Friday, April 24, 2009

White Lies: ความตายในสายตาของคนหนุ่ม

Technorati Tags: ,

เมื่อเดือนที่แล้วผมพึ่งเขียนถึงเพลง 59’ Sound ของวง Gaslight Anthem หมาดๆ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลับมาเขียนถึงวงที่พร่ำพรรณนาถึงความตายอีกรอบหนึ่งเร็วขนาดนี้ แต่ว่าจำเป็นต้องเขียนจริงๆครับ เพราะว่าแค่ได้ฟังอัลบั้มเปิดตัวของวงหน้าใหม่ที่ชื่อ White Lies ก็เล่นเอาผมติดใจวงนี้อย่างงอมแงมไปเลยทีเดียว

 

White Lies คือการรวมตัวกันของเพื่อนวัยเด็กสามคนจากรอบๆลอนดอนคือ Harry McVeigh (แฮรี่ ร้องนำ กีตาร์) Charles Cave (ชาลส์ เบส แต่งเนื้อร้อง) และ Jack Lawrence-Brown (แจ๊ค กลอง) เนื่องจากเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าสายใยที่เชื่อมพวกเขาไว้นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

 white-lies_01

พวกเขาเริ่มต้นชีวิตนักดนตรีด้วยการตั้งวง Fear of Flying ตั้งแต่อายุแค่ 15-16 เท่านั้น และหลังจากออกผลงานเพลงแนว Funk Punk กับสังกัดอิสระมาได้แค่สองซิงเกิ้ล และเป็นที่รู้จักด้วยการออกเล่นเปิดให้รุ่นพี่บ้าง พวกเขาก็ตัดสินในยุบ Fear of Flying ในปี 2007

 

สาเหตุที่ยุบวง เพราะว่า เมื่อพวกเขาเขียนเพลง Unfinished Business เสร็จ มันคือเพลงที่พวกเขาคิดว่าสมบูรณ์แบบ และนี่แหละคือแนวทางที่พวกเขาได้ค้นหามานาน และมันก็แตกต่างจากแนวเพลงเดิมของพวกเขามาก ทำให้วิธีที่ดีที่สุดคือ ทิ้งอดีตไปและหันหน้าหาอนาคตแทน และ White Lies ก็ถือกำเนิดขึ้นมาโดยการประกาศในเว็บไซต์ของตัวเองว่า Fear of Flying is DEAD…. White Lies is alive!

 

ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาคิดว่า Unfinished Business คือเพลงที่สมบูรณ์แบบ เพราะมันคือเพลงที่มืดหม่น และซับซ้อนอย่างน่าสนใจ Harry พร่ำร้องเกี่ยวกับวิญญาณของชายที่กลับมาหาภรรยาที่ฆ่าเขาตายในการทะเลาะกัน แต่ในที่สุด วิญญาณนั้นก็รู้ตัวว่าเขายังรักเธอและยังคงต้องการความรักจากเธอเสมอ มันคือนิยายฉบับสั้นที่ทำเอาเราขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟังมัน เพราะว่ามันเหมือนกับการกลับมาจุติของ Joy Division (เคยเขียนไปแล้ว) อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของ Harry หรือดนตรีที่อลังการเหลือเกิน แค่ท่อน You’ve got blood on your hands and I know it’s mine, I just need more time เท่านั้นก็เพียงพอที่จะเสียดแทงไปกลางใจเราแล้ว

 whitelies9_m

 

แม้ Unfinished Business จะไม่ได้เข้าชาร์ต แต่ซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Death ก็ทำให้พวกเขาได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้ไปเล่นตามเทศกาลต่างๆ และต่อมาพวกเขาก็เข้าห้องอัดเพื่อมุ่งมั่งผลิตอัลบั้มเต็มของพวกเขาเป็นเวลาสองเดือนก่อนที่จะกลับมาเล่นสนับสนุนวงรุ่นพี่ที่หม่นน้อยกว่าหน่อยอย่าง Glasvegas และอัลบั้มของพวกเขาก็ถูกกำหนดให้ออกวางขายในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2008

 

และเมื่ออัลบั้มแรกของพวกเขา To Lose My Life ออกวางขาย มันก็กลายเป็นอัลบั้มแรกของปี 2009 ที่ขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ตทันที ดูเหมือนว่าผู้คนมุ่งหวังที่จะโอบรับความมืดที่พวกเขานำมาอย่างเต็มที่ แต่ถ้ามองจริงๆแล้วก็ไม่แปลกอะไร เพราะว่ามันคืออีกหนึ่งอัลบั้มที่เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกินตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Death ที่กล่าวถึงความกลัวความตายที่ไม่รู้ว่ามันจะมาเยือนเมื่อไหร่ ที่ทำให้เรานึกไปถึง U2 (ยุคแรก) หรือ The Killers ที่สร้างสรรค์เพลงที่อลังการแต่แฝงความมืดไว้ด้วย และอีกเพลงเด่นคือ To Lose My Life ที่กลายเป็นชื่ออัลบั้ม จริงๆแล้วชื่อเต็มของมันคือ To Lose My Life Or To Lose My Love ที่กล่าวถึงการที่คนเราต้องเลือกเอาระหว่างการตายไปก่อนคนรัก (Lose Life) หรือการที่ให้คนรักตายก่อนเราแล้วจมอยู่กับความเศร้า (Lose Love) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่เป็นที่น่าพิสมัยทั้งนั้น และมันน่าจะเป็นธีมหลักในการสร้างอัลบั้มนี้ อีกเพลงหนึ่งที่ผมชอบมากคือ Farewell to the Fairground ที่กล่าวถึงการตัดสินใจลาจากสภาพที่เป็นอยู่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า เพราะมันทำให้ผมนึกถึง Ian Curtis มารำไรๆ ดนตรีของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นไอของวงรุ่นพี่อย่าง Joy Division, Echo and the Bunnymen, Nick Cave, Interpol หรือ Editors ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร เพราะการรับอิทธิพลจากรุ่นพี่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากวงเหล่านี้ก็ตาม

 preview-whitelies

 

To Lose My Life เต็มไปด้วยสีดำ ความมืด น้ำตา เลือด ความตาย งานศพ ความเศร้า ควันไฟ มันคืออัลบั้มที่แสนหม่นจนไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากสมองเด็กหนุ่มอายุแค่ 20 อย่างพวกเขา แต่จริงๆแล้ว มันคืออัลบั้มที่เต็มไปด้วยควมทะเยอทะยานที่เกี่ยวการมีชีวิตอยู่โดยรำลึกเสมอว่าซักวันความตายจะเข้ามาในชีวิตเราซักวันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงควรที่จะมีสติอยู่เสมอ หลายๆคนหวังจะพวกเขาจะจมในความเศร้าและฆ่าตัวตายให้สมใจ (เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับ Kurt และ Richey) แต่มันคงไม่เกิดขึ้นตราบเท่าที่พวกเขายังมีวง White Lies เป็นที่ระบายและใช้สื่อสารกับคนอื่นในโลกนี้อยู่

 

ได้รู้จักพวกเขาแล้ว ไม่ลองย่างเข้ามาสัมผัสโลกให้ความมืดของพวกเขาบ้างหรือครับ ส่วนผมอยู่ในนี้มานานแล้วครับ

 

Wednesday, April 22, 2009

ジャイアント・キリング(Giant Killing)にマジハマッテル。

GIANT KILLING09_000a

漫画の大ファンの俺にとって「読んで疲れる」のようなスポ根の漫画が好き。ガキの頃は「シャカリキ」を一発でで読むとマジ疲れた覚えがある。自分が本当にレースに参加したような気がしていた。スラムダンクも同じ。読んだらすぐコートに立ってバスケやりたくなるほど心が動かされた。俺たちのフィールドもそうだった。ドラマティックの展開で感動が止まらなかった。

 

で、今の社会人の俺にとってはそんなに感動できるスポ根の漫画はあまりない。自分が翻訳やってた「キャプテン翼・Golden23」は岬太郎の話はよかったが、感動するほどじゃない。だが、息づけの居酒屋でいいもん見つけました。それは「ジャイアント・キリング」というサッカー漫画だ。

 

適当に読んでみたが、なんか、「熱」が感じた。面白そうなって思っていたが、そのままで終わった。もう一度自分の所属の出版社で読んでみてやっぱ面白かったから、全部読みたいなって思っちゃった。

 

サッカーの大ファンの俺(またか)にとっては、人間離れのサッカー漫画が嫌い。ジャイキリ(ジャイアント・キリング)は全然そうでもないから楽しみしていた。特にいつもサッカー選手の話が多いが、ジャイキリの主人公は監督で、マジ珍しい。漫画はいつも選手のプレーが輝くけど、今回はそのプレーを生み出す監督の話だから、めっちゃ面白そう。特に主人公の達海猛は昔栄光のあったETU(イースト・東京・ユナイテッド)を救いに来る35歳の青年監督でいつも適当に見えるが、実は細かいところまで見て、いつも作戦を考えている。そして、選手の成長のためにも色々仕込んでいる。本当にリアルということが実感できる漫画。

 

監督だけでなく、選手たちも色々な性格で面白い。期待されていない椿とか、キャプテンから外された村越の話はいい話。また個性の濃い夏木や黒田の話も面白い。でも、選手の中はやっぱりジーノが一番面白い人物。生意気なハーフで自称「王子」のところだけでもうだいぶ面白いのに、試合にあまり協力しない天才肌なところとか爽やかで美しいプレーだけしたがるのような自由気がマジ面白い。本当にチームの中で一番読めない人物。

 

と以上の理由で、読み始めたらすぐ9巻全部読んじゃった。本当に止まらなくて、選手がゴールを決めた時につい手を上げちゃいました。自分のアパートなのにスタジアムで本当にサッカー見ている感じになってしまった。久しぶりにこんな風になって、なんか少年化みたいな感じ(外見はもうすぐ30のおっさんのままですが)。10巻を待つのがかなり大変なことです。

 

サッカーのファンにお勧め。漫画のファンにもお勧め。サッカーのファンで漫画が好きの方には非常にお勧めです。

 

ETU頑張れ!お前らのジャイアント・キリングを期待してるぞ!

Sunday, April 5, 2009

The Prodigy

Technorati Tags: ,

อุณหภูมิปีนี้รู้สึกว่าจะร้อนเร็วเหลือเกินนะครับ หลังจากสัมผัสหน้าหนาวสั้นๆได้ไม่กี่วัน เราก็ต้องกลับมาทนกับอากาศร้อนของสยามเมืองยิ้มเหมือนเดิม ยิ่งตอนนี้เข้าเดือนเมษายนแล้ว ยิ่งร้อนระดับไข่เค็มเลยทีเดียว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในช่วงเข้าสงกรานต์แบบนี้ ขอแนะนำวงที่เอาไปเปิดกระหน่ำตามงาน เพิ่มความบ้าของงานอีกวงหนึ่งคือ The Prodigy ครับ

 

Karaoke

 

ถ้าใครตามวงการเพลงมาตลอด ก็ต้องรู้จักวงๆนี้แน่นอนครับ เพราะพวกเขาคือหนึ่งในหัวหอกที่ทำให้เพลงแดนซ์แบบ Big Beat/Break Beat ดังไปทั่วโลกในเวลานั้นร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง The Chemical Brothers หรือ Fatboy Slim สิ่งที่ต่างออกไปคือ พวกเขาผสมความจิตวิญญาณแบบพังค์เข้าไปในเพลงด้วย

 

พวกเขาเริ่มต้นด้วยการทำเดโมของมันสมองของวงอย่าง Liam Howlett (เลียม แต่งเพลง บรรเลง) และมันก็ไปเข้าตาค่าย XL ทำให้เขาได้รับโอกาสออกซิงเกิ้ล Liam เลยตัดสินใจตั้งชื่อวงว่า The Prodigy และเริ่มออกแสดงสดพร้อมกับ Keith Flint (คีธ เต้น แหกปาก พังของ ขู่เด็ก) Leeroy Thornhill (ลีรอย เต้นอย่างเดียว ท่าไม้ตายคือ ท่าวิ่งอยู่กับที่!?!) ตามมาด้วย Maxim Reality (แม๊กซิม MC) และออกป่วนไปทั่วเมือง ซิงเกิ้ลแรกในปี 1990 อย่าง Charly เพลง rave ที่มีเสียงแมวกวนประสาทอยู่ในเพลงก็เป็นที่นิยมไปทั่วและจุดกระแสดนตรี Rave ให้ดังคับเกาะอังกฤษ พวกเขาออกอัลบั้มแรก Experience มาในปี 1991 ซึ่งมันก็มีเพลงเด่นๆหลายเพลงอย่าง Wind It Up, Jericho หรือ Out of Space ทำให้พวกเขาดังไปทั่วพร้อมๆกับกระแสดนตรี Rave แต่ว่าการที่พวกเขาชอบใช้เสียงร้องที่ถูก pitch ให้สูงขึ้นทำให้พวกเขาถูกดูถูกว่าเป็นวงเรฟเด็กๆ แต่พวกที่ดูถูกก็ต้องเงียบเมื่อเจอความยอดเยี่ยมของเพลง One Love ที่หลังจากไม่มีการเปิดเผยมานานว่าเป็นผลงานของใครก่อนที่จะมาเฉลยว่าจริงๆแล้วคือผลงานของพวกเขานั่นเอง

 

3men

 

แต่จากการต่อต้านของรัฐบาล ดนตรีเรฟเลยได้รับผลกระทบไปเต็มๆเพราะมันมักพ่วงกับยาอยู่แล้ว ปี 1994 พวกเขาแสดงความไม่ธรรมดาให้เห็นอีกครั้งเมื่อพวกเขาล้ำหน้าเรฟที่เริ่มไร้สาระด้วยดารเอาความเป็นร๊อคมาผสมลงในดนตรีของพวกเขาจนออกมาเป็นอัลบั้ม Music for Jilted Generation ที่ยอดเยี่ยมเกินพรรณนา

