Wednesday, February 24, 2010

ไอ้ตัวเล็ก

ตอบกระทู้เกี่ยวกับหมาใน SS แล้วคิดถึงไอ้ตัวเล็ก เลยเอามาแปะไว้หน่อย

หมาผม ได้มาตอนม. 3 สนิทกันมา จนเหมือนคุยรู้เรื่อง กัดเก่ง คุมซอย สาวหลง
เลี้ยงได้ 13 ปี มันแก่ตายตอนผมเรียนที่ญี่ปุ่น ร้องไห้โฮเลย
เพราะตอนกลับมาไทย 1 เดือนก่อนมันตาย มันยังท่าทางแข็งแรงดี

มารู้ทีหลังว่า มันทำแข็งแรงแค่ช่วงผมอยู่เท่านั้น ก่อนหน้านั้นก็สภาพไม่ค่อยดีแล้ว

ปล่อยโฮไม่อายใครเลย เซ็งโคตร

หลังจากนั้นก็ไม่มีหมาของตัวเอง มีแต่ที่บ้านเลี้ยง แต่ไม่ได้สนิท

Saturday, February 20, 2010

Vampire Weekend: เด็กเนิร์ดสุดคูล

Technorati Tags: ,

คิดว่าสมัยเรียน ในชั้นเรียนของทุกๆคนคงจะมีมนุษย์ประเภทที่เรียกว่า เด็กเรียน อยู่ พวกเขาคือคนที่เนิร์ดๆ ตั้งใจเรียน ใส่แว่น เอาเสื้อเข้าข้างใน ไม่เคยทำผิดกฎ และไม่เคยทำอะไรนอกเรื่อง ในขณะที่พวกเราเอาแต่โดดเรียนไปเล่นดนตรี ใครจะรู้ว่าคนพวกนี้สามารถทำเพลงเจ๋งๆออกมาได้เหมือนกัน บางวงเราแทบจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจากภาพลักษณ์ที่เห็น จะทำเพลงได้กินขาดวงพวกที่เอาแต่ทำมาดเท่ห์ฟันสาว และวงที่เอามาแนะนำในวันนี้คือ ยอดเด็กเรียนอย่าง Vampire Weekend

Vampire Weekend ในขณะที่ทุกคนฮิตกันใส่เสื้อยืดมือสองกับกางเกงเดฟรัดติ้ว รองเท้าหัวแหลมเลียนแบบ The Strokes ที่ฮิตมานานมากแล้ว หรือไม่ก็เสื้อแบบอวกาศกับสีสะท้อนแสงตามแบบนิวเรฟ แต่ Vampire Weekend ที่มาจากนิวยอร์กเหมือนกับ The Strokes กลับเข้ามาในวงการด้วยเสื้อโปโล กางเกงขาสั้น รองเท้าแล่นเรือใบ เสื้อสเวตเตอร์สีพาสเทลแบบที่ขัดกับลุคของวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง จนทำให้เราสงสัยว่ามันมาจากนิวยอร์กเหมือนกันรึเปล่า แต่ว่าพอสืบไป ก็ไม่แปลกอะไร เพราะนิวยอร์กของพวกเขาคือ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของอเมริกาที่เป็นแหล่งรวมหัวกระทินั่นเอง และนอกจากการแต่งตัวที่แหวกแนวแล้ว พวกเขายังทำเพลงได้แหวกจากวงอื่นๆ เพราะพวกเขาทำเพลงป๊อปหนุงหนิงที่มีกลิ่นไอดนตรีแอฟริกาออกมาได้อย่างน่าสนใจจริงๆ

พวกเขาเริ่มเป็นตัวตนกันตั้งแต่สมัยที่เรียนด้วยกันที่โคลัมเบีย และพอจบ ก็ไปทำงานนประจำของใครมัน และทำงานดนตรีอื่นๆด้วย แต่ก็มาร่วมกันตั้งเป็นวง Vampire Weekend ตามชื่อของหนังสั้นของ Ezra Koenig (เอซรา ร้องนำ) โดยสมาชิกอื่นคือ Rostam Batmanglij (รอสแทม คีย์บอร์ด) Chris Tomson (คริส กลอง) และ Chris Baio (คริส เบส) และทำอัลบั้มแรกของพวกเขาไปโดยที่ทำงานประจำไปด้วย และโชคดีที่ค่าย XL Recordings เซ็นสัญญาพวกเขาเข้าสังกัด เพราะพวกเขาอยากที่จะร่วมงานกับค่ายเพลงนี้ที่ให้อิสระกับศิลปินเป็นอย่างมากอยู่แล้ว และผลงานชุดแรกของพวกเขาก็เดินหน้าเต็มตัว

Vampire Weekend Live at The Fonda ในปี 2007 พวกเขาเริ่มออกซิงเกิ้ลแรกชื่อ Mansard Roof ที่ผสมจังหวะแปลกๆชวนขยับตาม กับเสียงประกอบหลอน เสียงร้องในสไตล์ของเด็กเนิร์ด แม้มันจะไม่เข้าชาร์ต แต่ก็ฉายแววได้อย่างน่าสนใจ จนเป็นซิงเกิ้ลที่สอง A Punk ที่เป็นเพลงกีตาร์ป๊อปที่สนุกสนานฟังเพลิน ที่ส่งพวกเขาให้ดังไปทั่ว เพราะนอกจากจะติดชาร์ตอันดับสูงๆแล้ว มันยังฮิตในหมู่เด็กวัยรุ่นแนวๆอีกด้วย เพราะมันไม่เหมือนกับเพลงจากวงอื่นๆในช่วงนั้นเลย ถ้าจะมีใกล้เคียงบ้างก็แค่วงรุ่นพี่อย่าง The Shins เท่านั้น และด้วยความแหวกแนวและความเจ๋งของซิงเกิ้ลต่างๆ ทำให้ชื่อของพวกเขาเป็นที่รู้จักและสื่อเริ่มพูดถึงพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดที่ Spin ยังยกให้พวกเขาเป็นวงที่มาแรงที่สุดในปี 2008 เลยทีเดียว

เมื่ออัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวงออกมา พวกเขาก็ได้รับคำชมไปทั่ว นอกจากมันจะทำอันดับที่ได้ในชาร์ตได้แล้ว มันยังได้รับคำชมจากทั่วสารทิศ ซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Oxford Comma ที่เอาเรื่องไวยากรณ์ภาษามาเทียบได้อย่างน่าตลกเป็นอย่างมาก และมันยังติดหูอย่างลืมไม่ลงด้วยเสียงออร์แกนอีกต่างหาก อีกซิงเกิ้ลที่ชื่อเรียกยากคือ Cape Cod Kwassa Kwassa คือเพลงหนุงหนิงๆ น่ารักๆ เจือกลิ่นของกลองชาวเผ่าแอฟริกา ผสมกับเสียงกีตาร์ที่แจมมาเป็นจังหวะๆ แถมยังพูดถึง Peter Gabriel ในเพลงอีกด้วย นอกจากซิงเกิ้ลเด่นๆแล้วเพลงอื่นอย่าง Boston ที่แสนสนุกก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เช่นเดียวกับเพลง Walcott ที่แค่ฟังครั้งเดียวก็ลืมลง แถมใครจะคิดว่าเพลงเกี่ยวกับคนชื่อ Walcott มันจะเจ๋งขนาดนี้
VampireWeekendและด้วยความยอดเยี่ยมของมัน ทำให้อัลบั้มแรกของพวกเขาติดอันดับยอดเยี่ยมจากหลายๆสถาบันและกลายเป็นวงหน้าใหม่อันดับหนึ่งของอเมริกาไป แม้พวกเขาจะแหวกแนวไปจากวงอื่น แต่วงเด็กเรียนวงนี้สร้างที่ยืนในวงการให้กับตัวเองได้อย่างงดงามจริงๆ

และปีที่แล้ว พวกเขาก็เริ่มการกลับมาด้วยการออกซิงเกิ้ล Cousins นำทาง และมันยังคงความยอดเยี่ยมไว้เหมือนเดิมด้วยจังหวะสนุกๆเร็วๆ ตามด้วยจังหวะกลองที่สับไม่ยั้งพอๆกับโรนัลโด้ และตามมาด้วยอัลบั้มที่สอง Contra ในปีนี้ มันไม่เกี่ยวกับเกมในตำนาน แต่มันมาจากเพลง I Think UR a Contra ที่เอามาจากเพลงของ The Clash อีกที และมันก็เต็มไปด้วยเพลงเจ๋งไม่แพ้อัลบั้มก่อน Horchata ที่เหมือนกับการเดินทางฟังเพลงไปทั่วกาฬทวีป และยังไม่ลืมความหนุงหนิงในเพลง California English ส่วน Diplomat’s Son ก็มีกลิ่นของเรกเก้เจือมาอย่างน่าสนใจ ส่วนเพลงที่เด่นที่สุดสำหรับผมคือ Giving Up The Gun ที่จังหวะโครมครามได้สะใจ แต่ตัวเพลงกลับเนียนนุ่มนวลทั้งเพราะทั้งติดหูจริงๆครับ และแน่นอนว่าผลงานชุดที่สองของพวกเขาก็จะได้รับคำชมไม่ต่างจากชุดแรกแน่นอน

แม้วงการเพลงร๊อคจะเต็มไปด้วยหนุ่มมาดเท่ แต่ถ้าตั้งใจจริง แม้จะเป็นเด็กเนิร์ด ก็ได้รับคำชมแน่นอนครับ

Wednesday, February 17, 2010

Lily Allen อีสาวตัวแสบ

Technorati Tags: ,

ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงศิลปินร๊อคสาวจากฝั่งอเมริกาไปแล้ว ในเวลาที่ไม่ห่างกันมาก ก็บังเอิญได้แผ่นตัวอย่างของศิลปินสาวจากฝั่งอังกฤษ ทำให้นึกได้ว่าง ช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาก็เป็นช่วงยุคทองของศิลปินหญิงอังกฤษเหมือนกัน เพราะมีคนที่มายืนแถวหน้าได้อย่างงดงามหลายคนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Amy Winehouse, MIA หรือ Kate Nash แต่คนที่ผมจะเขียนถึงคืออีกหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าวงการได้อย่างงดงามอีกคนหนึ่ง นั่นคือ Lily Allen นั่นเอง

LilyAllen8

Lily Allen เกิดในครอบครัวศิลปินจริงๆ เนื่องจาก มีพ่อเป็นนักแสดง และแม่เป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ แม้จะหย่ากัน แต่เธอก็ได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ศิลปินอยู่รอบตัว กระทั่ง Joe Strummer แห่ง the Clash ยังเคยพาเธอไปนั่งดู Glastonbury มาแล้วเลย แต่ด้วยปัญหาครอบครัวต่างๆ ทำให้เธอกลายเป็นเด็กมีปัญหาติดเหล้าและบุหรี่จนโดนไล่ออกจนเป็นเรื่องปกติ

แต่โชคดีที่มีคนเห็นของดี (อย่าคิดลึก) ตอนที่เธอร้องเพลง Wonderwall เล่นอยู่ ก็ไปเตะหูของโปรดิวเซอร์เพลง จนเขาตัดสินใจสอนร้องเพลงให้เธอ และเมื่อเธอร้องเพลงที่งานของโรงเรียน มันทำให้คนถึงกับร้องไห้เพราะการได้เห็นเด็กมีปัญหาทำสิ่งดีๆออกมามันน่าประทับใจมาก และทำให้เธอรู้ว่าดนตรีคือสิ่งที่เธอควรจะมุ่งมั่นกับมัน เธออกจากโรงเรียน และทิ้งครอบครัวไปอยู่ที่ ไอบิซ่า และทำงานที่ค่ายแผ่นเสียงพร้อมขายยา (ไม่ควรเอาอย่าง)

90203L1 เธอโดนหลายค่ายปฏิเสธ และในที่สุด เธอก็ใช้เส้นสายของพ่อจนได้สัญญากับค่ายเพลง แต่พอเปลี่ยนประธานค่าย เธอก็เด้งออกอีกตามเคย เธอเกือบตัดสินใจไปเป็นนักจัดดอกไม้แทน แต่ก็หันกลับมาตั้งใจทำงานเพลง และได้สัญญาซะที

lily-allen-gq-05 เธอตั้งหน้าตั้งตาแต่งเพลงและซิงเกิ้ลในวงจำกัดอย่าง LDN ประสบความสำเร็จ ทำให้เธอได้อำนาจในการคุมงานเพลง และเลือก Mark Ronson มาเป็นโปรดิวเซอร์อีกสิ่งหนึ่งทำให้เธอมื่อเสียงนอกจากเพลงของเธอคือ เว็บสังคมอย่าง MySpace ที่แม้ตอนนี้ มันจะร้างเป็นป่าช้า เหลือแต่วงดนตรี แต่ในตอนนั้น มันคือเว็บสังคมที่ฮิตสุดๆ (ผมก็เคยมี) ที่ศิลปินชอบใช้ และมันพึ่งสร้างชื่อให้กับวง Arctic Monkeys มาแล้ว และ Lily เองก็มีเพื่อนในวงสังคมของเธอสี่แสนกว่าคน เล่นเอาค่ายเพลงต้องหูผึ่ง และอีกสิ่งที่ทำให้เธอเป็นชื่อสามัญประจำบ้านไปตั้งแต่ก่อนออกอัลบั้มคือ บล๊อกของเธอที่พูดความในใจแบบตรงไปตรงมา รวมไปถึงวาจาแสบๆคันๆ จนทำให้มีคนติดตามเพียบ วลีเด็ดอย่าง “ฉันคิดว่า Carl Barat (The Libertines) คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า)” กลายเป็นหัวข้อข่าวอย่างสนุกสนาน เรียกได้ว่าเธอเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่อาศัยเทคโนโลยีได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่เธอก็ไม่ได้อาศัยกระแสฉาบฉวยเพื่อความดังเท่านั้น เพลงของเธอก็เยี่ยมไม่แพ้กันด้วย LDN ซิงเกิ้ลแรกนั้นคือเพลงป๊อปที่มีกลิ่นแบบสกาอังกฤษแบบ The Specials เจือออกมาได้อย่างน่าสนใจ ชวนให้นั่งฟังไปพลาง จิบเครื่องดื่มเย็นๆชมวิวริมทะเลยามเย็น ซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Smile ที่ด่าแฟนเก่าได้อย่างสะใจและตรงไปตรงมาก็กลายเป็นเพลงที่ฮิตแบบโคตรๆจริงๆ เนื้อเพลงแสบๆบนจังหวะเรกเก้ที่ฟังเพลินติดหูผสมกับเสียงร้องน่ารักๆ แต่กำลังด่าคนอยู่แบบนี้มันแสบสันต์พอๆกับการโดนคนที่กำลังยิ้มให้เราด่าพ่อเลยจริงๆ ยกให้ 5 ดาวเลยครับ

lily_allen_2272401

เมื่ออัลบั้มแรกของเธอ Alright, Still ออกมา มันก็ยังเต็มไปด้วยเพลงที่แสบไม่แพ้กันคือ Not Big ที่แค่ชื่อเพลงก็พอจะรู้ความหมายแล้ว เธอยังด่าตรงๆเลยว่าแฟนเก่าเธอห่วยแตกบนเตียงมากๆ ยังมีเพลงจังหวะบราซิลเลี่ยนอย่าง Friday Night ที่เจ๋งขนาดทำให้เรานึกไปถึง Smoke City เลยทีเดียว โดยรวมแล้วมันคืออัลบั้มเพลงป๊อปเจือกลิ่นดนตรีหลากประเภทที่ทำออกมาได้ลงตัวเอามากๆ และเป็นอัลบั้มแถวหน้าจากศิลปินหญิงในปีนั้นเลยทีเดียว

