ในอเมริกา เทศกาลดนตรีที่คนทั้งหลายรอคอยคงเป็น Coachella Valley Music and Arts Festival แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ในสายตาผม อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Glastonbury ของฝั่งลุงแซมก็ว่าได้ เพราะเท่าที่ติดตามข่าวมาหลายปี ศิลปินที่ขึ้นแสดงออกจะอยู่ในกลุ่มที่เรียกได้ว่า ไม่ตลาดจ๋า สามารถเรียกได้ว่า มักจะหาศิลปินที่น่าสนใจขึ้นเวทีเสมอ อย่างของปีนี้ ศิลปินที่ขึ้นเป็นศิลปินหลักในวันที่ 2 ก็เป็นศิลปินที่มาแรงอย่าง The Black Keys ที่ผมเสนอไปไม่นานมานี้ นอกจากนี้ การถ่ายทอดสดผ่านสตรีมทาง Youtube ทำให้แฟนเพลงที่อยู่อีกซีกโลกอย่างพวกเราสามารถชมการแสดงสดๆได้อย่างเพลิดเพลิน เทคโนโลยีกับโลกาภิวัตน์มันก็ดีแบบนี้ล่ะครับ
และตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นเทศกาลในปี 1999 (เว้นปี 2000 ไปปีนึง) สิ่งหนึ่งที่เป็นที่สนใจในวงการเพลงเสมอคือ การปรากฎตัวของวงที่เคยแยกวงไปแล้ว หรือการรียูเนี่ยน แบบรวมกันเฉพาะกิจนั่นเอง ซึ่งแต่ละปี ก็จะมีเซอไพรซ์ให้เราได้ตื่นเต้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวการกันของตำนานร๊อคอย่าง Faith No More ในปี 2010 โคตรเหง้าพังค์อย่าง Iggy Pop and the Stooges ในปี 2003 หรือเจ้าพ่อแห่งกำแพงเสียงอย่าง My Bloody Valentine ในปี 2009 ซึ่งแต่ละครั้งคนดูก็ได้ฮือฮาเสมอ (ผมเสียดายที่ไม่สามารถรวมการกลับมาของ Death From Above 1979 เมื่อปีที่แล้วเข้าไปด้วยได้ เพราะแม้จะเล่นได้อย่างแซ่บเวอร์แค่ไหน พวกเขากลับมารวมตัวกันอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่แค่แสดงครั้งเดียวจบ)
และในปีนี้ การรียูเนี่ยนที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการเพลงมากที่สุดคือ การปรากฎตัวบนเวที ของแรปเปอร์ในตำนานผู้ล่วงลับอย่าง Tupac ระหว่างการแสดงของ Snoop Dogg และ Dr. Dre ที่จัดว่าเป็นไฮไลต์ของงาน และเซอไพรซ์ครั้งนี้ก็เล่นเบียดเอาข่าวอื่นที่เกี่ยวกับ Coachella ตกขอบไปเลยทีเดียว
แต่ก่อนอื่น สำหรับแฟนเพลงรุ่นใหม่ คงต้องขออธิบายก่อนว่า Tupac คือใคร Tupac หรือชื่อเต็มคือ Tupac Amaru Shakur คือแรปเปอร์ที่เกิดในนิวยอร์ก แต่ไปสร้างชื่อที่ฝั่งอีสต์โคสต์ทางแคลิฟอร์เนียแทน ซึ่งตลอดช่วงเวลาสั้นๆ6ปีในวงการเพลงของเขา เขาได้สร้างเพลงฮิตและผลงานมากมายที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินฮิพฮอพรุ่นหลัง และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการเพลงฮิพฮอพไป โดยร่วมงานกับโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง Dr. Dre และเพื่อนอย่าง Snoop Dogg และนอกจากวงการเพลงแล้ว เขายังแสดงภาพยนต์อีกด้วย
แต่ถึงแม้เขาจะมีเพลงที่โดดเด่นประดับวงการเพลงไว้มากแค่ไหน (ทุกวันนี้ผมก็ยังมันกับเพลง California Love ของเขาได้เสมอ) แต่เขาก็ร่วมสร้างวัฒนธรรมแกงสเตอร์ในวงการเพลงไว้อย่างที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงโลกของฮิพฮอพได้เลย ยุค 90 กลายเป็นยุคทองของเหล่าศิลปินฮิพฮอพที่เราแทบจะแยกไม่ออกว่าพวกเขาคือศิลปินหรืออันธพาลกันแน่
และ Tupac ก็เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างแรปเปอร์ฝั่งอีสต์โคสต์และเวสต์โคสต์ พวกเขาสร้างเอกลักษณ์การใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจนและมีการปะทะกันอยู่เรื่อยๆ ไม่นับการโต้เถียงกันผ่านสื่ออีกนับไม่ถ้วน เรียกง่ายๆว่า ความดุเดือดในยุคนั้น เมื่อเอาศิลปินฮิพฮอพยุคนี้ไปเทียบ ศิลปินยุคนี้คงเป็นเหมือนแค่เด็กเกรียนเท่านั้นเอง
และในระหว่างการแสดงของ Dr. Dre และ Snoop Dogg ใน Coachella ปีนี้ เมื่อไฟมืดลง ร่างของ Tupac ก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาบนเวทีท่ามกลางเสียงฮือฮาของแฟนเพลง เขาก็ทักทายทั้งเพื่อนและแฟนเพลง เล่นเอาเฮกันทั้งหมด ก่อนที่จะเริ่มแร๊พในเพลง Hail Mary และ Gansta Party ร่วมกับ Snoop Dogg อย่างเมามันราวกับมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะมีแสงวาบและหายตัวไปพร้อมกับแสงนั้น
แต่เพียงเท่านั้น ก็เป็นการแสดงที่เล่นเอาพาดหัวข่าวไปทั้งหมด ถึงขนาดที่ศิลปินคนอื่นอย่าง Patrick Carney จาก The Black Keys ยังแอบแซวว่า จอห์น ฟอกเกอร์ตี้ ที่มาร่วมแสดงน่ะ เป็นตัวจริงนะ ไม่ใช่โฮโลแกรม
จริงๆแล้ว งาน Coachella ปีนี้ มีการแสดงดีๆไม่น้อย และการรียูเนี่ยนของวงในตำนานอย่าง At The Drive-In ที่ออกงานเทพชุดเดียวแล้วแยกวง หรือ ตำนานของ Brit Pop อย่าง Pulp ก็น่าสนใจไม่น้อย แต่ทั้งหมด ก็โดนเทคโนโลยี ที่นำเอา Tupac กลับมาจากความตาย กลบข่าวซะเงียบหมดเลยครับ
The Maccabees เริ่มต้นด้วยการร่วมแจมกันของเพื่อนร่วมโรงเรียนในลอนดอนใต้ Orlando Weeks (ออแลนโด ร้องนำ) และ Robert Dylan Thomas (โรเบิร์ต กลอง) แม้พวกเขาจะแต่งเพลงกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นจริงเป็นจังนัก จนเมื่อได้ Hugo White (ฮิวโก กีตาร์) มาร่วมวง จึงค่อยเริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกัน และได้ตัว Felix White (เฟลิกซ์ กีตาร์) น้องของฮิวโกมาร่วมวงพร้อมกับ Rupert Jarvis (รูเพิร์ต เบส) จึงเป็นการเริ่มค้นงานอย่างจริงจัง