หลังจากที่ผมเขียนถึง the Strokes ว่าพวกเขาพลิกฟ้า เปลี่ยนแผ่นดิน ด้วยอัลบั้มเดียวได้อย่างไรไปแล้ว อย่างที่บอกไปว่า ผลหลังจากนั้นคือ วงอินดี้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งและจุดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวงการไปพร้อมๆกับการพัฒนาของเทคโนโลยี
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก พวกเขาก็เริ่มทำงานต่อทันที โดยเริ่มทำอัลบั้มที่สอง โดยมีไนเจล ก๊อดริช มาโปรดิวซ์ให้ ก่อนที่จะขยำมันทิ้งทั้งหมด และกลับไปหารักเก่าอย่าง Gordon Raphael ที่โปรดิวซ์อัลบั้มก่อนให้ ระหว่างทำงานเพลง พวกเขาก็ได้เอาเพลงใหม่บางส่วนมาเล่นในเทศกาล SummerSonic ที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2003 (ปีที่ผมพลาดไปอย่างน่าเสียดาย เพราะมีแต่วงดีๆ) และผู้คนต่างก็เฝ้ารอเพลงใหม่จากพวกเขา ว่าจะล้ำไปอีกแค่ไหน
พวกเขาเปิดตัวการกลับมาด้วยซิงเกิ้ลชื่อ 12:51 ที่เป็นการกลับมาอย่างงามของพวกเขา ซาวด์ของพวกเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น โดยสิ่งที่ใหม่มากๆคือ เสียงกีตาร์ของนิคที่ทำออกมาได้เหมือนคีย์บอร์ด มันคือเพลงกีตาร์ป๊อปที่ติดหูเอามากๆ บวกกับMVสุดล้ำที่เลียนแบบ Tron (ต้นฉบับ)
และเมื่ออัลบั้มที่สอง Room On Fire ออกมา มันก็ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก เพราะมันยอดเยี่ยมสมกับที่ผู้คนคาดหวังไว้ มันยังคงอัดแน่นไปด้วยเพลงเด่นๆ ไม่ว่าจะเป็น The End has no End ที่รร๊อคสะใจ Meet Me In The Bathroom เพลงชวนหวิว You Talk Way Too Much เพลงที่เริ่มต้นแบบสบายๆแต่ท่อนฮุคติดหูเหลือเกิน และอีกเพลงที่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลเพราะความโดดเด่นของมันอย่าง Reptilia ที่เพลินไปกับเสียงกีตาร์จริงๆ
พวกเขายังคงขยันต่อไป หลังจากเสร็จทัวร์กับอัลบั้มก่อน พวกเขาก็กลับมาทำงานเพลงอีกครั้ง โดยครั้งนี้ มีสิ่งที่น่าตกใจสำหรับแฟนๆคือ เพลงเปิดตัวอย่าง Juicebox กลายเป็นเพลงร๊อคที่หนักหน่วงแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน เล่นเอาช๊อคแฟนๆเพลงดั้งเดิมไปเยอะเหมือนกัน ส่วนตัวอัลบั้ม First Impression of Earth ซึ่งออกมาในปลายปี 2005 ก็เหมือนการเดินทางครั้งใหม่ของพวกเขาที่เปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อย เพราะว่าโทนเพลงออกจากหนักไปกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์มาเป็น David Kahne ก็ได้ นอกจาก Juicebox แล้ว มันยังมีเพลงเด่นอย่าง On the Other Side ที่จูเลี่ยนครวญเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม You Only Live Once เพลงเปิดตัวที่โจ๊ะๆหน่อย Fear of Sleep ที่ออกไปในทางการาจดิบๆ และเพลงหนักๆที่อบอวลไปด้วยเสียงกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมอย่าง Heart In Cage
อาจจะเป็นเพราะการแหวกแนวเพลงจากเดิมไป ทำให้ยอดขายไม่ดีเหมือนเดิม และไม่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์นัก อาจจะเป็นเพราะความเครียดที่สะสมมาตลอด บวกกับความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเปราะบางเหลือเกิน ดังนั้น ในปี 2007 พวกเขาก็ตัดสินใจพักวงชั่วคราว และสมาขิกของวงก็แยกย้ายไปทำงานเดี่ยว หรือร่วมงานกับวงของตัวเอง มีเพียงนิคคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ทำงานเดี่ยวเลย
หลังจากแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง พวกเขาก็กลับมารวมตัวเริ่มทำงานกันอีกครั้ง ก่อนที่จะขยำงานทิ้งไป เพราะไม่ชอบผลงานที่ออกมาจากโปรดิวเซอร์คนเดิม พวกเขาเลยเลิกไปทำงานเพลงเองในบ้านของอัลเบิร์ต และผลที่ออกมาคืออัลบั้มใหม่ที่ชื่อ Angles ที่พึ่งออกมาสดๆร้อนๆ
ซิงเกิ้ลแรกที่พวกเขาปล่อยออกมาให้พวกเราได้ลิ้มลองหลังจากรอคอยมานานคือ Under Cover of Darkness ที่แม้จะเป็นซาวด์แบบ the Strokes แต่มันก็เป็นซาวด์ที่พัฒนาขึ้นจากรากเดิมของมัน ไม่ว่าจะเป็นเสียงกีตาร์ที่หนุงหนิงไล่ไปกับเพลง กับอีกเสียงที่ไล่เลียงคู่กันมาตลอด บวกกับเสียงร้องแบบเบื่อโลกของจูเลี่ยน เบสที่ไหลไปตลอด กลองแบบกร้านๆ กลายเป็นซิงเกิ้ลของพวกเขาที่ทำให้เราหลงรักได้ในทันทีครับ นอกจากนี้ เพลงแถม You’re So Right ยังเป็นเพลงร๊อคหนักๆที่คล้ายกับ Juicebox ไม่น้อย และทั้งสองเพลงได้ไปอยู่ในอัลบั้มใหม่ด้วยครับ
และเมื่อได้ฟังทั้งอัลบั้ม คิดว่าอิทธิพลจากเพลงยุค 80 โผล่มาในอัลบั้มไม่น้อยเลยทีเดียวครับ น่าจะส่งผลมาจากงานเดี่ยวของจูเลี่ยนไม่น้อยครับ สังเกตได้ตั้งแต่เพลงแรก Machu Picchu ที่มีโคตรสร้างแบบหลุดมาจากยุค 80 จริงๆครับ คล้ายกับ Games ที่เหมือนกับพวกเขาฟัง A-Ha ทั้งวัน ส่วน Gratisfaction มีกลิ่นของบรรยากาศแบบแฮปปี้ปนอยู่ไม่ร้อยครับ เพลงที่จังหวะโครมครามอย่าง Metabolism ก็แหวกไปจากเพลงเก่าไม่น้อยทีเดียว Taken For A Fool ก็เป็นอีกเพลงที่หนักไม่น้อยทีเดียว ส่วน Call Me Back ก็เป็นเพลงช้าๆเนือบๆไป Two Kinds Of Happiness คืออีกเพลงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยุค 80 มาตั้งแต่ต้นเพลง ผมชอบไม่น้อยครับ ส่วน Life Is Simple In The Moonlight คืองานชิ้นเดียวของโปรดิวเซอร์เดิมที่เหลือรอดมา และมันก็เป็นเพลงปิดอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมไม่เบาครับ
หลังจากเงียบไปนาน The Strokes ก็กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม และแสดงให้วงรุ่นน้องได้เห็นว่า พวกเขายังคงมีกึ๋นพอที่จะนำหน้าไปอีกหลายช่วงตัวครับ
No comments:
Post a Comment