Monday, September 16, 2013

White Lies: การเติบโตของเด็กหนุ่ม

White Lies คือการรวมตัวกันของเพื่อนวัยเด็กสามคนจากรอบๆลอนดอนคือ Harry McVeigh (แฮรี่ ร้องนำ กีตาร์) Charles Cave (ชาลส์ เบส แต่งเนื้อร้อง) และ Jack Lawrence-Brown (แจ๊ค กลอง) เนื่องจากเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าสายใยที่เชื่อมพวกเขาไว้นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

white-lies-event

พวกเขาเริ่มต้นชีวิตนักดนตรีด้วยการตั้งวง Fear of Flying ตั้งแต่อายุแค่ 15-16 เท่านั้น และหลังจากออกผลงานเพลงแนว Funk Punk กับสังกัดอิสระมาได้แค่สองซิงเกิ้ล และเป็นที่รู้จักด้วยการออกเล่นเปิดให้รุ่นพี่บ้าง พวกเขาก็ตัดสินในยุบ Fear of Flying ในปี 2007 เพราะว่า เมื่อพวกเขาเขียนเพลง Unfinished Business เสร็จ พวกเขาก็พบว่ามันสมบูรณ์แบบตามแนวทางที่พวกเขาค้นหา และต่างจากแนวทางที่ผ่านมา จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อวงซะ

ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาคิดว่า Unfinished Business คือเพลงที่สมบูรณ์แบบ เพราะมันคือเพลงที่มืดหม่น และซับซ้อนอย่างน่าสนใจ Harry พร่ำร้องเกี่ยวกับวิญญาณของชายที่กลับมาหาภรรยาที่ฆ่าเขาตายในการทะเลาะกัน แต่ในที่สุด วิญญาณนั้นก็รู้ตัวว่าเขายังรักเธอและยังคงต้องการความรักจากเธอเสมอ มันคือนิยายฉบับสั้นที่ทำเอาเราขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟังมัน

แม้ Unfinished Business จะไม่ได้เข้าชาร์ต แต่ซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Death ก็ทำให้พวกเขาได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้ไปเล่นตามเทศกาลต่างๆ และต่อมาพวกเขาก็เข้าห้องอัดเพื่อมุ่งมั่งผลิตอัลบั้มเต็มของพวกเขาเป็นเวลาสองเดือนก่อนที่จะกลับมาเล่นสนับสนุนวงรุ่นพี่ที่หม่นน้อยกว่าหน่อยอย่าง Glasvegas และอัลบั้มของพวกเขาก็ถูกกำหนดให้ออกวางขายในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2008

และเมื่ออัลบั้มแรกของพวกเขา To Lose My Life ออกวางขาย มันก็กลายเป็นอัลบั้มแรกของปี 2009 ที่ขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ตทันที ดูเหมือนว่าผู้คนมุ่งหวังที่จะโอบรับความหม่นหมองพวกเขานำมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะความโดดเด่นของตัวอัลบั้มตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Death ที่กล่าวถึงความกลัวความตายที่ไม่รู้ว่ามันจะมาเยือนเมื่อไหร่ ที่ทำให้เรานึกไปถึง U2 (ยุคแรก) หรือ The Killers ที่สร้างสรรค์เพลงที่อลังการแต่แฝงความมืดไว้ด้วย และอีกเพลงเด่นคือ To Lose My Life ที่กลายเป็นชื่ออัลบั้ม จริงๆแล้วชื่อเต็มของมันคือ To Lose My Life Or To Lose My Love ที่กล่าวถึงการที่คนเราต้องเลือกเอาระหว่างการตายไปก่อนคนรัก (Lose Life) หรือการที่ให้คนรักตายก่อนเราแล้วจมอยู่กับความเศร้า (Lose Love) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่เป็นที่น่าพิสมัยทั้งนั้น และมันน่าจะเป็นธีมหลักในการสร้างอัลบั้มนี้ อีกเพลงหนึ่งที่ผมชอบมากคือ Farewell to the Fairground ที่กล่าวถึงการตัดสินใจลาจากสภาพที่เป็นอยู่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า เพราะมันทำให้ผมนึกถึง Ian Curtis มารำไรๆ ดนตรีของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นไอของวงรุ่นพี่อย่าง Joy Division, Echo and the Bunnymen, Nick Cave, Interpol หรือ Editors ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร เพราะการรับอิทธิพลจากรุ่นพี่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากวงเหล่านี้ก็ตาม

To Lose My Life เต็มไปด้วยสีดำ ความมืด น้ำตา เลือด ความตาย งานศพ ความเศร้า ควันไฟ มันคืออัลบั้มที่แสนหม่นจนไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากสมองเด็กหนุ่มอายุแค่ 20 อย่างพวกเขา แต่จริงๆแล้ว มันคืออัลบั้มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่เกี่ยวการมีชีวิตอยู่โดยรำลึกเสมอว่าซักวันความตายจะเข้ามาในชีวิตเราซักวันหนึ่ง และความทะเยอทะยานนั้นเองที่ส่งให้พวกเขากลายเป็นวงแถวหน้าของอังกฤษไปในทันที

3076286633_d331ff174a_z

หลังจากสร้างชื่อจากงานชุดแรก พวกเขาก็กลับมากับงานชุดที่ 2 โดยมีซิงเกิ้ลเบิกโรงคือ Bigger Than Us ที่ซาวด์จัดว่าหนักขึ้นกว่างานเดิมของพวกเขามาก และยังอลังการมากขึ้นกว่าเดิม บีทแบบดนตรีเต้นรำเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น เหมือนมันเป็นด้านมืดของ Post Punk

อัลบั้มที่สอง Ritual ตามออกมาในปี 2011 ซึ่งมันก็คล้ายกับซิงเกิ้ลเบิกโรง นั่นคือ มืดหม่น หนักหน่วง และเร็วขึ้นกว่าเดิม นอกจากซิงเกิ้ล มันยังมีเพลงเด่นอย่าง Strangers ที่เรียบเรียงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมเสียงซินธ์งามๆ เช่นเดียวกับ Holy Ghost ที่อลังการและยิ่งใหญ่เหลือเกิน Ritual ยังคงเดินตามรอยความสำเร็จของอัลบั้มแรกได้อย่างงดงาม

และในปีนี้ หลังจากปล่อยให้พวกเรารอซะนาน พวกเขาก็กลับมากับอัลบั้มใหม่ Big TV แต่ที่พวกเขาหายไปนั้น ก็ไม่ได้หายไปเปล่าๆ แต่เหมือนกับไปพัฒนาฝีมือของตัวเองอย่างเต็มที่และกลับมาพร้อมกับสกิลการแต่งเพลงที่โดดเด่นขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทะเยอทะยานขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ซิงเกิ้ลแรกที่พวกเขาปล่อยออกมาพิสูจน์จุดนั้นได้อย่างดี There Goes Our Love Again คือเพลง Post Punk ที่ยิ่งใหญ่ รวดเร็ว กระชับ และมีท่อนคอรัสที่พร้อมให้แฟนร้องตามได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกอะไรที่จะมองว่ามันเป็นเพลงที่พร้อมจะครองชาร์ตเพลงอังกฤษแล้ว

เมื่ออัลบั้มเต็มออกมา เรายิ่งได้สัมผัสถึงพัฒนาการจากอัลบั้มก่อนได้เป็นอย่างดี พวกเขาตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออก และเพิ่มส่วนที่ขาดไป ทำให้ได้เพลงที่กระชับและยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม เพลงอย่าง Getting Even ที่เพิ่มซิน์เข้ามา กลายเป็นจังหวะเต้นรำ พร้อมกับท่อนฮุคที่พร้อมจะกระชากใจเรา ขณะที่ Be Your Man มีบรรยากาศล่องลอยเพิ่มเข้ามา ส่วน Mother Tongue ก็เดินเพลงด้วยเบสได้อย่างโดดเด่น แต่ต้องไม่ลืมความยอดเยี่ยมของ Big TV ที่เปิดอัลบั้มได้อย่างงดงามด้วยเครื่องสาย ราวกับเตรียมให้เราได้รู้ว่า จากนี้ไปจะได้พบกับความยอดเยี่ยมแค่ไหน ไม่แปลกอะไรที่ Big TV จะเป็นอัลบั้มที่โดดเด่นอย่างมากในปีนี้

จากจุดเริ่มต้นที่ขายความมืดหม่นของความตาย White Lies ได้เติบโต และก้าวห่างจากอดีตออกมามาก กลายเป็นวงที่มากประสบการณ์และมั่นคงยิ่งกว่าเก่า พร้อมทั้งหลุดจากร่างของตัวเองได้อีกด้วย

No comments: