ในยุคปี 2000 ที่ผ่านมา วงดนตรีหลายวงเกิดขึ้นมาบนโลก สร้างผลงานที่โด่งดังไปทั่วทั้งวงการ แต่กลับต้องเจอเสียงโห่เมื่อออกผลงานชุดต่อมา ทำให้อายุในวงการนั้นแสนสั้นเหลือเกิน (ถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงวงพวกนี้แบบละเอียดอีกครับ) ในทางกลับกัน วงดนตรีหลายวงที่ประสบความสำเร็จพอประมาณ มีแนวทางที่ชัดเจน ไม่ได้อิงกระแส มีฐานแฟนแน่น ได้รับคำชมเรื่อยๆจากนักวิจารณ์ วงพวกนี้มักจะอยู่ได้นานครับ และอีกวงที่มีผลงานมาแล้ว 3 อัลบั้ม แต่ยังได้รับคำชมมาตลอดก็คือ TV on the Radio นั่นเองครับ
TV on the Radio เกิดขึ้นเมื่อ Dave Sitek (เดฟ กีตาร์ คีย์บอร์ด ลูป) ย้ายไปอยู่ตึกเดียวกันกับ Tunde Adebimpe (ไม่กล้าอ่านครับ ร้องนำ) ต่างคนต่างทำเพลงของตัวเอง แต่ไปๆมาๆ พวกเขาพบว่าเพลงของแต่ละคนมันไปกันได้ จึงเริ่มอัดเสียงด้วยกับโดยดึงเอาน้องชายของเดฟมาช่วยเล่นกลองให้ จนได้อัดผลงานยุคแรก ซึ่งก็คือ OK Calculator ในปี 2002 ที่ชื่ออัลบั้มเป็นการล้อ OK Computer เบาๆ มันเป็นงานที่ค่อนข้างจะหลุดโลก โดยจะหนักไปทางเสียงสังเคราห์เอาซะมากกว่าที่จะเป็นงานที่มีกีตาร์เป็นส่วนประกอบหลักเหมือนในปัจจุบัน และค่อนข้างจะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากในการฟัง
ต่อมาพวกเขาออก Young Liars EP ในปี 2003 ซึ่งเป็น EP ที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในแวดวงดนตรีอินดี้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะได้นักดนตราแรงอย่าง Nick Zinner และ Brian Chase ของ Yeah Yeah Yeahs มาร่วมงานด้วย มันคือการจับดนตรีหลากแนวตั้งแต่ Post-Rock, Electronica กระทั่ง Doo Wop เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว และกลายเป็นเสียงเฉพาะของพวกเขาเอง มันมีเพลงเด่นคือ Staring at the Sun ที่นอกจากเสียงร้องอันยอดเยี่ยมของ Tunde จะโดดเด่นเป็นอย่างมากแล้ว เสียงหลอนๆที่ดำเนินไปตลอดทั้งเพลงนั้น ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเครื่องจักรกำลังถ่ายทอดลมปราณไปมาระหว่างหูสองข้างของเรา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นที่สนใจไปโดยพลัน
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเพิ่มสมาชิก โดย Kyp Malone (คิพ กีตาร์) Jaleel Bunton (จาลีล กลอง) และ Gerad Smith (เจอร์ราด เบส) เข้ามาเป็นสมาชิกจนครบวง และเริ่มผลิตผลงานอัลบั้มเต็ม
