีมของเรื่องโดย Nick Laird-Clowes ที่เด่นไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีเพลงต่างๆที่แสดงให้เห็นถึงยุคนั้นๆได้เป็นอย่างดี (อย่าง t.A.T.u. ก็เล่นเอาเราแอบฮา) อีกเพลงที่ใส่มาในหนังแล้วน่ารักมากๆคือ Friday I’m In Love ของ The Cure ที่ฟังกี่ครั้งก็ต้องอมยิ้มจริงๆ

สรุปแล้ว About Time แม้จะเป็นหนังที่ไม่มีอะไรลึกมาก แต่กลับให้ความสุข และความรู้สึกอบอุ่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสำหรับคนชอบฟังเพลงแล้ว หนังเรื่องนี้คงสร้างความสุขให้ได้ไม่น้อย ว่าแล้วก็หยิบแผ่นมาเปิดฟังอีกรอบรอบลูเรออกอีกที :)

No comments: