Monday, July 11, 2011

Bon Iver ล่องลอยไปกับเสียงเพลง

Technorati Tags: ,

คราวนี้ ผมจะขอมาแปลกหน่อย เพราะจะเป็นการแนะนำศิลปินที่ไม่ได้มีผลงานขายในบ้านเรา และไม่ได้โด่งดังอะไรในหมู่คนทั่วไปนักหนา แต่ผมฟังอัลบั้มใหม่ของพวกเขาได้ ได้แต่อึ้ง ทึ่ง และตะลึงในความยอดเยี่ยมของมัน จนต้องขอลัดคิวเอามาเผยแพร่ให้ได้รู้จักกับวงๆนี้ นั่นคือ Bon Iver ครับ

Bon Iver คือวงที่กำเนิดขึ้น โดยมีสมาชิกหลักสำคัญคือ Justin Vernon (จัสติน) เจ้าพ่อนักร้องนักแต่งเพลงโฟลค์ชาวอเมริกัน ที่มีผลงานสารพัดโปรเจ็คต์ (ปีที่แล้วก็พึ่งออกงานอีเล็กโทรนิกส์หลอนๆในนามวง GAYNGS หมาดๆ) โดยสมาชิกที่เหลือทำหน้าที่เล่นเสริมในคอนเสิร์ต นั่นคือ Sean Carey (ชอน กลอง) Michael Noyce (ไมเคิล กีตาร์) และ Matthew McCaughan (แมธธิว เบส)

bon_iver_08

จุดเริ่มต้อนของ Bon Iver คือ การยุบวงเดิมของ Justin ที่ชื่อ DeYarmond Edison ซึ่งเป็นวงแนวโฟลค์ เขาย้ายจากนอร์ธแคโลไลน่า กลับไปวิสคอนซิน และฝังตัวเองอยู่ในกระท่อมในป่า ซึ่งเขาใช้เวลาในนั้นเป็นเวลา 3 เดือน เดิมที่เขาแค่จะเข้าไปเพื่อหาความสงบ และมองย้อนไปในอดีตเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่า เขาสามารถแต่งเพลงวันละ 12 ชั่วโมง และอัดเพลงแบบตามมีตามเกิด หาอุปกรณ์นู่นนี่มาสร้างเสียงต่างๆ จนได้เพลง 9 เพลงที่จะกลายมาเป็นเพลงในอัลบั้มแรกของเขาจนได้

ส่วนชื่อวง Bon Iver นั่น มาจาก การที่เขาได้ดูสารคดี และเห็นคนทักกันเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Bon Hiver ที่แปลว่า Good Winter ซึ่งเขาชอบมันมาก แต่ก็เปลี่ยนเป็น Bon Iver แทนตามความชอบส่วนตัวของเขา

แม้ชื่อวง และตัวเพลงจะพร้อม แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะปล่อยมันออกมาวางขาย เขากะแค่จะใช้มันเป็นงานเดโม ส่งไปตามค่ายเพลง แล้วค่อยมาอัดใหม่อีกทีเมื่อได้สัญญา แต่เมื่อเขาทำออกขายในจำนวนจำกัด ผลตอบรับที่ดี ทำให้เขาได้รับสัญญาจากค่ายอินดี้ Jagajaguwar และทำมันออกวางขายทั้งอย่างนั้นเลย และทำให้เขาได้เรียนรู้อีกว่า เขาไม่ต้องการซาวด์เอ็นจิเนียร์ และ โปรดิวเซอร์ในการทำเพลงเลย เนื่องจาก เขาทำมันเองได้ทั้งหมด

Bon_Iver_3

เมื่อได้สัญญาสมาชิกวงก็ตามมา Sean เข้าติดต่อเขาหลังคอนเสิร์ตโดยบอกว่าร้องและเล่นกลองได้ทุกเพลง Michael คือลูกศิษย์เรียนกีตาร์ของ Justin ส่วน Matthew ก็เจอกันระหว่างทัวร์

