Saturday, April 24, 2010

Oasis มันจบแล้วครับนาย (ตอนแรก)

Technorati Tags: ,

พาดหัวข้อมาด้วยประโยคดังจากนักการเมืองชวนเสียวเล่นๆอีกแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรหรอกครับ แค่คิดว่า ประโยคนี้มันได้อารมณ์เวลาอะไรบางอย่างมันจบลงได้ดีจริงๆ จริงๆ บทความนี้ ถือว่าเก่าเกินกว่าที่จะลงในหนังสือพิมพ์รายวันแล้ว เพราะว่า ข่าวมันเก่าพอๆกับการที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การจบลงของวงระดับตำนานอย่าง Oasis ของไอ้สองพี่น้องคิ้วหนาตระกูลกัลลาเกอร์นั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าที่คนที่โตมาในยุค Brit Pop อย่างผมจะละเลยไปได้จริงๆ จึงต้องขอเอาเรื่องนี้มาขยายเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับวงๆนี้ด้วยครับ

จริงๆแล้ว วงOasis ไม่ได้เริ่มต้นจากสองพี่น้องตัวแสบ แต่เป็น Paul McGuigan (พอล เบส) Tony McCarroll (โทนี่ กลอง) และ Paul “Bonehead” Arthurs (โบนเฮด กีตาร์) ที่เริ่มตั้งวง The Rain ขึ้นมาก่อน ก่อนที่จะถีบนักร้องนำออก แล้วดึงเอา ไอ้ Liam Gallagher (เลียม ร้องนำ) เข้ามา และเริ่มการเปลี่ยนแปลงด้วยการ เปลี่ยนชื่อวงเป็น Oasis แทน ซึ่งแน่นอนว่ามันดีกว่าชื่อเห่ยๆอย่างเดิม และเมื่อ Noel (โนเอล กีตาร์) พี่ชายของเลียมที่ตอนนั้นยังเป็นคนแบกของให้วง Inspiral Carpets อยู่ ได้มาดูวงน้องตัวเองเล่น เขาก็เห็นโอกาสที่จะใช้วงนี้เป็นทางแสดงออกของเขา โดยเขามีเพลงที่แต่งทิ้งไว้เป็นกระบุง เขาเลยเสนอตัวเป็นมือกีตาร์และนักแต่งเพลงหลักของวง และจากวันนั้นตำนานบทใหม่ก็ถือกำเนิดOasis_original_line_upLiam_Gallaher_Noel_Gallaher_Tony_McCarroll_Paul_Arthurs_McGuigan

พวกเขาเริ่มทำงานหนัก และแนวทางแต่งเพลงของพวกเขาคือ เล่นมันแบบง่ายๆ แต่ทรงพลัง และเมื่อพวกเขาไปเตะตาของ Alan McGee เจ้าของค่ายเพลง Creation หนึ่งในค่ายเพลงสุดเจ๋งในยุคนั้น พวกเขาก็ได้สัญญากับค่ายเพียง 4 วันหลังจาก McGee ได้ดูพวกเขาเล่นสด

หลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มออกผลงาน โดยเดโมของพวกเขาคือ Columbia ที่ไม่มีใครจดจำได้มากนัก แต่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Supersonic กลายเป็นเพลงฮิตเข้า Top 40 ได้ และส่งให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โดยที่มันเป็นเพลงร๊อคแบบเรียบง่ายตามแบบฉบับของวงที่ได้อิทธิพลจาก The Beatles โดยที่เสียงกีตาร์ของโนเอลโดดเด่นเอามากๆ รวมไปถึงเสียงร้องแบบยียวนกวนซ่งติงของไอ้เลียม ทำให้มันเป็นเพลงที่โดดเด่นจริงๆ

และ Shaker Maker ก็ เป็นซิงเกิ้ลถัดมาที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น แต่เป็นซิงเกิ้ลที่สาม Live Forever ที่ส่งให้พวกเขากลายเป็นดาราของวงการเพลงอินดี้อังกฤษไปเลยทีเดียว และเมื่องซิงเกิ้ลที่ 4 อย่าง Cigarettes and Alcohol ออกวางขาย พวกเขาก็กลายเป็นขวัญใจของวัยรุ่นอังกฤษเลยทีเดียว และนั่นหมายถึงความสำเร็จของอัลบั้มแรก Definitely Maybe ที่ออกวางขายในปี 1994 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่กลายเป็นตำนานไปแล้ว

มองจากสังคมอังกฤษในช่วงนั้น ก็ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะดังขึ้นมา เพราะมันคือช่วงซบเซาของวงการเพลงอังกฤษที่กำลังโดนกรันจ์ของอเมริกาเข้ามาตีอย่างหนัก ในขณะที่กระแสเรฟก็ซาลง Madchester ก็เมายากันยับอยู่ พวกเขาต้องการอะไรบางอย่างที่เป็นตัวแทนของพวกเขา และอัตลักษณ์ของ Oasis ก็ตรงใจวัยรุ่นและคนใช้แรงงานในอังกฤษ พวกเขาคือตัวแทนของชาวแรงงาน คนต่างจังหวัด และตัวแทนของวัฒนธรรมย่อย (Sub-Culture) ที่เรียกว่า Lad ที่เป็นพวก เตะบอล กินเบียร์แทนน้ำ สูบบุหรี่จัด ชกต่อยเป็นปกติ ห่ามๆ และ Oasis ก็หลายเป็นเหมือนศาสดาของ Lad ไปแล้วoasis-original-1995-corbis-460-100-460-70

นอกจากเพลง พวกเขายังเป็นตำนานของความแสบในอีกหลายเรื่อง เช่น โนเอลเคยทำงานพิเศษเป็นเด็กปั๊ม และไปขูดสีรถของ Eric Cantona ดาวดังแมนยูยุคนั้น สาเหตุเพราะเขาเชียแมนซิตี้ หรือการที่พี่น้องทะเลาะกันถึงขนาดค่าย Fierce Panda ยังเคยเอาบันทึกการทะเลาะกันมาออกวางขาย พวกเขาทั้งเกลียดทั้งรักกัน ขนาดที่โนเอลบอกว่า การนั่งเครื่องบินไปอเมริกาข้างไอ้เลียม คือความทรมานเหลือทน

พวกเขากลายเป็นวงดังไปทั่วอังกฤษ แต่จุดพีคของพวกเขากำลังจะมาถึง พวกเขาเริ่มออกซิงเกิ้ล Some Might Say เป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มต่อมา ซึ่งมันขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งเลยทีเดียว จุดสนุกมันอยู่ที่ ช่วงนั้นเป็นช่วงเบ่งบานสุดๆของ Britpop และ Cool Britannia แต่พวกเขากลับไม่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ Britpop และ นักข่าวเริ่มได้กลิ่นว่าพวกเขาไม่ถูกกับวงที่เป็นตัวแทนของ Britpop อย่าง Blur เอามากๆ และการกำหนดการวางแผง Roll With It ของพวกเขาในวันเดียวกับ Country House ของวงเบลอในวันเดียวกัน ก็กลายเป็นการเปิดศึกของสองวงยักษ์ที่ได้ไปพาดหัวหนังสือพิมพ์เลยทีเดียว คงไม่มีอีกแล้วที่การขัดแย้งในวงการเพลงจะได้รับความสนใจจากมหาชนขนาดนี้ (ไม่นับรายการรีลลิตี้เน่าๆ) แล้ว แม้ Roll with It จะแพ้ไป แต่พวกเขาก็ได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการเพลงอังกฤษไปเรียบร้อยแล้ว

เขียนเพลินๆก็ฟาดไปหนึ่งตอนแล้ว มาคอยอ่านต่อเกี่ยวกับพวกเขาอีกทีอาทิตย์หน้าแล้วกันนะครับ ของดี ครั้งเดียวย่อมไม่พอ

Monday, April 19, 2010

Malcolm McLaren ผู้สร้างพังค์

ช่วงที่ผ่านๆมา ด้วยเหตุการณ์หลายๆอย่างในชีวิต ทำให้ผมงัดเอาอัลบั้ม Never Mind The Bollocks ของ The Sex Pistols มาฟังด้วยความคิดถึง เนื่องจาก เหตุแรกคือ การ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ผมพึ่งแปลจบไป มันเกี่ยวกับพังค์แบบเต็มๆ และแหกปากร้องเพลงของ The Sex Pistols ตลอด ทำให้ผมต้องนั่งแปลเนื้อเพลงด้วย อีกเหตุคือ สถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้ มันเข้าข่ายอนาธิปไตยจริงๆ ต่างฝ่ายต่างราวีกันแบบไม่ยั้งมือ จนนึกถึงความปั่นป่วนในเพลงๆนี้ขึ้นมาตะหงิดๆ โดยส่วนตัว ผมสนับสนุนเรื่องการแสดงออกซึ่งความคิดทางการเมืองบนสันติวิธี ขอเพียงไม่ไปก่อความเสียหายให้กับใครเท่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงน่าเศร้าเกินกว่าที่ผมจะสรุปออกมาได้

แต่เหตุสุดท้ายนั้นมาแบบไม่คาดถึง Twitter ของผมรายงานขึ้นมาว่า Malcolm McLaren จากโลกไปแล้วด้วยอายุ 64 ปี นั่นทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมาก สำหรับหลายๆคนในบ้านเราคงจะงงว่า ใครวะ แต่สำหรับคนที่ชอบดนตรีแล้ว นี่คือการสูญเสียอัจฉริยะอีกคนหนึ่งแห่งวงการเพลงไปจริงๆ เพราะหากไม่มีเขาแล้ว วงการเพลงอาจจะไม่มีเพลงพังค์ บทเพลงแห่งขบถ ที่เป็นรากฐานให้กับวงดนตรีอีกหลายต่อหลายวงในยุคต่อมาจริงๆ

r148-malcolm-mclaren

จะถามว่า เขามีอิทธิพลถึงขนาดนั้นจริงหรือ ก็คงต้องมาดูกันว่าเขาเคยทำอะไรมาบ้าง หลังจากออกจามหาวิทยาลัย เขาก็กลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตวิญญาณนักปฏิวัติที่ถึงขนาดจะนั่งรถไฟไปที่ปารีสเพื่อร่วมขบวนประท้วงเลยทีเดียว แม้จะไม่สำเร็จ แต่จิตวิญญาณการประท้วงก็ฝังอยู่ในตัวของเขาแล้ว

ต่อมาเขาเปิดร้านขายเสื้อผ้านในลอนดอนกับ Vivienne Westwood แฟนสาวของเขาซึ่งจะกลายมาเป็นดีไซเนอร์ระดับโลกในภายหลัง แต่เขาก็เบื่อที่ร้านทำตลาดกับเด็กแนว Teddy Boy เป็นหลัก เขาไปร่วมงานเสื้อผ้าในนิวยอร์กและได้พบกับ The New York Dolls ซึ่งต่อมาเขาได้กลายเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าและแนวทางตกแต่งเวทีให้กับทางวง

webStuartNicol_EveningStand

ถึงตอนนี้ บางคนยังงงว่า The New York Dolls คือใคร เขาคือวงหัวก้าวหน้าที่เริ่มต้นดัดแปลงเพลงร๊อคให้ออกมาแตกต่าง และจะเรียกว่าเป็นอีกรากของวงพังค์ก็ได้ แม้พวกเขาจะไม่ได้โด่งดังมากนัก แต่พวกเขาก็ส่งอิทธพลให้กับวงรุ่นหลังเยอะจริงๆ เครื่องแต่งกายที่ McLaren ออกแบบให้คือ ชุดหนังและแฟชั่นแบบกะหรี่ราคาถูก ที่ต่อมาวงอย่าง Manic Street Preachers ยังขอลอกเลียนมาใช้ และการที่ McLaren ดึงเอาเครื่องหมาย ค้อนและเคียว มาประกอบเวที ทำให้เห็นชัดถึงการต้องการสร้างข้อถกเถียงของเขาจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ New York Dolls มีอายุไม่ยาวนานนัก