และในปีที่ผ่านมา เธอก็กลับมาอีกครั้ง โดยเธอบอกว่าเธอจะเพิ่มความหลากหลายของแนวเพลงให้มากขึ้น ซึ่งมันก็ชัดเจนตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก The Fear แล้ว ที่มันมีความเป็นเพลงเต้นรำมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก สมใจของเธอที่อยากได้เพลงที่สามารถทำให้แฟนเพลงสนุกได้เวลาเล่นสด ส่วนซิงเกิ้ลที่สองนั้นกลับมีกลิ่นของคันทรี่แบบคาวบอยโชยมาแต่ไกล เพลงที่แสบมาแต่ไกลอย่าง Fuck You ก็ขึ้นต้นอย่างน่ารักด้วยเปียโนกับเสียงร้องน่ารักๆ แต่เนื้อเพลงด่าจอร์จ บุชนั้นมันแสบสะใจจริงๆครับ ยิ่งท่อนฮุคอย่าง Fuck You Very Very Much มันก็ชวนให้แหกปากตามจริงๆครับ ส่วน Who’ve Have Known ก็เป็นร่างอวตารของ The Beatles กลายๆ และนั่นก็เป็นส่วนประกอบของอัลบั้มที่สองของเธอ It’s Not Me, It’s You ที่วางขายเมื่อปีที่แล้วและได้รับคำชมไปทั่วสารทิศจากความยอดเยี่ยมของมัน และที่สำคัญ ค่ายวอร์เนอร์บ้านเราใจป้ำพอที่จะออกเวอร์ชั่นพิเศษที่มีเพลงแถมอย่าง Womanizer เข้ามา บวกด้วย DVD แสดงสดสุดเจ๋งอีกด้วยครับ

56623720 จากความแสบ ฝีมือการแต่งเพลง การใช้เทคโนโลยี ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินหญิงแถวหน้าในยุคนี้อีกคนจริงๆ และเราก็ยังไม่เบื่อที่จะฟังความแสบผ่านบทเพลงของเธอที่จะมีมาเรื่อยๆครับ

Tuesday, February 16, 2010

Valentine Dinner

หลังจากทำงานยุ่งวุ่นวายมาเป็นเดือน ในที่สุดก็ถึงวันวาเลนไทน์ซะที ด้วยความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง ทำให้ไม่ได้จองร้านอาหารที่อยากไปกินไว้แต่เลย ผลก๋เลยตกมาที่แผนสองที่โรงแรมเวสติน แกรนด์ ที่เคยไปกับลูกค้าบ่อยๆ และที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ รสชาติเยี่ยมจริงๆ อิ่มแทบหลับตอนขับรถกลับมาบ้าน

ずっと仕事で忙しかったけど、やっとバレンタインの日が来た。色んなことがあって、まったく余裕がなくて、行きたかった店を予約するのを忘れて、結局プランBのよくお客さんと行ってたウェスティングランドになった。味はやっぱ相変わらず美味で、帰りの運転中は眠そうほどだった。満腹です。

Then came the Valentine Day, but I was dead busy for almost 2 months and I forgot to reserve the place I planned to go. So I had to go with plan B, which was Westin Grand Hotel. I went there with my customers many times and the taste was as good as always. I had too much that I almost sleep while driving home. Good food and good night.

Saturday, February 6, 2010

Paramore สาวห้าวรุ่นจิ๋วแห่งวงการ

Technorati Tags: ,

ในวงการเพลงร๊อค มีที่ว่างสำหรับหญิงสาวน้อยมาก แต่ในยุคปี 2000 ได้มีร๊อคเกอร์สาวตัวปลอมโผล่ออกมาเยอะมากตามกระแส Avril Lavigne (รูปแบบคือ ผมดำไม่ก็กัดสีซีด เสื้อทีเชิร์ตร๊อคขาดๆ ยีนส์เดฟ คอนเสิร์ส แบ๊คอัพแบนด์ชาย และมีฉากทำลายกีตาร์หรือทุบกระจกเพื่อโชว์ความร๊อค) จนตลาดเริ่มเบื่อเราถึงได้เจอวงที่ศิลปินหญิงตัวจริงนำวง เช่น Gossip หรือ Yeah Yeah Yeahs ทำให้เรารู้ว่าผู้หญิงเจ๋งๆก็มีเยอะเหมือนกัน และอีกวงที่มีนักร้องหญิงจอมห้าวรุ่นจิ๋วที่มาแรงมากๆในวงการคือ Paramore

Paramore05

Pamore เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2003 เมื่อนักร้องสาวอายุ 13 Harley Williams (ฮาร์ลีย์) ย้ายไปที่ Tennessee และได้พบกับพี่น้อง Josh Farro (จอช กีตาร์) และ Zac Farro (แซ๊ค กลอง) และเริ่มตั้งวงกันโดยมี Jeremy Davis (เจเรมี่) เล่นเบสให้ และเลือกชื่อวง Paramore ที่แปลว่า Secret Lover

หลังจากเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาก็เริ่มแต่เพลงและได้เล่นตามเวทีที่ใหญ่พอควรอย่าง Warped Tour และเริ่มสร้างชื่อ จนทำให้เจ้าของค่าย Fueled By Ramen ต้องตีตั๋วไปดูพวกเขาเล่นในคอนเสิร์ต Taste of Chaos เลยทีเดียว และก็ตัดสินใจดึงพวกเขาเข้าสังกัดทันทีทั้งๆที่สมาชิกวงยังอายุไม่ถึงวัยดื่มเหล้าด้วยซ้ำ

และหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้แต่งเพลงอย่างจริงจัง โดยที่มีเรื่องน่าเศร้าคือ Jeremy เดินออกจากวงไปด้วยเหตุผลส่วนตัว และมันก็เป็นธีมหลักของอัลบั้มไป อัลบั้มแรกของพวกเขา All We Know Is Falling ก็ได้โอกาสออกมาลืมตาดูโลกในปี 2005 เมื่อนักร้องนำอายุแค่ 17 ปีเท่านั้น ปกอัลบั้มแสดงถึงความเศร้าของการเดินออกจากวงของ Jeremy เพราะมันคือภาพเงาของคนที่เดินออกไปจากโซฟา แต่เพลงของพวกเขาก็มันสะใจอย่างไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาจากวงที่มีอายุน้อยมาก Conspiracy เพลงแรกที่พวกเขาแต่งขึ้นก็เป็นเพลงร๊อคที่ไม่เร็วมากแต่ได้รับการเรียบเรียงเป็นอย่างดี ในขณะที่ซิงเกิ้ลอย่างเพลง Pressure นั้นมันสะใจจากการเดินเบสที่เล่นกับกีตาร์เป็นอย่างดี และได้เสียงร้องที่โดดเด่นเข้ามาช่วยเสริมให้มันลงตัว All We Know ก็เป็นเพลงที่อัดแบบไม่ยั้งบวกด้วยท่อนฮุคที่ติดหูทำให้จำมันได้ง่ายจริงๆ อีกเพลงที่เด่นคือ Emergency ที่หนักพอตัวกับท่อนสับที่ชวนให้เราโยกหัวตามจริงๆ ส่วน Brighter ก็ชวนให้ฮึกเหิมจริงๆ  เรียกได้ว่าเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

paramore-wallpaper-5

เพลงของพวกเขาน่าจะอยู่ในกลุ่ม Pop-Punk แต่มันก็หนักกว่านั้น แต่ก็ไม่ได้โหยหวนขนาด Emo แต่ที่แน่ๆคือมันโดดเด่นจนทำให้พวกเขาได้รับการจับตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ในการคุมคนดูเวลาแสดงสดของ Harley ที่เจ๋งไม่แพ้นักร้องรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเลยแม้แต่น้อย แม้ผลงานชุดแรกจะประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ว่าพวกเขาก็ถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะต้องยิ่งใหญ่กว่านี้แน่นอน

พวกเขาไม่ทำให้นักวิจารณ์ผิดหวัง เมื่อ Misery Business ซิงเกิ้ลเปิดตัวของผลงานชุดใหม่ออกวางขาย พวกเขาก็กลายเป็นดาราขวัญใจของวงการทันที เพราะมันคือซิงเกิ้ลที่มีพลังพอที่จะกระทืบทุกวงให้จมดินไปเลย นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยตัวเล็กจะมีพลังตะโกนได้ขนาดนี้ จากเพลงนี้ ทำให้สปอตไลต์ฉายมาที่พวกเขาในทันที และอัลบั้ม Riot! ที่มันสมชื่อก็ตามมาติดๆ นอกจาก Misery Business แล้ว มันก็ยังมีเพลงเด่นๆอีกหลายเพลงอย่าง Crushcrushcrush ที่ก็หนักหน่วงอย่างมีลีลา อีกเพลงที่มันในลีลาคล้ายๆกับ All We Know ก็คือ Let The Flames Begin ที่คงลีลาความสะใจไว้ได้อย่างดี ส่วน Fences ก็มากับจังหวะที่แปลกไปจนนึกถึง Mama ของ My Chemical Romance เลยทีเดียว ในขณะที่ We Are Broken ก็เป็นเพลงช้าที่ฟังได้เพลินเหมือนกัน Riot! กลายเป็นความสำเร็จที่งดงามที่ปูทางสำหรับวันข้างหน้าของวงหนุ่มสาววงนี้เป็นอย่างดีจริงๆ

Paramore 1 - Dan Lebowitz ระหว่างอัดเพลงเพื่ออัลบั้มที่สาม พวกเขาก็เจียดเวลาไปทำเพลง Decode ให้กับหนัง Twilight ก่อนที่จะออกอัลบั้มเต็มชื่อ Brand New Eyes โดยมี Ignorance ที่หนักเอามากๆเมื่อเทียบกับผลงานเก่าของพวกเขาเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัว และอีกเพลงที่เด่นมากๆคือ Brick by Boring Brick ที่หนักไม่แพ้กันแต่ยังเจือเสน่ห์ฟังติดหูไว้อีกด้วยเสียงกีตาร์ที่ตอดเล็กตอดน้อยอย่างยอดเยี่ยม ส่วน Feeling Sorry ก็อัดได้แบบไม่ยั้งดีจริงๆ ในขณะเดียวกันก็ยังมีเพลง Misguided Ghosts ที่เรียบๆฟังง่ายๆเป็นอีกด้านมาเบรกโทนเพลงไว้ได้อย่างลงตัวจริงๆ เช่นเดียวกับเพลง Only Exception ที่เพราะไม่แพ้กัน

Brand New Eyes เป็นควมสำเร็จที่งดงามของพวกเขาจริงๆ เพรานอกจากยอดขายแล้ว มันยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก ถึงขนาดติดอัลบั้มยอดเยี่ยมปี 2009 ของเว็บไซต์ที่จริงจังเรื่องเพลงอย่าง Drowned in Sound เลยทีเดียว และต้องไม่ลืมว่า ตอนที่คุณอ่านงานชิ้นนี้อยู่ อายุเฉลี่ยของสมาชิกวงยังแค่ 21 ปีเองนะครับ ได้เชียร์กันอีกยาวๆแน่ครับ