ผลงานแรกของเขา For Emma, Forever Ago ออกวางขายในช่วงต้นปี 2008 โดยในยุโรปได้ 4AD ค่ายเพลงระดับเทพเป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งแม้ตัวงานจะทำยอดขายได้เงียบๆ ไม่หวือหวามาก แต่มันได้รับคำชมจากนักวิชาการเป็นอย่างมาก จนติดชาร์ตอัลบั้มเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีของหลายๆสำนักเลยทีเดียว

For Emma, Forever Ago คืองานเพลงโฟลค์สมัยใหม่ ที่ไม่ได้พึ่งพาเสียงกีตาร์โปร่งอย่างเดียว มันเป็นงานเพลงโฟลค์ชั้นยอดเทียบเท่ากับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Iron & Wine เลยทีเดียว Skinny Love ซิงเกิ้ลแรก คือตัวอย่างของการทำเพลงโฟลค์นิ่มๆประสานไปกับเสียง Falsetto ของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วน The Wolves (Act I And II) ก็สร้างบรรยากาศเฉพาะตัวได้เป็นอย่างดี For Emma ซิงเกิ้ลอีกตัว ก็เป็นเพลงโฟลค์เพราะๆสบายๆ ชวนเราขับรถไปตามถนสายยาวเหยียดของเมริกาเป็นอย่างดี

หลังจากงานชิ้นแรกออกวางขาย พวกเขาก็เริมเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น และในปี 2010 เพลง The Wood ที่เป็นเพลงแถมใน EP Blood Bank ถูก Kanye West แซมเปิ้ล ไปใช้ในเพลง Lost in the World และเขายังถูกเชิญไปร่วมแจมในเพลง The Power อีกด้วย ทำให้ Bon Iver (Justin Vernon) เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ก่อนจะถูกดึงไปเข้าค่ายเพลง Good Music ของ Kanye

bon-iver-sasquatch-festival-2009--large-msg-124339759964

และในปีนี้ เขาก็ออกงานใหม่ ชื่อ Bon Iver, Bon Iver ซึ่งเป็นงานที่แตกต่างไปจากงานชุดเดิมมาก จากงานที่เป็นเรื่องราวส่วนตัวของเขา อัลบั้มนี้ เขาเลือกเดินทางผจญภัยไปเพื่อค้นหาเสียงใหม่ๆ เขาเลือกใช้ Auto-Tune เพื่อสร้างเสียงใหม่ๆ (แบบในเพลง The Wood) รวมไปถึงการรับความช่วยเหลือจากนักดนตรีหลายราย จนแทบไม่เหลือคราบเดิมเลย แค่เพลงเปิด Perth มันคือการรบกันของเสียงต่างๆ ตั้งแต่กีตาร์ที่ค่อยๆร้อยเรียงทำนองขึ้นมาก กลองที่กระหึ่ม ยังมีเสียงทรัมเป็ตเข้ามาร่วมรบอีก เป็นการผสมผสานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เขากลับทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนกับเตือนเราว่า จากนี้ เราจะได้ท่องเข้าไปในมิติอันแปลกประหลาดของเสียงต่างๆ

เพลงต่างๆในอัลบั้มร้อยเรียงและผสมผสานกันไปได้เนียนอย่างไม่น่าเชื่อ และทุกเพลงจะเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆเสมอ Minnesota, WI ก็เป็นเพลงที่ลึกลับด้วยเสียงประสานต่างๆ จุดพีคของอัลบั้มคงต้องยกให้เพลง Calgary ที่เหมือนกับการนำเอาเพลง AOR จากยุค 80 มาทำให้ให้ทันสมัยขึ้น บวกกับบรรยากาศเฉพาะตัวของมัน ทำให้ได้เพลงที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างกับ Midlake เลยทีเดียว ก่อนจะปิดอัลบั้มด้วย Beth/Rest ที่เล่นกับบรรยากาศอย่างเต็มๆเลยทีเดียว และ Bon Iver, Bon Iver ก็กลายเป็นงานที่ได้รับทั้งเงินทั้งกล่อง เพราะนอกจากยอดขายที่ยอดเยี่ยมแล้ว นักวิจารณ์ส่วนมากยังให้คะแนนมันสูงมากด้วย

แม้ Bon Iver จะเป็นเพียงหนึ่งในโปรเจ็คต์สารพัดของ Justin Vernon แต่จากความสำเร็จครั้งนี้ คงจะทำให้เข้าขยันออกงานในชื่อนี้มากขึ้นล่ะครับ

Monday, July 4, 2011

The Lonely Island บ้าแบบไม่ต้องคิด

Technorati Tags: ,

ตอนที่ท่านอ่านคอลัมน์นี้ เราคงทราบผลเลือกตั้งกันแล้วนะครับว่า ตกลงผลมันออกมาเป็นยังไง แดงทั้งแผ่นดินมั้ย หรือจะได้ฝาแฝดอินจันกลับมา หรือจะได้เฮียหูกางมาจิบไวน์ปรองดอง หรือจะได้เห็นเขียวทั้งแผ่นดินแทน ผมเองกำลังนั่งเขียนอยู่ ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าจะเป็นไง แต่ก็ขอบอกตามตรงว่าลุ้นสุดตัวเหมือนกันครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเรียบร้อยได้ง่ายๆหรอกครับ แต่ผมคิดว่า อย่างน้อย การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นตัวบ่งชี้อะไรได้หลายๆอย่าง และเป็นมาตราฐานให้เรากันเองทราบว่า จริงๆแล้วเราคิดอย่างไรกันแน่ ก็หวังว่าทุกๆท่านจะทำใจ รับผลเลือกตั้งได้ แม้ไม่ได้คนที่รักหรือพรรคที่ชอบ และไม่ก่อปัญหาเพิ่มนะครับ ส่วนตัวผม วันเครียดๆแบบนี้ ผมเองก็คิดอยู่ว่าจะเขียนเรื่องอะไร พอดีมานั่งเปิด MV ใน Youtube ดู ก็เจอวงสุดฮาวงโปรดอย่าง The Lonely Island มาคลายความเครียดให้ เลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟังครับ

Incredibad-Wallpaper-the-lonely-island-4066737-1600-1200

บางทีเราจะเรียก The Lonely Island ว่าวงดนตรี ก็คงเรียกได้ไม่เต็มปากนัก เพราะจริงๆแล้ว พวกเขาน่าจะถูกเรียกว่านักแสดงตลกซะมากกว่า (นึกถึงเพลงกินตับเขาไว้) เพราะพวกเขาประจำอยู่ที่รายการ Saturday Night Live รายการตลกชื่อดังของอเมริกาที่สร้างดาราตลกรุ่นพี่มานับไม่ถ้วนอย่าง Adam Sandler หรือ Mike Myers และ The Lonely Island มีสมาชิกหลัก 3 คนคือ Adam Samberg (อดัม) Kiv Schaffer (คิฟ) และ Jorma Taccone (จอร์ม่า) ซึ่งพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม และหลังจากพยายามไปแคสต์งาน พวกเขาก็ได้งานโอกาสที่รายการ SNL โดย Adam ถูกดึงเข้าไปก่อนในฐานะนักแสดง และเพื่อนอีกสองคนจึงถูกดึงตัวตามไปเป็นนักเขียน

พวกเขาเริ่มสร้างชื่อด้วยการถ่ายทำ MV เพลงฮาๆ ของตัวเองมาเปิดในรายการ โดยเริ่มต้นที่เพลง Lazy Sunday ที่เป็นเพลงแร๊พที่พยายามทำตัวเก๋ามาก แต่ร้องเกี่ยวกับเรื่องราวที่ไร้สาระและกิ๊กก๊อกแบบสุดๆ ก่อนที่จะตามมาด้วยเพลง Natalie’s Rap ที่ดังพอตัว

แต่เพลงที่น่าจะทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นคือ Dick In A Box เพลงที่ได้ไอ้หนุ่ม Justin Timberlake มาร่วมร้อง เกี่ยวกับการเอิ่ม ตามชื่อเพลงน่ะครับ การเจาะกล่องแล้วเอาของใส่ลงไปเป็นของขวัญให้สาว คุณไม่เข้าใจภาษา คงจะนึกว่าเป็นเพลง R n B ยุค 90 ดีๆซักเพลง แต่ต้องลองดูวิดีโอเถอะครับ และเพลงนี้ก็กลายเป็นซิงเกิ้ลอย่างเป็นทางการของพวกเขาไปครับ

justin_timberlake_dick_box

ซิงเกิ้ลต่อมา ทิ้งช่วงห่างสองปี มาออกในปี 2008 นั่นคือ Jizz In My Pants เพลงที่ดนตรีสุดเท่ห์ แต่เนื้อเพลงกับเกี่ยวกับหนุ่มๆที่สามารถ “เสร็จ” ได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่บังเอิญจับมือสาว สาวมองตา นาฬิกาปลุกดัง ไปถึงลมเย็นพัดมา (อะไรมันจะขนาดนั้น)