จนมันออกผลมาเป็นอัลบั้มแรกของวง 5 คน ที่ชื่อว่า Desperate Youth, Blood Thirsty Babes ในปี 2004 ที่ต้องทำให้เราทึ่ง เพราะว่ามันยอดเยี่ยมยิ่งกว่า EP ที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยมันเฉียบคม และมืดหม่นยิ่งกว่าเดิม นอกจากจะเอาเพลงสุดเด่นอย่าง Staring at the Sun มาใส่ไว้แล้ว เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง Wrong Way ก็เยี่ยมอย่างไม่หย่อนกัน โดยเสียงเครื่องเป่าและเสียงลูปหลอนๆตลอดเพลงนั้นปั่นหัวสมองเราได้เป็นอย่างดีจริงๆ ส่วนบีทอีเล็กโทรนิกส์ทมิฬในเพลง King Eternal ก็เหมือนกับหลุดมาจากหนังวิทยาศาสตร์ยุค 80 ไม่ผิด ส่วนเพลง Ambulance ก็ใช้การร้องแบบ Doo Wop ประกอบไปเกือบทั้งเพลง โดยเสียงร้องของ Tunde ทำให้มันโดดเด่นเหลือเกิน ยังไม่นับ Wear Me Out ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันอีก
DYBTB เป็นความสำเร็จในวงการเพลงอย่างงดงาม จากนั้นพวกเขาก็ออกทัวร์กับวงอย่าง The Faint และ Pixies อย่างไม่หยุดหย่อน แต่ก็ยังเจียดเวลาออกเพลง Dry Drunk Emperor เพลงโจมตีรัฐบาลบุชมาให้ดาวน์โหลดฟรีบนได้
ในปี 2006 วพกเขากลับมากับอัลบั้ม Return to Cookie Mountain ที่เป็นการก้าวไปข้างหน้าอย่างชัดเจนจริงๆ แค่เพลงเปิดอัลบั้ม I was a Lover ที่ผสมจังหวะฮิปฮอปเข้ากับเสียงกีตาร์ได้อย่างลงตัวก็ทำให้เราทึ่งแล้ว Hours ก็เป็นเพลงจังหวะเร็วขึ้นมา ก่อนจะได้เสียงร้องมาทำให้มันสมบูรณ์แบบ ส่วน A Method ยังมีกลิ่น Doo Wop อยู่ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน Blues From Down Here ที่ผสมนู่นนี่ได้อย่างลงตัว แต่เพลงที่เด่นสุดสำหรับผมคงเป็น Wolf Like Me ที่น่าจะเป็นเพลงที่ร๊อคที่สุดของพวกเขาแล้ว มันสะใจมากครับ อัลบั้มนี้ยังดึงเอาเพื่อนนักดนตรีหลากหลายมาร่วมงานอีกด้วย โดยที่ดังและเก๋าสุดคงเป็น David Bowie ล่ะครับ และมันก็ได้รับคำชมมากมายถึงกับได้เป็นอัลบั้มแห่งปีของนิตยสาร Spin เลยทีเดียว
และในปี 2008 พวกเขาก็กลับมาได้อย่างงดงามอีกครั้งกับ Dear Science ที่ขยายขอบเขตงานของพวกเขาออกไปกว่าเดิมอีก โดยอัลบั้มนี้ เสียงร้องของ Tunde และ Kyp โดดเด่นขึ้นมามาก The Golden Age ก็เป็นเพลงฟังค์จากอวกาศที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่ Red Dress แม้จะคล้ายกันบีททมิฬยังตามมาหลอกหลอนเราอยู่ (แอบเหมือนหมอลำเล็กๆ) และมันก็ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน Crying ก็มีเสียงร้องที่แสนงดงามบนจังหวะเพลงฟังค์แสนติดหู เช่นเดียวกับ Halfway Home เพลงเปิดอัลบั้ม แล้วปิดอัลบั้มด้วยเพลง Lover’s Day ที่ทั้งอลังการและทะเยอทยาน และ Dear Science ก็เป็นอัลบั้มที่สำคัญอีกอัลบั้มหนึ่งของวงที่มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่าง TV on the Radio
น่าเสียดายที่แม้จะได้รับความนิยมจากทั้งแฟนๆและนักวิจารณ์ และประสบความสำเร็จมาเรื่อยๆ แต่พวกเขากลับเลือกพักวงชั่วคราวเพื่อทำงานของใครของมัน คงต้องร้องเพลงรออัลบั้มต่อไปก่อนล่ะครับ