Monday, October 14, 2013

John Legend ว่าที่ตำนานสมชื่อ

ในวงการเพลงโซลของชาวผิวสี ตั้งแต่ผมเริ่มฟังเพลงมา ก็เจอศิลปินเสียงระดับคุณภาพมากมายหลากหลาย ตั้งแต่ Maxwell หรือ D’Angelo รวมไปถึงศิลปินรุ่นคลาสสิกที่ทำให้ผมหลงใหล Marvin Gaye หรือ Otis Redding ที่ทำให้ผมมีความสุขเสมอเมื่อหยิบแผ่นมาเปิดฟัง แต่สำหรับตั้งแต่ยุค 2000 เริ่มต้นขึ้น ต้องยกให้ John Legend เป็นดาวเด่นแห่งยุค และพร้อมเป็นตำนานสมชื่อเขาจริงๆ

1280-john-legend-man-made-music

John Legend (จอห์น เลเจนด์) ชื่อเดิมคือ John Stephens เขาเกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในโอไฮโอ แต่ถึงพื้นฐานจะไม่ได้ดีมาก แต่ครอบครัวก็เลี้ยงเขาอย่างดี แค่อายุห้าขวบเขาก็เล่นเปียโนได้ และก็ร่วมร้องเพลงกับวงประสานเสียงของโบสถ์ตั้งแต่ยังเล็ก (ตามสไตล์โบสถ์ชาวผิวสี) แม้ต่อมาพ่อแม่เขาจะหย่าร้างกัน แต่เขาก็ยังเป็นเด็กตั้งใจ พอจบม.ปลายก็ได้มหาวิทยาลัยดังๆส่งเทียบเชิญรับเข้าเรียน แต่เขาก็เลือกเข้าเรียนที่ U. of Pennsylvania ในฟิลาเดเฟีย และเริ่มโปรเจ็คต์งานเพลงต่างๆตั้งแต่สมัยเรียน และด้วยความโดดเด่นของผลงานของเขา ทำให้เริ่มขายฐานแฟนเพลงออกไปจากฟิลาเดเฟีย กว้างไปถึงนิวยอร์ก และฝากผลงานเสียงเปียโนในเพลง Everything is Everything ของ Lauren Hill อีกด้วย

พอเรียนจบ เขาก็เข้าทำงานบริษัท แต่ก็แต่งเพลง และทำเดโม พร้อมทั้งออกงานขายด้วยตัวเองอีก จนได้ไปทำงานเป็นนักดนตรีเซสชั่นให้กับศิลปินหลายราย จนได้ไปร้องประกอบให้กับศิบปินฮิพฮอพหน้าใหม่ที่กำลังจะก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ เขาคือ Kanye West ซึ่งเมื่อคานเย่เห็นแววในตัว จึงรับจับเขาเซ็นสัญญาเข้าค่ายเพลง และเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อในวงการเป็น John Legend เพราะเพื่อนศิลปินมองความเก๋าคลาสสิกของเพลงของเขา เหมือนกับศิลปินในตำนาน ชื่อ Legend จึงน่าจะเหมาะกับเขา แม้เขาจะอายๆ แต่ก็รับชื่อนั้นมาใช้ในวงการ

เมื่อได้ป๋าดันอย่างคานเย่ที่กำลังมาแรงสุดๆในช่วงนั้น ลูกศิษย์อย่างเขาก็ได้รับการจับตามอง และเมื่ออกอัลบั้ม Get Lifted ในปี 2004 มันก็กลายเป็นงานฮิตติดตลาดเนื่องจากความยอดเยี่ยมของมัน ตั้งแต่เขาปล่อยซิงเกิ้ล Used to Love U ออกมาชิมลางก่อน มันเป็นเพลงโซลที่จังหวะเร็วขึ้นมาและมีลูกเล่นแพรวพราวสมกับที่มีคานเย่นมาช่วย พร้อมทั้งเสียงประสานที่งดงามในแบบโมทาวน์ยุคดั้งเดิม บวกกับเสียงร้องที่งดงามไร้ที่ติของเขา ไม่แปลกที่มันจะกลายเป็นเพลงฮิต และเมื่อฟังทั้งอัลบั้ม ยิ่งหายสงสัยเข้าไปใหญ่ ตั้งแต่พรีลูดไปจนจบอัลบั้ม เราจะได้เสพเพลงนีโอโซลที่ทำออกมาได้อย่างงดงามและประณีตราวกับรูปสลักของไมเคิลแองเจโล อย่างซิงเกิ้ลถัดมา Ordinary People ที่เขาครวญเพลงพร้อมโชว์ฝีมือเปียโนไปด้วย เช่นเดียวกับ So High ที่พาเราขึ้นไปสูงเสียดฟ้าสมกับชื่อเพลง โชว์พลังเสียงแบบเต็มๆ อีกเพลงที่ผมชอบมากคือ Let's Get Lifted ที่มีกลิ่นของฮิพฮอพแบบคานเย่เด่นออกมา และ Stay with You ที่งามงด บวกกับศิลปินบิ๊กเนมอย่าง Jay-Z หรือ Alicia Keys ที่มาร่วมงาน ทำให้ Get Lifted เป็นงานที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง และส่งให้ John Legend กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในทันที (จะมีข้อเสียหน่อยก็แค่ตรงรับอิทธิพล Marvin Gaye เยอะไปหน่อยนั่นล่ะครับ)