แต่เพลงที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในวงกว้างคือ I’m on a Boat เพลงแร๊พโชว์พาวแบบทึ่มๆ ว่าได้นั่งเรือยอชท์ กลายเป็นเพลงดังที่ส่งให้พวกเขาได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่เลยทีเดียว (ใครเช็คอินบนเรือใน Four Square ก็จะได้เห็นเนื้อเพลงนี้ล่ะครับ)

ซิงเกิ้ลที่ 4 เพลง Like A Boss ก็ไม่มีอะไรนอกจากบอกว่าทำทุกอย่าง แบบบอสบอส เน้นฮาแบบไร้สาระ แต่กลับกลายเป็นวลีเด็ดมุขดังทางอินเตอร์เน็ตเลยทีเดียวครับ ลองไปเสิร์ชดูได้ ส่วนซิงเกิ้ลที่ 5 Boombox เป็นเพลงโปรดของผมเลยทีเดียว เพราะว่าได้พี่จูเลี่ยนแห่ง The Strokes มาร่วมครวญเพลงเอาฮา ว่า บูมบ๊อกซ์ สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ในโลกนี้ นึกไม่ถึงว่าพี่แกจะยอมมาร้องเพลงไร้สาระแบบนี้ แต่ก็ฮาแบบสุดๆ และในที่สุด พวกเขาก็รวมเพลงฮาทั้งหลาย ใส่ในอัลบั้มแรก Incredibad ซึ่งออกวางขายในปี 2009

พวกเขาตามความสำเร็จด้วย I just Had Sex ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มถัดมา เพลงนี้มา Akon มาร่วมร้องเพลงดีใจที่ได้ปั่มป๊ามสาวนั่นเองครับ จริงๆแล้ว เพลงมันดีนะครับ แต่เนื้อร้องนี่ ฮาแตก

TheLonelyIslandBio

หลังจากนั้น พวกเขายังคงปล่อยเพลงฮาๆตามมาอย่าง The Creep ที่ออกมาปล่อยมุขฮาเรื่องการทำตัวเลียนแบบเจ้าพ่อแห่งความน่าแหยะอย่าง John Waters หรือเพลง Jack Sparrow ที่ได้เจ้าพ่อแหบอย่าง Michael Bolton มาบ้าร้องเพลงเกี่ยวกับกับตันแจ๊ค ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อเพลงหลักเลย หรือกระทั่งเพลงแสบๆอย่าง Mother Lover ที่ได้ Justin Timberlake มาร่วมงานอีกครั้ง เกี่ยวกับการสร้างสรรความสุขให้แม่ของเพื่อน (ไม่กล้าเขียนตรงๆ) และยังมีเพลงบ้าบออีกสารพัดครับ ลองไปหาฟังได้ในอัลบั้มที่สอง Turtleneck and Chain ที่ออกวางขายในปีนี้ครับ

และล่าสุด พวกเขาได้ Justin Timberlake มาร่วมงานในบทบาทเดิม โดยมีแขกที่ยิ่งใหญ่ระดับเบิ้มอีกคนคือ Lady Gaga มาเลยครับ กับเพลง 3 Ways (The Golden Rule) ที่เกี่ยวกับ เอิ่ม 2 ต่อ 1 น่ะครับ ฮาแบบไร้สาระสุดๆ

ที่ผมไล่เรียงมานี่ ลองไปเสิร์ชดูตาม Youtube เถอะครับ รับรอง ไม่พลาดได้ฮาแน่ๆครับ หวังว่าจะช่วยแก้เครียดหลังทราบผลเลือกตั้งได้นะครับทุกๆท่าน