Monday, May 16, 2011

The Strokes พลิกวงการด้วยความ Cool

Technorati Tags: ,

งานเขียนครั้งนี้ เป็นงานที่ผมเล็งจะเขียนหลายทีแล้ว แต่ยังหาจจังหวะเหมาะๆไม่ได้ซะที แต่อาศัยจังหวะที่พวกเขาออกอัลบั้มใหม่นี่แหละครับ ได้เขียนถึงเสียที นอกจากพวกเขาจะเป็นวงที่ผมชอบมาๆแล้ว ยังเป็นวงที่เรียกได้ว่าเข้ามาปฏิวัติวงการเพลงแบบพลิกฟ้าผ่าแผ่นดินเลยทีเดียว

ในช่วงปลายยุค 90 ที่กระแสกรันจ์เริ่มเสื่อมความนิยมในอเมริกา บริตป๊อปก็เช้าสู่ระยะสุดท้าย วงการดนตรีเข้าสู่ยุค 2000 โดยเต็มไปด้วยกระแสเพลงนิวเมทัลที่เบ่งบานไปทั่วโลก แม้ว่ามันจะฮิต แต่หลายคนก็คิดว่ามันขาดคุณภาพ และบรรยากาศไม่ต่างจากยุควงแฮร์เมทัลเบ่งบาน ที่เหมือนทุกคนจะลืมสิ่งสำคัญของดนตรีไป จนเมื่อวงๆหนึ่ง นำอัลบั้มที่ชื่อ Is This It? ออกมาให้วงการเพลงได้รู้จัก โลกนี้ก็เปลี่ยนไปแบบไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว พวกเขาคือห้าหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า The Strokes ผู้นำเอาความสนุกและความคูลกลับมาสู่วงการเพลงอีกที

The-Strokes

The Strokes กำเนิดขึ้นโดยการรวมตัวกันของสามหนุ่ม Julian Casablancas (จูเลี่ยน ร้องนำ) Nick Valensi (นิค กีตาร์) และ Fab Moretti (แฟ๊บ กลอง) เริ่มเล่นดนตรีด้วยกันสมัยเป็นนักเรียน ก่อนที่จูเลี่ยนจะไปเจอ Nikolai Fraiture (นิโคไล เบส) ต่อมา และไปรู้จักกับ Albert Hammond Jr. (อัลเบิร์ต กีตาร์) ลูกชายของนักดนตรีดัง สมัยเขาไปเรียนที่สวิสอีกที และเมื่อทุกคนมารวมกันครบที่นิวยอร์ก พวกเขาก็เริ่มตั้งวงโดยเมื่อเริ่มเล่น พวกเขาก็ไปเข้าตาของ Ryan Gentles ที่ทำงานที่บาร์ จนเขาลาออกจากงานเพื่อมาเป็นผู้จัดการวงและกลายเป็นคนสำคัญแทบจะเป็นสมาชิกคนที่หกของวงเลยทีเดียว

ต้นปี 2001 พวกเขาเริ่มออก EP ชื่อ the Modern Age ที่ไปเข้าตานักวิจารณ์เพลง เพราะว่ามันแตกต่างไปจากเพลงที่เป็นที่นิยมในช่วงนั้น เนื่องจากพวกเขาหยิบเอาแนวเพลงการาจร๊อคที่เคยเป็นที่นิยมในอดีตมาทำใหม่ให้สนุก ฟังง่าย และคนฟังเพลงสามารถสนุกไปกับมัน ไม่ต้องโยกจนปวดหัว และแน่นอนว่า Last Nite กลายเป็นเพลงเด่นที่เปิดตัวพวกเขาไปอย่างงดงามในวงการเพลงจากความสนุกของกีตาร์ที่เล่นขัดๆ กลองตีแบบโจ๊ะๆ เบสที่เดินไปเรื่อยๆ และเสียงร้องที่เหมือนกับคนบ่น แม้จะเป็นการปรับปรุงแนวเพลงจากอดีต แต่พวกเขาก็ทำออกมาได้แบบที่โดดเด่นมาก และภาพลักษณ์ของวงของห้าหนุ่มวัยรุ่น หน้าตาดี มาดสำรวย แต่งตัวเท่ ก็เป็นความฮิพแบบที่คนถวิลหามานาน หลังจากที่ภาพลักษณ์แบบนิวเมทัลกับเสื้อผ้าหลวมโพรกครองวงการแฟชั่นมานาน เป็นเหมือนกับการเอาคืนของหนุ่มเมืองกรุง

การปรากฎตัวของพวกเขาพร้อมผลงานเปิดตัวที่ยอดเยี่ยม ทำให้เกิดสงครามแย่งตัวพวกเขาระหว่างค่ายเพลง และค่ายที่ได้ตัวห่านที่ออกไข่ทองคำไปก็คือ RCA และด้วยความที่พวกเขาได้รับความสนใจจากในอังกฤษอาจจะมากกว่าทีบ้านเกิดของพวกเขาด้วยซ้ำ ทำให้พวกเขาออกอัลบั้ม Is This It ในอังกฤษก่อนอเมริกา และปกก็เป็นแบบดั้งเดิมคือเป็นรูปวาบหวามของก้นสาวกับถุงมือหนัง แต่ฉบับอเมริกากลับเป็นรูปอะตอมระเบิดไปเสีย medium_is_this_it

และ Is This It? คืออัลบั้มที่พลิกโฉมวงการเพลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือแบบถาวร อย่างที่บอกคือ พวกเขานำเอาความเท่ ความฮิพ กลับมาสู่วงการเพลง และทำให้เพลงการาจกลับมาโด่งดังแบบพลุแตก ทั้งนี้ ต้องชื่นชมความสมบูรณ์แบบของมันด้วย เพราะว่า มันคือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลเลยทีเดียว

ทั้งอัลบั้มมันเปี่ยมไปด้วยความสดใหม่ ความสนุก และความเท่แบบไม่ยั้ง ตั้งแต่เพลงเปิด Is This It? เนิบๆไปกับเสียงครวญเพลงของจูเลี่ยน ก่อนจะไปเริ่มโจ๊ะกันอย่างสนุกสนานกับ The Modern Age และค่อยไปเร่งเร้าอย่างเมามันใน Soma และ Barely Legal เพลงที่ออกจะหนักร๊อคหน่อยก็อย่าง NYC Cops (ที่ถูกถอดออกจากฉบับอเมริกันเพื่อเป็นเกียรติให้กับตำรวจที่ตายในเหตุการณ์ 911) และ Trying Your Luck ที่ร๊อคเอาเรื่อง รวมไปถึง Take It or Leave It และที่ลืมไม่ได้คือ Someday ที่โจ๊ะๆสนุกๆ Last Nite ที่สร้างชื่อให้พวกเขา Alone Together ที่ออกจะดิบหน่อย และเพลงโปรดของผม Hard to Explain เหมือนกับการเอา Iggy Pop มาทำเพลงพังค์ผสมดิสโก้

The_Strokes4

Is This It? กลายเป็นความสำเร็จแบบยิ่งใหญ่ มันได้รับทั้งคำชมและยอดขายอย่างงดงาม และกลายเป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีของหลายสำนัก ส่งให้พวกเขากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ของวงการเพลงเลยทีเดียว และบอกได้เลยว่า ปี 2001 คือปีที่พวกเขาครอบครองวงการอย่างแท้จริง แม้ว่า The White Stripes จะทำงานเพลงแบบนี้มาก่อน และทำได้ดีกว่า แต่คนที่ส่งให้เพลงแนวนี้ดังไปทั่วโลกคือ The Strokes ลองจินตนาการว่า หากไม่มีอัลบั้มนี้ โฉมหน้าของวงการดนตรีจะเป็นเช่นไร

ถ้าไม่มีมัน เราคงไม่มีวงสารพัดที่ขึ้นต้นด้วย The ทั้งหลาย ไม่มีนิวเรฟ เพราะ The Rapture คงไม่ดัง ไม่มี The Libertines อีกสารพัดสารพัน สำหรับผมแล้ว Is This It? คือ Nevermind ของยุค 2000 ที่ออกมาเพื่อกอบกู้วงการเพลงจากความน่าเบื่อทั้งหลาย คอยตามเรื่องพวกเขาต่อได้สัปดาห์หน้าครับ

No comments: