วงการดนตรีอังกฤษยุค Pre-Strokes (หรือก่อนที่วง The Strokes จะมาจุดกระแสการาจให้ดังไปทั่วนั่นเอง) ถือเป็นช่วงที่ค่อนข้างจะซบเซา เพราะไม่มีแนวเพลงหรือวงใหม่ๆมาแรงมากนัก เพราะมันคือช่วงหลังจากตลาดหุ้น Brit-Pop บูมสุดขีด จนฟองสบู่แตก และทางฝั่งอเมริกาก็กำลังรุกด้วย Nu-Metal อย่างหนัก วงอังกฤษในช่วงนั้นมักจะเป็นวงที่เน้นซาวนด์แบบ anthemic ที่สเกลใหญ่พอที่จะเติมสนามกีฬาใหญ่ๆได้ ไม่ว่าจะเป็น Travis, Coldplay หรือ Manic Street Preachers ยุค This is my truth tell me yours ที่อลังการกันแบบต้องเตรียมไฟแช๊กไว้จุดเวลาร้องตามในงานคอนเสิร์ต และอีกวงหนึ่งที่เป็นผลพวงของยุคนั้นก็คือ Starsailor นั่นเอง
Starsailor ถือกำเนิดในเมือง Wigan โดยเริ่มจากการที่ James Stelfox (เจมส์ เบส) ร่วมตั้งวงกับ Ben Byrne (เบ็น กลอง) และได้ดึงเอา นักร้องนักแต่งเพลง James Walsh (เจมส์) มาแทนนักร้องคนเก่าที่ออกไป และได้ดึงนักเล่นออร์แกนในโบสถ์อย่าง Barry Westhead (แบรี่) มาเล่นคีย์บอร์ดให้ และพอหามือกีตาร์ไม่ได้สักที Walsh เลยตัดสินใจควบตำแหน่งนี้ไปด้วยเลย และพวกเขาก็เลือกเอาชื่ออัลบั้มคลาสสิกของ Tim Buckley นั่นคือ Starsailor มาตั้งเป็นชื่อวง
พวกเขาเริ่มแต่งเพลงและออกเล่นไปตามผับ และจากความอลังการและทรงพลังในงานเพลงของพวกเขา ทำให้พวกเขาเป็นที่เลื่องลือในวงการอินดี้ทันทีถึงขนาดนิตยสารต้องเอาไปเขียนชมอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก พวกเขาก็ได้สัญญากับค่ายเพลงขนาดยักษ์อย่าง EMI
และพวกเขาก็ไม่รอช้า ผลิตผลงานแรกออกมาทันที นั่นคือซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ Fever ในปี 2001 ที่เป็นเพลงช้าๆแต่ทรงพลังเหลือเกิน สิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นต่างจากวงอื่นๆคือ เสียงร้องของ Walsh ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์ แม้จะมีหลายจุดคล้ายกับ Richard Ashcroft ของ The Verve วงบ้านเดียวกัน แต่มันก็แตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อยไป และ Fever ก็ทำให้พวกเขาได้ชื่อว่าเป็น British Best New Band ไปในทันที
หลังจาก Fever พวกเขาก็ออก Good Souls เพลงที่จังหวะเร็วขึ้นเป็นซิงเกิ้ลที่สอง และ Alcoholic เพลงที่แสนจริงจังบนเนื้อเพลงรันทด เป็นซิงเกิ้ลที่สาม และจากความยอดเยี่ยมของซิงเกิ้ล ทำให้อัลบั้มแรก Love Is Here เปิดตัวได้อย่างงดงาม ซึ่งสมควรเป็นอย่างนั้น เพราะนอกจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าแล้ว ทุกเพลงในอัลบั้มก็เปี่ยมไปด้วยพลังและความจริงจังไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Poor Misguided Fool หรือ Tie Up My Hands ทำเราขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟัง หรือเพลงอย่าง Way to Fall และ Lullaby ที่ทำให้เราทึ่งกับเสียงร้องของ Walsh จริงๆ และแน่นอนว่านอกจากยอดขายที่งดงามแล้ว อัลบั้มนี้ยังได้รับคำชมจากทั่วทุกสารทิศ มันยอดถึงขนาดที่สามารถตัดเพลงไหนมาเป็นซิงเกิ้ลก็ได้เลย
แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นเปลี่ยนแปลงไป เพราะ Strokes ทำให้วงแนวการาจติดดินมาแรงเบียดแนวอลังการไป แต่ Starsailor ก็ดูเหมือนจะโชคดี ที่เพลง Lullaby ไปเข้าหูโปรดิวเซอร์ระดับตำนานแห่งความอลังการอย่าง Phil Spector จนมาขอโปรดิวซ์งานให้พวกเขา แต่กลับกลายเป็นปัญหาเมื่อเจอความจู้จี้ของ Spector ไป และนอกจากนี้ Spector ยังโดนเรียกตัวไปสอบสวนข้อหาฆาตกรรมแฟนอีกด้วย จนพวกเขาต้องหันมาร่วมงานกับ John Leckie แทน
ด้วยเรื่องต่างๆเหล่านี้ทำให้อัลบั้มที่สอง Silence is Easy ในปี 2003 นั้นไม่อาจประสบความสำเร็จเท่าอัลบั้มก่อนหน้า แม้จะมีเพลงเด่นอย่าง Music was saved หรือ Four to Floor และปัญหาเดิมยังเรื้อรังถึง On The Outside อัลบั้มที่ 3 ที่เป็นการคืนฟอร์มอย่างสวยงามด้วยเพลงอย่าง Keep Us Together, In the Crossfire หรือ Counterfeit Life ที่ยอดเยี่ยมจนทำให้เราต้องขนลุกอีกครั้ง แต่มันกลับถูกมองข้ามอย่างน่าเสียดาย
แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยการรวบรวมกำลังกลับมาใหม่ในปีนี้ด้วยอัลบั้มที่ 4 ชื่อ All the Plans ที่เป็นการคืนฟอร์มอย่างสวยงาม ตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Tell Me it’s Not Over ที่เคล้าเสียงเปียโนกับกีตาร์อย่างงดงาม หรือ ไตเติ้ลแทร๊กอย่าง All the Plans ก็งดงามและทรงพลังไม่แพ้กัน ส่วน Star and Stripes ก็ใส่กลิ่นอายใหม่ๆเข้ามา แต่ที่เด่นที่สุดคือ Hurt Too Much ที่ทำให้เรานึกไปถึง One ของ U2 ได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันคือความงามที่เกิดขึ้นบนความเศร้า ราวกับประกายของน้ำตาที่เกิดจากการลาจาก มันคือเพลงง่ายๆที่ทำให้เราหลงรักได้ทันทีที่ได้ยิน
หลังจากเวลาผ่านไป วงการาจก็เริ่มซา และยังมีที่ให้กับวงแนวอลังการเสมอ (ดู Coldplay สิครับ) ดังนั้น เราก็หวังว่า Starsailor ก็คงจะเบียดกลับเข้าไปอยู่ตรงจุดนั้นได้ด้วยความยอดเยี่ยมของผลงานใหม่ ถ้าอยากพิสูจน์ก็ต้องลองไปหามาฟังดูครับ
No comments:
Post a Comment