Best 30 Albums of 2009 ตอนที่ 3

Technorati Tags: ,

มาถึงตอนสุดท้ายของงานเขียนยาวๆชุดนี้ซะทีนะครับ ถ้าหากท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็เขียนมาหากันก็ได้นะครับ หรือไปโพสชม (ด่าก็ได้) ที่บล๊อกของผมได้เสมอนะครับ ฉลองดีไซน์ใหม่ที่พึ่งทำเองเสร็จซะทีครับ แล้วครั้งหน้ามาเจอกันในรูปแบบเดิมๆนะครับ

6. Jack Penate - Everything is New อัลบั้มที่ถูกมองข้ามมากที่สุดอีกชุดหนึ่งของปีที่ผ่านมา หลังจากงานชุดแรกที่น่าผิดหวัง Jack Penate กลับมาอย่างงดงามกับอัลบั้มชุดที่สองที่เป็นการกลั่นไอเดียออกมาได้อย่างสมบูรณ์จริงๆ มันเต็มไปด้วยสารพัดเสียงจากทุกมุมโลกทั้งเพลงป๊อปจากยุโรปไปจนถึงจังหวะจากแอฟริกา แค่เพลงแรกอย่าง Pull My Hear Away ก็พรากหัวใจเราด้วยเสียงร้องที่ตัดพ้ออย่างเศร้าสร้อย ส่วน Be The One ก็คือบทเพลงจากถนนในไนจีเรีย ส่วน Tonight’s Today ก็เหมือนกันงานเทศกาลคานิวาลในบราซิลจริงๆ ใครที่เคยสบประมาทเขาไว้ ก็ควรหันกลับมามองอีกครั้งล่ะครับ

everythingisnew

 

5. Little Boots – Hands งานเพลงป๊อปไร้เทียมทานที่ทำให้ผมทึ่งทุกครั้งที่ได้ฟัง แม้นักวิจารณ์จะชม La Roux มากกว่า แต่ผมว่า Hands มีความลึกที่ทำให้ฟังได้อย่างไม่รู้เบื่อจริงๆ แทบทุกเพลงนั้นเจ๋งพอที่จะเป็นซิงเกิ้ลได้หมดเลยทีเดียว นอกจากความไพเราะติดหูแล้ว เพลงของเธอยังมีความลึกลับอยู่ในตัวอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Remedy และ Mathematics ที่อึมครึมเอาเรื่อง Tune Into My Heart และ New In Town ก็ติดหูเหลือเกิน ส่วน No Brakes ก็เซ็กซี่เหลือกิน ยังต้องไม่ลืมเพลงบูชาครูอย่าง Symmetry ที่คือการจุติของ Don’t You Want Me ในปี 2009 ที่งดงามราวกับรัตติกาลที่เต็มไปด้วยดวงดาว

little-boots-hands

 

4. Yeah Yeah Yeahs – It’s Blitz งานชุดที่สามของวงสุดเปรี้ยวจากนิวยอร์กที่ทำให้เราตื่นเต้นได้เสมอทุกครั้งที่ออกเพลงใหม่ๆออกมา และงานชุดนี้ก็เป็นงานที่ผลักพวกเขาไปข้างหน้า ลืมความเป็นวงการาจไว้เบื้องหลัง มิติองดนตรีของพวกเขามันกว้างไกลขึ้นกว่าเดิมอย่างประทับใจ พวกเขาผสมความเป็นป๊อปและเพลงเต้นรำเข้ามาในดนตรีของพวกเขาได้อย่างลงตัว เพลงเด่นอย่าง Zero คือดิสโก้จากอเวจีที่ซาตานคลั่งกีตาร์ร๊อค มันสามารถทำให้ทุกวิญญาณลุกขึ้นมาโยกตามได้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับ Heads Will Roll ที่ชวนโยกย้ายไปบนฟลอร์ที่อบอวลไปด้วยควันบุหรี่จากมือกีตาร์ ส่วน Shame and Fortune ก็ยังคงความดิบกร้าวไว้อย่างงดงาม พวกเขาพัฒนาตัวเองไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งจนทิ้งเพื่อนร่วมรุ่นไว้ข้างหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น

00-yeah_yeah_yeahs-its_blitz-2009-c

 

3. Biffy Clyro – Only Revolutions อัลบั้มชุดที่ 5 ของวงไม่ยอมโกนหนวดจากสกอตแลนด์วงนี้ เป็นเหมือนม้ามืดจริงๆ เพราะผมฟังพวกเขามานาน แต่นึกไม่ถึงว่างานชุดนี้มันจะเทพได้ขนาดนี้จริงๆครับ Only Revolutions คืองานเพลงร๊อคเพียวๆที่เต็มไปด้วยพลัง ความสด และความทะเยอทะยานอย่างน่าทึ่ง ทุกเพลงมันทรงพลังราวกับฆ้อนปอนด์ที่จะกระหน่ำใส่หัวคนฟังแบบไม่ยั้งได้เลยจริงๆ The Golden Rule กับ Mountains ก็ร๊อคสะใจแบบไม่ยั้ง ในขณะ The Captain ก็อลังการและชวนแหกปากร้อง โว โว้ โว่ ตามจริงๆ แต่ที่เจ๋งที่สุด คงต้องยกให้ God and Satan ที่นอกจากเพลงจะเพราะแล้ว เนื้อเพลงมันช่างยอดเยี่ยมจริงๆครับbiffy-clyro-only-revolutions

 

2. The Horrors – Primary Colours อีกงานที่ทำให้เราต้องประหลาดใจ เพราะว่าพวกเขาสลัดคราบ Poster Boys ของวงการเพลงกอธ/ไซโคบิลลี่ กลายมาเป็นวงดนตรีชั้นเยี่ยมได้อย่างงดงามจริง ด้วยการสลับสับตำแหน่ง ทำให้ภาคเสียงสังเคราะห์ของวงเด่นมาขึ้นจนกลายเป็นหอคอยแห่งเลเยอร์ของเสียงที่ซ้อนทับกัน เหมือนกับการขยำ My Bloody Valentine, Jesus and the Mary Chains, Psychedelic Furs และ เสียงซินธิ์หลอนๆเข้าด้วยกัน เพลงอย่าง Who Can Say นั้นชวนเราขนลุกเมื่อตอนที่ Faris พูดว่า When I told her I didn’t love her any more… she cried ทำเราขนลุกทุกครั้ง ส่วน Primary Colours น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีสีสันมากที่สุดในชีวิตนักดนตรีของพวกเขาแล้ว Scarlet Fields ก็ช่างล่องลอยแบบลึกลับ ยอดเยี่ยมเหลือเกินครับ

primary-colours1

 

1. White Lies – To Lose My Life งานที่จองที่หนึ่งมาตลอดตั้งแต่เมื่อผมได้ฟังมันครั้งแรกเมื่อต้นปีที่แล้ว มันคืองานเปิดตัวชั้นเยี่ยมชนไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากเด็กหนุ่มอายุน้อยแค่ 3 คนเท่านั้น ผมคิดว่างานเพลงที่เกี่ยวกับความเศร้าและความตายมักจะเป็นอัลบั้มที่พูดความจริงมากที่สุด เพราะมันมักจะกลั่นมาจากความรู้สึกจริงๆ และเด็กหนุ่มทั้ง 3 คนก็เขียนเพลงเกี่ยวกับมุมมองเกี่ยวกับความตายบนดนตรีร๊อคหม่นๆจนมันผสมกันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เนื้อเพลงชั้นเยี่ยมอย่าง Unfinished Business และ To Lose My Life ก็ทำให้เราขนลุกทุกครั้งที่ฟัง ส่วน Death และ From The Stars ก็เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ส่วน Farewell To The Fairground แม้จะเป็นเพลงเร็ว แต่มันก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศความเหงาจริงๆ ไม่ง่ายครับที่วงหน้าใหม่จะเปิดตัวด้วยอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ต้องยกให้พวกเขาจริงครับ

51ddGlM GaL

Best 30 Albums of 2009 ตอนที่ 2

Technorati Tags: ,

โดนคั่นไปหนึ่งสัปดาห์ ผมคงไม่ต้องสาธยายมาก มานับถอยหลังกันต่อดีกว่าครับ

18. Passion Pit – Manners อัลบั้มแรกของวงอิเล็กโทรนิกส์จากอเมริกา ที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นป๊อปในดินแดนประหลาดของมันเอง แต่ละเพลงต่างเต็มไปด้วยจังหวะที่ยอดเยี่ยมและตัวโน้ตที่ติดหู ลวงให้เราหลงเขาไปในดินแดนแห่งความลับ Moth’s Wing ก็เหมือนเช้าหน้าร้อนที่สดชื่น ส่วน The Reeling ก็ติดหูตั้งแต่แรกฟัง และ Kingdom Come ก็ทำให้นึกถึง Empire of the Sun ได้เลย

passionpit

17. Phoenix – Wolfgang Amadeus Phoenix งานเพลงป๊อปติดหูชั้นเลิศจากแดนน้ำหอม พวกเขาทำให้เราหลงรักหัวปักหัวปำมาตั้งแต่อัลบั้มเปิดตัวแล้ว ไม่ต่างอะไรจากภาพปก มันคืออาวุธเพลงป๊อปชั้นดีที่จะสลัดหลุดจากหูได้ยากมากๆครับ เหมาะสำหรับการเอาไปฟังเวลาขับรถเล่นในวันที่อากาศดีจริงๆ โดยเฉพาะ 1901 และ Litsztomania

wolfgang-amadeus-phoenix-album-cover

16. Green Day – 21st Century Breakdown งาน Rock Opera ที่เหมือนกับภาคต่อของ American Idiot ที่โจมตีใส่ขี้กองโตที่ ปธน. บ้านนอกอย่างบุชทิ้งไว้ พวกเขายังทำงานคอนเซ็ปต์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และต้องยกให้กับความกล้าวิจารณ์ของพวกเขาจริงๆ นอกจากเพลงโคตรดังอย่าง Know Your Enemy และ 21 Guns แล้ว ยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Viva La Gloria และ American Eulogy อีกด้วย รวมทั้งการแสดงสดที่น่าประทับใจที่พึ่งผ่านไปก็ทำให้พวกเขาสมควรได้รับพื้นที่ตรงนี้จริงๆ

green-day-21-century-breakdown

15. The Flaming Lips – Embryonic หลังจากเพลงป๊อปทะลวงจักรวาลสองอัลบั้ม Wayne Coyne ก็กลับมาสู่ความหลอนจากโลกลึกลับ ในงานชุดนี้ เขาพาเราเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการที่บิดเบี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยเสียงของบรรดาภูติพรายนาๆชนิด แค่เพลง I can be a Frog เพลงเดียวก็ชวนสยองแล้ว ยังมี MV สุดหลอนของเพลง Watching the Planets มาหลอนต่ออีกรอบ

