จู่ๆ ใครจะเชื่อนะครับว่า ลมหนาวที่โผล่มาทักทายบางกอกได้วันสองวันแล้วหายไป มันจะกลับมาอีก แล้วรอบนี้กลับมาที ยาวและหนาวเชียว น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมอยู่กรุงเทพแล้วรู้สึกหนาว แต่ก็ยังธรรมดาถ้าเทียบกับที่ขอนแก่นแต่ก่อน แต่เวลาอากาศหนาวๆแบบนี้ แทนที่จะฟังเพลงร๊อคที่เร่าร้อน อากาศชิลๆแบบนี้ ก็ขอฟังเพลงนิ่มๆ เบาๆ ฟังสบาย และอีกหนึ่งศิลปินที่ผมชอบฟังในช่วงนี้เหลือเกินคือ Aloe Blacc หนุ่มผิวสีเจ้าของเสียงร้องระดับเทพ
Aloe Blacc เกิดในครอบครัวชาวปานามาที่อาศัยอยู่ในออเรนจ์เคาน์ตี้ แคลิฟอร์เนีย เขาโตมากับการเล่นทรัมเป็ตตั้งแต่ชั้นประถม ซึ่งเขาก็เป่าอย่างจริงจังมาเรื่อยๆ จนช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็เลือกให้ความสำคัญกับการเรียนก่อนดนตรี แต่ถึงอย่างนั้น ก็สามารถเรียนรู้การเล่นกีตาร์ และเปียโน หลังจากจบการศึกษาจาก USC เขาก็เข้าทำงานในบริษัท แต่สุดท้าย เขาก็ทนแรงดึงดูดของวงการเพลงไม่ไหว ต้องออกจากงานหันกลับมาทำงานเพลงตามที่ใจเรียกร้อง
เขาร่วมงานกับ DJ Exile ที่เคยทำงานกันมาตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่น ตั้งวงฮิพฮอพกันโดยตั้งชื่อว่า Emanon หรือ No Name ที่สะกดกลับหลัง ซึ่งวงของพวกเขาก็ได้รับความนิยมในวงการใต้ดิน และออกผลงานอย่างต่อเนื่องสร้างชื่อได้ไม่น้อย แต่ในระหว่างเดียวกัน Aloe ก็ทำงานเพลงเดี่ยวด้วยการออก EP เป็นของตัวเอง จนหลังจากที่ Emanon ออกงานชิ้นสุดท้ายในปี 2005 Aloe ก็กลายเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว
Aloe ออกอัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวชื่อ Shine Through ในปี 2006 ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ผสมดนตรีโซลคลาสสิกกับดนตรีละติน รากกำเนิดของเขา และมันก็ชวนให้ทึ่งตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Whole World ที่เป็นเพลงโซลคลาสสิกกับเสียงร้องที่ทำให้เรานึกถึงนักร้องผิวสีรุ่นพี่อย่าง Marvin Gaye แต่ร้องอยู่บนจังหวะทริพฮอพ ซึ่งบีทแบบนี้ก็ยังลามไปเพลงต่อไป Long Time Coming ที่โชว์พลังเสียงที่ยอดเยี่ยมของเขา ก่อนที่จะตัดไปเพลง Busking ที่โชว์พลังเสียงที่งดงามของเขา และ Bailar (Scene 1) ที่ใส่กลิ่นเพลงละตินเข้าไปได้อย่างยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ความยอดเยี่ยมของช่วงต้นอัลบั้มไม่ได้แพร่ไปทั้งหมด เพลงอื่นกลายเป็นเพลงR&Bมาตรฐานไป ซึ่งไม่ใช่เพลงที่แย่ แต่มันสู้ความยอดเยี่ยมของเพลงในช่วงต้นอัลบั้มไม่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเซอไพรซ์ที่เพลงแถมท้ายอัลบั้ม ที่เป็นการนำเพลง Ordinary People ของ John Legend มาเรียบเรียงใหม่เป็นเพลงละตินในภาษาสเปน เจ๋งมากครับ แม้จะไม่ได้ทำยอดขายโดดเด่นมาก แต่ความเด่นของ Shine Through ก็ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงการเพลงมาขึ้นกว่าเดิม