RJSUNBURST

พอดังจากงานชุดแรกได้ไม่นาน ปี 2006 เขาก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Once Again ซึ่งงานชุดนี้ ดูเหมือนเขาจะพบตัวตนในอีกมุมหนึ่ง ไม่ได้พยายามทำตัวคลาสสิกมาก แต่ทำเพลงให้ร่วมสมัยมากขึ้น ซึ่งก็ออกมาเป็นซิงเกิ้ลแรก Save Room เพลงโซลพ๊อพที่เหมาะกับการเปิดฟังนิ่มๆกับสาวคนรัก คล้ายกับ P.D.A ที่ช่าง slick เหลือเกินจนสาวไหนได้ฟังก็คงระทวย ส่วนเพลงช้าอย่าง Where Did My Baby Goก็ยังคงแสดงพลังเสียงอันงดงามของเขาเช่นเคย Once Again คืออัลบั้มที่มุ่งเจาะตลาดนักฟังเพลงทั่วไปมากกว่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าคุณภาพจะลดลงเลย และเช่นเคย เขายังประสบความสำเร็จทั้งสองทางเช่นเคย

แต่เมื่อเขาออกงานชุดที่ 3 ชื่อ Evolver ในปี 2008 หลายคนก็ต้องตกใจ เพราะมันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตามชื่ออัลบั้ม จากงานเพลงนีโอโซล เขาหันไปหาเพลงเต้นรำมากขึ้น จังหวะสังเคราะห์เพิ่มขึ้น หลายเพลงฟังเป็นเพลง R&B มากกว่าซะด้วยซ้ำ อย่าง Quickly ขณะที่ Green Light ซิงเกิ้ลแรกที่ร่วมงานกับ Andre 3000 กลายเป็นเพลงที่เหมือนทำขึ้นมาเพื่อเปิดในคลับ แม้พลังเสียงของเขาจะยังคงอยู่ แต่น่าเสียดายที่งานของเขาขาดเสน่ห์ที่ทำให้มันโดดเด่นอย่างที่เคยเป็นมา

หลังจากงาน Evolver เขายังไปประสบความสำเร็จกับการร่วมงานกับ The Roots ทำซิงเกิ้ลประกอบหนัง และทำงานเพื่อสังคม จนเล่นเอาเราคิดถึงกว่าจะกลับมาในปีนี้กับงานเพลงชุดใหม่ Love in the Future

5107016821_24d8882025_z

เมื่อได้ไล่ฟังตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก Who Do We Think We Are แม้จะมีท่อนแร๊พโดย Rick Ross แต่มันก็คืองานนีโอโซลชั้นเลิศที่ไม่ได้ยึดติดกับงานคลาสสิก กลายเป็นเพลงชั้นเลิศที่โชว์ทั้งพลังเสียงและสกิลในการแต่งเพลง และเมื่อได้ฟังทั้งอัลบั้ม มันก็คือสิ่งที่เราต้องการครับ เขากลับไปหาเสียงแบบที่เขาถนัด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ทำงานเพลงที่สุขุมกว่าเดิม และโดดเด่นในความเป็นตัวเอง ชนิดที่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างเพลิน เพลงที่พลาดไม่ได้ก็อย่าง Made to Love ที่มาพร้อมกับจังหวะสุดอลังการ ขณะที่ All of Me เพลงเคล้าเปียโนง่ายๆ แต่ช่างทรงพลังเหลือเกิน (ลองคิดถึง Someone Like You) เช่นเดียวกับ Dreams ที่งามไม่แพ้กัน ขณะที่เพลงเร็วขึ้นอย่าง The Beginning ก็เผยให้เราได้กลิ่นงานของคานเย่ปนเข้ามาด้วย ถ้าให้พูดสรุปแล้วคงต้องบอกว่า Love in the Future คืองานเพลงที่ยอดเยี่ยมมากอีกชิ้นของ Legend เป็นการกลับมาอย่างงดงาม คุ้มค่ากับการรอคอย แถมแผ่นที่ขายในไทยแถมโบนัสตั้ง 4 เพลง

แม้จะเป๋ไปกับงานชุดหนึ่ง แต่ John Legend ก็กลับมาได้อย่างงดงาม และดูเหมือนเขาจะเข้าใจดีแล้วว่าจุดแข็งของเขาคืออะไร และเมื่ออายุยังไม่มาก จากนี้ไปเขาคงจะสร้างผลงานออกมาให้เราได้ฟังกัน และกลายเป็น Legend ตามชื่อของเขาได้จริงฟ

No comments: