ช่วงนี้ หันไปทางไหน ก็เจอแต่กระแสบอลโลกกับเพลงของ Shakira และ N’Kaan จนเล่นเอาเอือมได้เหมือนกันครับ ขนาดคนรอบตัวผมที่ไม่ได้สนใจฟุตบอลอะไรนัก ยังออกอาการกันเต็มที่ จนทำให้ผมเชื่อจริงๆว่าคนไทย เฮที่ไหน ไปที่นั่นจริงๆครับ จนเดี๋ยวครั้งหน้าจะขอทำเรื่องดนตรีกับฟุตบอลแล้วกันนะครับ แต่สัปดาห์นี้ ขอเอาเรื่องของอีกวงหนึ่งที่เป็นหัวหอกของ South Wales Metal นอกเหนือจาก Funeral for a Friend และ Lostprophets นั่นคือ Bullet for My Valentine
BFMV เริ่มต้นจากวงชื่อ Jeff Killed John ที่ Matt Tuck (แมตต์ กีตาร์ ร้องนำ) Michael Paget (ไมเคิล กีตาร์) Michael Thomas (ไมเคิล กลอง) และเพื่อนมือเบสตั้งขึ้นสมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยเริ่มจากการเล่นคัฟเวอร์วงดังๆ และทำเพลง นิว เมทัล ตามกระแสของโลกในตอนนั้น แต่เมื่อจะเรื่มเข้าห้องอัด มือเบสก็ขอลาออกจากวง และพวกเขาก็ได้ Jason James (เจสัน) มาเล่นเบสแทน และพวกเขาก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น Bullet for My Valentine และเปลี่ยนแนวเพลงมาเป็น แทรชเมทัลที่เสริมเมโลดี้เข้าไปแทน และกลายเป็นดาวดวงใหม่ในวงการ South Wales Metal Scene
พวกเขาเป็นที่สนใจของค่ายเพลงต่างๆ กระทั้ง Roadrunner ยังต้องการลายเซ็นพวกเขา แต่ว่า พวกเขาก็เลือกเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่อย่าง Sony แทน เนื่องจากมีอิสระในการสร้างสรรผลงานเพลงมากกว่า พวกเขาออกผลงานชิ้นแรกในชื่อเดียวกับวงเป็น EP ในปี 2004 และตามด้วย EP ที่สองที่ชื่อ Hand of Blood ที่ได้รับความเห็นแตกต่างกันไปจากนักวิจารณ์ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นงานเพลงที่หนักหน่วง และเต็มไปด้วยเทคนิคลูกเล่นหลากหลาย แมมันจะไม่ได้แหวกจากวงอื่นๆมากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่น่าสนใจเอาเรื่องเลยทีเดียว โดยเฉพาะเพลง Hand of Blood ที่สับไม่ยั้งอย่างหนักหน่วง
พวกเขาไม่ได้เสียเวลาไร้สาระ โดยออกงานอัลบั้มเต็ม The Poison ในปี 2005 ตามมาโดยทันที และมันก็เป็นงานเพลงที่ทำให้พวกเขาเป็นที่สนใจทันที เพราะมันอัดแน่นไปด้วยเพลงเด็ดๆที่หนักหน่วงสะใจแน่นไปเกือบทั้งอัลบั้ม นอกจาก Hand of Blood ที่กล่าวไปแล้ว ยังมีเพลงเด่นเพลงอื่นอย่าง Tears Don’t Fall ที่มีกลิ่นไอของ Screamo ปนเข้ามา บวกกับการรัวสองกระเดื่องไม่ยั้ง ทำให้มันเป็นเพลงที่พร้อมจะเรียกเสียงแหกปากตามคอนเสิร์ตได้ดีจริงๆ อีกเพลงที่สับอย่างไม่ยั้งเช่นกันคือเพลง The Poison ที่ทั้งสับทั้งแหกปากได้อย่างเมามัน