การกลับมาของเขาในปี 2010 กลายเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม จากแววความยอดเยี่ยมที่มีให้เห็นในอัลบั้มที่แล้ว กลายมาเป็นความยอดเยี่ยมในอัลบั้มใหม่ Good Things ซึ่งเป็นการนำเพลงโซลคลาสสิกมาเล่าปัญหาในสังคมยุคใหม่ ตั้งแต่เพลงเปิดตัว I Need a Dollar ที่เล่าเรื่องราวของชายตกยาก สิ้นไร้ไม้ตอก ช่างเป็นเพลงแห่งยุคหลังความล่มจมจากซับไพรม์ของอเมริกาไม่แพ้ All of the Lights ของ Kanye West เลยทีเดียว นอกจากความยอดเยี่ยมของมันเองที่ทำให้ข้ามไปติดชาร์ตเพลงในหลายๆชาติ การที่มันถูกนำไปใช้เป็นเพลงเปิดทีวีซีรีย์ How to Make It in America ก็ส่งให้เพลงและตัวเขาดังขึ้นไปอีก ดูเหมือนกว่าอนาคตของ Aloe Blacc จะสดใส่ขึ้นมาทันที
ส่วนตัวอัลบั้ม แทนที่จะพยายามแทงกั๊กเพลย์เซฟแบบอัลบั้มก่อน งานชุดนี้ เขาทำเพลงตามที่ใจอยากเต็มที่จนได้เพลงโซลคลาสสิกที่เข้ากันกับเสียงร้องที่งดงามของเขาเป็นอย่างดี แน่นอนว่าเขาก็ทำออกมามีชั้นเชิงจนไม่ได้เป็นแค่การถ่ายเอกสารเพลงในอดีตมาทื่อๆเท่านั้น อย่าง Miss Fortune ที่มีจังหวะของเรกเก้ปนเข้ามาหน่อยก็น่าสนใจ ส่วน Green Lights ก็เด่นด้วยเครื่องเป่าที่คลอมาเป็นระยะ คล้ายๆกับการนั่งฟังเพลงของ Al Green อยู่ ที่น่าทึ่งมากๆคือการที่เขาเลือกหยิบเพลง Femme Fatale ของ The Velvet Underground ที่แสนจะคลาสสิก เอามาทำใหม่กลายเป็นเพลงโซลแบบเต็มตัวเลยทีเดียว แต่ละเพลงช่างโชว์พลังเสียงชั้นเลิศของเขาและทักษะการเรียบเรียงเพลงที่ยอดเยี่ยม เพลงก่อนปิดอัลบั้มที่เรียบง่ายอย่าง Mama Hold My Hand ก็เล่นเอาเราซึ้งได้ไม่น้อย และค่อยไปปิดกับเพลงบรรเลง What I'm Sayin' Reprise ที่เก๋สุดๆ ไม่แปลกครับที่หลังจากงานชุดนี้แล้ว เขาจะกลายเป็นศิลปินที่เนื้อหอมเอามากๆขึ้นมากอีกคนหนึ่ง เพราะความยอดเยี่ยมของแต่ละบนเพลงในอัลบั้มนี่ล่ะครับ
หลังจากประสบความสำเร็จจากแนวเพลงเรโทรโซลไปแล้ว แทนที่เขาจะย่ำอยู่กับความสำเร็จเดิม ในอัลบั้มใหม่ Lift Your Spirit ที่ออกมาช่วงปลายปีนี้ เขากลับหันไปหาเพลงพ๊อพสมัยใหม่แทน ตั้งแต่เพลงเปิดตัว Wake Me Up ที่เขาไปร่วมงานกัน Avicii โปรดิวเซอร์เพลงคันทรี่แดนซ์จากสวีเดน ทำให้ได้เพลงที่นำด้วยกีตาร์พร้อมบีทที่เร่งเร้าพอที่จะทำให้เต้นรำได้เลยทีเดียว เล่นเอาคนเหวอได้ไม่น้อย แต่สุดท้าย เขาก็สามารถใส่เอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของเขาเข้าไปในเพลงเสมอ แม้จะทำให้คนที่อยากฟังเพลงเรโทรเสียใจ แต่เราก็ไม่อาจปฎิเสธว่าเพลงฟังค์อย่าง Solider In the City นี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ส่วน Wanna Be With You ก็สามารถฟังได้เพลินๆ สบายๆ เหมือนนั่งจิบคอคเทลริมหาด แต่ถ้าต้องการเพลงเรโทรกันจริง ก็ต้อง Red Velvet Seat หรือ The Man ที่ยังคงยอดเยี่ยมอยู่ แต่ผมก็สนุกกับเพลงเกือบดิสโกอย่าง Love Is the Answer ได้ ขณะที่ Here Today ก็ชวนให้เราแหกปากตามในท่อนคอรัสจริงๆ
แม้ Aloe Blacc จะเปลี่ยนแนวเพลงเพื่อทดลองหาอะไรใหม่ๆ จะได้ไม่ย่ำอยู่กับที่เดิม แต่จุดเด่นอย่างเสียงที่ละมุนของเขาก็ยังคงทำให้เอกลักษณ์ของเพลงเขายังอยู่ดี แน่นอนครับว่าอากาศชิลๆแบบนี้ ก็ไม่ควรพลาดที่จะหยิบมาลองฟังดูครับ
No comments:
Post a Comment