เขากลับมาอังกฤษ และยังทำเรื่องแสบสันต์อีกด้วยการเปิดร้านชื่อ Sex ขายอุปกรณ์ทารุณกรรมทางเพศ และเริ่มจัดการวง The Strand ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นวง The Sex Pistols ที่โด่งดังนั่นเอง

จะว่าไป หากไม่มีมันสมองของเขาแล้ว the Sex Pistols คงไม่มีทางจุติ หรือโด่งดังได้ขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า เขาเป็นคนที่จัดการเกี่ยวกับวงทั้งหมดนั่นเอง ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเป็นคนจับสมาชิกของวงมาขยำกัน ไล่คนที่ไม่ต้องการออก กระทั่งไปเจอ John Lydon ที่เดินทำหัวเขียวตั้ง ใส่เสื้อด่าวง Pink Floyd เขาก็จับมาเปลี่ยนชื่อเป็น Johnny Rotten และเปลี่ยนชื่อวงเป็น The Sex Pistols ให้เป็นที่ถกเถียงกันอีกSex Pistols, London, 197

หลังจากจัดการสารพัดอย่าง และ the Sex Pistols เป็นที่รู้จักหลังจากไปสบถในรายการสดทางทีวี พวกเขาก็ดังไปทั่ว ต่อมา Glen Matlock มือเบสของวงก็ออกจากวงไป ว่ากันว่าเป็นเพราะว่าเขาไม่เหมาะกับอิมเมจของวง เป็น McLaren อีกนั่นแล ที่ดึงเอาแฟนเพลงของวงและเพื่อนของ Rotten อย่าง Sid Vicious ที่เล่นเบสไม่เป็นมาเล่นเบสแทน เพราะว่าSid ซัดนักข่าวของ NME ด้วยโซ่มอเตอร์ไซค์ และ Sid Vicious ก็กลายเป็นไอดอลของพังค์และภาพต่างๆของเขาก็ยังขายดีจนถึงทุกวันนี้ พวกเขายังสร้างความแสบด้วยการเหมาเรือแล้วไปเล่นสดในแม่น้ำเธมส์ฝั่งตรงข้ามรัฐสภาอังกฤษ จนโดนจับและเป็นที่โจษจันอีกครั้ง และยังคงสร้างความโจษจันต่างๆนาๆจนกว่าพวกเขาจะแตกวงไป

หากไม่มี McLaren แล้ว Punk คงไม่ได้ลืมตาอ้าปากขนาดนี้ แม้เขาจะจัดการ The Sex Pistols จนเหมือนกับผู้จัดการวงป๊อปที่ทำทุกอย่างแทนวง แต่ก็ต้องยอมรับความอัจฉริยะของเขาจริงๆ แม้จะมี The Stooges ที่ทำเพลงแนวนี้มาก่อน แต่ก็ต้องยกให้เขาที่นำความสำเร็จในวงกว้างมาให้กับดนตรีพังค์จริงๆ

หลังจากนั้น Malcolm McLaren ก็กลายเป็นศิลปินเดี่ยว ออกผลงานของตวเอง และปรากฎตัวตามงานต่างๆ รวมถึงรายการรีลลิตี้อีกด้วย เขายังเป็นที่สนใจของสังคมอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมาด้วยวัย 64 ปี ปิดตำนานผู้นำเอาดนตรีพังค์มาให้โลกได้รู้จัก

ปล. ขอไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตทุกรายในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ขอให้ได้พักผ่อนอย่างสงบ