 

ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้มอย่าง No Good นั้น รวดเร็วรวดกับขบวนรถด่วน TGV วิ่งผ่านสมองเราไป สลับกับช่วงเข้าอุโมงค์ที่เห็นแสงวิบวับเป็นระยะ ถ้าฟังเพลงนี้แล้วไม่อยากเต้นอย่างบ้าคลั่งก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ ส่วนเพลง Voodoo People ก็อัดแน่นด้วยเสียงกีตาร์ดิบๆพอๆกับเพลง Their Law ในขณะที่เพลง Full Throttle และ Speedway ก็คือเพลงที่ไม่ควรฟังในรถเด็ดขาดที่ใจคุณไม่กล้าพอรับกับความอยากเหยียบคันเร่งให้จมโคน ส่วน Break and Enter ก็สมชื่อ มันชวนเราพังข้าวของก่อจลาจลเหลือเกิน และยังมี Poison ที่เริ่มส่อเค้าลางแนวเพลงในชุดถัดไปได้เป็นอย่างดี MFJG คืออัลบั้มที่คุณควรได้ฟัง ต่อให้ไม่ชอบเพลงเต้นรำ เพราะมันคืออัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่มนุษยชาติรู้จักสิ่งทีเรียกว่าจังหวะ

 

Live

 

จากความสำเร็จอย่างสูงในอัลบั้มที่ก่อน ทำให้ผู้คนสงสัยว่าต่อมาพวกเขาจะมาไม้ไหน และผลก็คือ เมื่อ Firestarter ออกมาในปี 1996 ทุกก็ต้องตะลึงกับความน่ากลัวของภาพลักษณ์ของวง แต่ที่เหนือกว่านั้นคือ ความยอดเยี่ยมขอเพลงที่มีบีทอันหนักหน่วง บวกกับความดิบเถื่อนแบบพังค์ร๊อคของแท้อย่างลงตัว จนกลายเป็นซิงเกิ้ลคลาสสิกไปเลย และยิ่งเมื่ออัลบั้มเต็ม The Fat of the Land ออกมา กระแสดนตรีเต้นรำแนวใหม่ที่พวกเขาสร้างขึ้นก็ดังไปทั่ว TFOTL เต็มไปด้วยเพลงเด็ดที่หนักหน่วงและรวดเร็วสะใจทั้งขาร๊อคและแดนซ์อย่าง Serial Thrilla, Funky Shit หรือเพลงระดับตำนานอย่าง Smack My Bitch Up ที่มีมิวสิควิดีโอสุดเจ๋ง

 

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมาก และออกทัวร์ยาว พวกเขาก็เงียบไม่ทำอะไรซะนาน สองนาน จน Leeroy ออกจากวงไปเนื่องจากว่าวงไม่ได้เน้นที่การเต้นเหมือนเดิมแล้ว แต่ในที่สุด Liam ก็ถ่ายรูปถือแผ่นซีดีในมือ บอกว่าพวกเขาทำอัลบั้มใหม่เสร็จในปี 2004 ชื่อ Always Outnumbered, Never Outgunned

 

แต่อาจเป็นเพราะการรอคอยอันแสนนาน และการห่างเหินจากวงการนานเกินไปของพวกเขา ทำให้ AONO กลายเป็นอัลบั้มดาดๆไป แม้เพลงเปิดตัวอย่าง Girls จะน่าสนใจ แต่เพลงที่เหลือก็ธรรมดาๆ กลายเป็น career move ที่ผิดพลาดของพวกเขาไป

 

แต่ในปี 2009 พวกเขากลับมาใหม่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้งด้วยอัลบั้ม Invaders Must Die อาจเป็นเพราะกระแส New Rave ที่โด่งดังเมื่อสองปีก่อนอีกด้วยที่ทำให้เราคาดหวังจากพวกเขา และก็ไม่ผิดหวังครับ พวกเขาเอาแนวดนตรีที่พวกเขาถนัดมาผสมกับแนวดนตรีสมัยใหม่โดยไม่ลืมความหนักหน่วง จนได้อัลบั้มที่เหมาะแก่การออกไปบ้าคลั่งกันอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพลงเด่นอย่าง Omen, Invaders Must Die หรือ Run with the Wolves ที่มันสุดๆ

 

สงกรานต์นี้ถ้าหาเพลงไประบายความบ้าคลั่ง ก็ลองเอาอัลบั้มของพวกเขามาฟังสิครับ รับรองว่ามันสะใจจริงๆ