รวมไปถึงท่อนโซโล่กีตาร์ที่ทำให้นึกถึง ไลน์ของ KK Downing และ Glen Tipton ของ Judas Priest เลยทีเดียว อีกเพลงที่มีกลิ่นของ Screamo มาผสมคือ Suffocating Under The Words Of Sorrow (What Can I Do) และ All These Things I Hate (Revolve Around Me) ที่แหกปากได้อย่างเมามันจริงๆ จากความยอดเยี่ยมของอัลบั้มนี้ ทำให้พวกเขากลายเป็นวงเมทัลหน้าใหม่มาแรงทันที บวกกับแรงหนุนจากรุ่นพี่ที่ดังขึ้นมาก่อนอย่าง Funeral for a Friend ทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่หลายไปทั่วเกาะอังกฤษ และข้ามไปถึงฝั่งอเมริกาเลยทีเดียว (ก่อนที่จะแตกคอกันเนื่องจาก BFMV ไปดูถูก FFAF ว่ากระจอก ทั้งๆที่ FFAF ช่วยเหลือมาตลอด)
และสองปีต่อมา พวกเขาก็ออกผลงานชุกที่สอง Scream Aim Fire ในปี 2007 มันเป็นงานที่พวกเขาบอกว่า เร็วขึ้น และหนักขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็ชัดเจนด้วยเพลงอย่าง Scream Aim Fire หรือเพลง Last to Know ที่สับๆๆๆ แบบไม่ยั้งเลยจริงๆ ส่วนเพลงอย่าง Hearts Burst Into Fire ก็มีไลน์กีตาร์สวยๆให้ได้เพลินไปกับมันในอารมรณ์คล้ายๆเพลงเมทัลยุคเก่าที่สามารถแหกปากตามได้ และ Scream Aim Fire ก็เป็นงานอีกชิ้นของ BFMV ที่สามารถทำยอดขายได้อย่างงดงาม ถึงขนาดข้ามฟากไปเข้าชาร์ตที่อเมริกาเลยทีเดียว
และหลังจากรอมานาน พวกเขาก็ได้ออกผลงานชุดที่ 3 ในปีนี้ นั่นคืออัลบั้มที่ชื่อว่า Fever ซึ่งก็ไม่ทำให้แฟนๆที่รอคอยผิดหวังเลย เพราะมันยังคงความหนักหน่วงสะใจไว้เหมือนเดิมครับ แค่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Your Betrayal ที่ เริ่มต้นด้วยการสับอย่างไม่ยั้งก็รู้แล้วล่ะครับว่าอัลบั้มนี้มันจะสะใจแค่ไหน ส่วน ซิงเกิ้ลที่สองอย่าง The Last Fight ที่ทั้งรวดเร็วและงดงามก็ทำกลายเป็นเพลงโปรดของผมเลยครับ เพราะมันมีท่อนคอรัสที่ชวนแหกปากตามสุดๆ บวกกับไลน์ที่พลิ้วไหวของกีตาร์ ทำให้ปฏิเสธไม่ลงจริงๆครับ นอกจากนี้ เพลงอื่นๆในอัลบั้มยังหนักไม่แพ้กันเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น Pleasure and Pain, Alone หรือ Dignity และยังปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลง The Last Fight ฉบับอคูสติค คิดว่า ถ้าใครเป็นแฟนแนวเมทัล คงต้องหาวงนี้มาลองฟังหน่อยล่ะครัย เพราะเป็นการเอาเพลงเมทัลรุ่นเก่ามาพัฒนาได้อย่างน่าสนใจจริงๆครับ
3 comments:
bfmv...
bullet
bullet
bullet
bullet
bullet
อย่าลืมอีกเพลง bittersweet memories
ขอบคุณที่มาอ่านครับ
หวังว่าจะติดตามเรื่อยๆนะครับ
เป็นบทความที่ดีมากๆครับ
Post a Comment