EMBRYONIC TRAY

14. Jay-Z – The Blueprint 3 อัลบั้มสุดท้ายจากไตรภาค The Blueprint ของเจ้าพ่อฮิปฮอปจากนิวยอร์กที่ยังคงความเข้มข้นไม่เปลี่ยนแปลง ต้องขอบคุณผลงานการโปรดิวซ์ของโปรดิวเซอร์มือทองทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Kanye West, Timbaland หรือ No I.D. ที่มาร่วมสร้างงานชิ้นนี้ เพลงเด่นอย่าง DOA ช่างติดหูเหลือเกิน (แอบคล้ายหมอลำ) แต่ที่เจ๋งจริงๆคือ Empire State of Mine ที่ยอดเยี่ยมแบบไร้ที่ติ

jay-z-the-blueprint-3

13. Patrick Wolf – The Bachelor งานชุดที่สี่ของ The Maverick ของวงการเพลงอังกฤษที่ผมเฝ้าเชียร์มาตลอด ด้วยความแหวกแนวของดนตรีของเขา และงานชุดนี้ก็ยังแหวกไปจากเพื่อนร่วมรุ่นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น Vulture และ Battle ที่ได้ Alec Empire มาร่วมงาน Hard Times ก็ยอดเยี่ยม แต่ที่เด่นสุดคือเพลง Who Will? ที่ทำให้ผมขนลุกทุกครั้งที่ได้ฟังจากการไล่เลียงอารมณ์เพลงชั้นเซียน

patrick_wolf_the_bachelor_cover

12. Maxwell – BLACKsummers’night การกลับมาหลังจากเงียบหายไปหลายปีของเจ้าพ่อ Neo Soul ที่กลับมาพร้อมประสบการแบบเต็มเปี่ยม งานชุดนี้ก้าวไกลกว่างานเก่าๆของเขามากในทั้งด้านเนื้อเพลงและภาคดนตรี จากนักร้องมาดเซ็กซี่ยวนใจ เขากลายเป็นนักร้องหนุ่มจอมครวญเพลงไปในทันที นอกจากซิงเกิ้ลเยี่ยมอย่าง Pretty Wings แล้ว เพลงอย่าง Love You และ Fistful of Tears ก็สอนมวยให้นักล่าฝันควรรู้ว่าการร้องเพลงจริงๆคืออะไร

maxwell-album-cover

11. Napoleon - Bohemians Won The Series And The Little Guy Joined The Band งานเพลงของวงหนุ่มสาววงเล็กๆจากประเทศสวีเดนที่ทำให้ผมทึ่ง พวกเขาโผล่มาอย่างไม่คาดคิดกับเพลงที่เป็นเหมือนการสรุปประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อปลงมาในแผ่นซีดีแผ่นเดียว และมันงดงามอย่างไม่น่าเชื่อราวกับพวกเขาเป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายของประเทศนี้ และทำให้เรานึกไปถึง Orlando ได้เลยทีเดียวจากการสร้าง Perfect Pop ได้ออกมาอย่างไร้ที่ติ ขอให้ความเยาว์วัยจงเจริญ

Napoleon

10. Kasabian – West Ryder Pauper Lunatic Asylum งานเพลงชุดที่สามของวง Lad Rock ที่ทำได้ดีกว่าที่ผมคาดหมายไว้เยอะพวกเขายังคงทำในสิ่งที่พวกเขาถนัดคือ การทำเพลงร๊อคแบบจิ๊กโก๋ผสมกับเพลงอีเล็กโทรนิกส์และพวกเขาก็ทำมันออกมาได้อย่างสะใจเหลือเกินครับ เพลงอย่าง Vlad The Impaler ยังดังอยู่ในรถผมตลอดเลยครับ

kasabian-thewestriderpauperlunatica

9. Manic Street Preachers - Journal for the Plague Lover อัลบั้มชุดที่ 9 ของตำนานวงนี้ กลับไปใช้เนื้อเพลงที่ Richey Edwards เหลือทิ้งไว้ และมันก็กลายเป็นงานขึ้นหิ้งได้ทันที แม้อายุจะมากขึ้น แต่พลังของพวกเขายังไม่ได้ลดลงเลย และทำให้อยากจะตามเชียร์พวกเขาตลอดไป ลองฟัง Jackie Collins Existential Question Time
MSP

8. Editors – On this light of this evening งานเพลงชุดที่สามของวงสุดหม่นที่เปลี่ยนแนวทางไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากวงกีตาร์ร๊อค พวกเขาหันมาทดลองกับเครื่องอีเล็กโทรนิกส์ และมันก็กลายเป็นงานที่โครมครามเอามากๆ โดยยังมีกลิ่นความหม่นหมองของ Joy Division ตามมาไม่ห่าง เพลงอย่าง Bricks and Mortar ก็ชวนล่องลอย ในขณะที่ Papillon ก็หนักหน่วงได้ใจจริงๆ การกล้าเปลี่ยนแนวในครั้งนี้ถือว่ายอดเยี่ยมจริงๆ
750906Editors_in_this_light_on_this_evening_2009_retail_cd_front

7. Dizzee Rascal – Tongue n’ Cheek อัลบั้มชุดที่ 4 ของไอ้เด็กแสบจากลอนดอน ที่เลื่อนฐานะเขาจากเจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปฝั่งอังกฤษ มาเป็นซูเปอร์สตาร์ได้อย่างงดงาม เขาโอบรับเอาความเป็นป๊อปมาอย่างเต็มออก และทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สมควรที่จะได้รับคำชมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น Dance Wiv Me กับ Calvin Harris หรือเพลงขย่มแดนซ์ฟลอร์อย่าง Bonkers กับ Armand Van Helden และที่ขาดไม่ได้เลยคือ Holidays ที่โคตรติดหู

dizzee-rascal-tongue-n-cheek