Showing posts with label Movie. Show all posts
Showing posts with label Movie. Show all posts

Sunday, June 14, 2015

Love and Mercy เบื้องหลังตำนานเพลง

วันพุธที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีโอกาสแบบนี้หรอกครับ เพราะไม่ใช่สายวิจารณ์ภาพยนตร์ แต่ที่ได้รับโอกาสในครั้งนี้ เพราะเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับวงการดนตรีที่ชื่อ Love and Mercy ครับ ถือว่าโชคดี เพราะได้ดูก่อนเข้าฉายถึงสองอาทิตย์ แถมยังเป็นภาพยนตร์เรื่องราวประวัติของ Brian Wilson แห่งวง The Beach Boys

love-and-mercy-poster-640x949

ทำไมถึงควรจะสนวง The Beach Boys? แม้ในปัจจุบัน ชื่อของวงจะไม่ได้เป็นชื่อสามัญประจำบ้านเหมือน The Beatles ที่เคยแข่งกันมาก่อน แต่สำหรับนักฟังเพลงและผู้ที่สนใจจะศึกษาประวัติศาสตร์วงการเพลงแล้ว ก็ไม่ควรที่จะข้ามวงนี้ไปเด็ดขาดครับ เพราะในยุคที่อังกฤษมีวง The Beatles ที่เป็นขวัญใจวัยรุ่นเชิดหน้าชูตาของวงการเพลง อเมริกาก็มีวง The Beach Boys ที่เป็นวงขวัญใจวัยรุ่นมาแข่งกันนี่ล่ะครับ (จริงๆ อีกวงหนึ่งที่ควรบันทึกว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ The Beatles คือ วง The Walker Brothers)

Monday, January 6, 2014

Looking Back 2013

สวัสดีปีใหม่ 2014 ครับ จริงๆผมควรจะเขียนบทความนี้ในเล่มสัปดาห์ก่อน แต่ดันไม่รู้ก่อนว่า เล่มสัปดาห์ก่อนเป็นเล่มพิเศษ บทความผมต้องเว้นวรรค แทนที่จะได้ส่งท้ายปีเก่า เลยต้องย้ายมาสวัสดีปีใหม่ในเล่มนี้แทน (รู้งี้เก็บ Aloe Blacc ไว้ลงคราวหลังดีกว่า) หลายท่านคงจะเริ่มกลับมาทำงานวันนี้ บางท่านก็กลับมาทำงานตั้งแต่วันที่ 2 แล้ว กลับมาครั้งนี้ก็ขอมองย้อนกลับไปปีที่แล้วว่ามีอะไรที่น่าประทับใจเป็นการส่วนตัวบ้างครับ

คอนเสิร์ตแห่งปี ปีที่ผ่านมา ได้ดูคอนเสิร์ตน้อยครับ ไม่รู้ทำไม ที่ควรได้ดูก็เลื่อน ที่อยากดูบางอันก็พลาด แต่ก็ยังชื่นใจที่มีคอนเสิร์ตเจ๋งๆอย่าง Sonic Bang ให้ได้ดู เพราะสเกลของคอนเสิร์ตมันใหญ่มาก ศิลปินเยอะ จะเป็นการบุกเบิกเทศกาลดนตรีของไทยก็ว่าได้ อยากให้มีแบบนี้ทุกปีครับ ต่อให้ไม่ได้ถูกใจกับศิลปินที่มาทุกคน แต่แน่นอนว่า ก็มีอะไรให้ทุกคนได้สนุกกันแน่ๆ ผมเองก็เพลินกับวงร๊อคจากยุคตัวเองอย่าง Ash และ Placebo แต่ที่เหนือความคาดหมายสุดๆคือ Far East Movement ที่ผมกะไปดูแค่สนุกๆ แต่กลายเป็นว่า มันโคตรๆ สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ เอนเทอร์เทนคนดูได้อยู่หมัด จนเรียกได้ว่า ถ้ามาอีกก็คงไม่พลาดแน่นอนครับ สนุกขนาดนั้น อีกคอนเสิร์ตนึงที่อดจะพูดถึงไม่ได้คือ Bloc Party ที่จัดให้หนำใจ สมกับที่แฟนเพลงรอมานานเช่นกันครับ

Monday, November 4, 2013

เสพหนัง ฟังเพลง : About Time

นอกจากการฟังเพลงแล้ว ความสุขของผมสามารถเกิดได้จากการดูหนังหรืออ่านหนังสือ และมันจะยิ่งสุขมากขึ้น เมื่อได้ดูหนังดีๆที่มีเพลงประกอบเพราะๆ เข้ากันกับหนัง

about_time

และเมื่อพูดถึงหนังที่เพลงประกอบเข้ากันกับเนื้อเรื่องมากๆแล้ว ส่วนใหญ่ผมจะมองไปที่ทางหนังฝั่งอังกฤษมากกว่าทางฮอลลีวู้ด เพราะส่วนใหญ่ หนังฮอลลีวู้ดจะยัดเพลงประกอบเข้ามาเพื่อเน้นขายเพลงควบไปกับหนัง โดยพยายามใส่เข้าไปในฉากต่างๆแบบบางทีก็แค่ เปิดวิทยุมาเจอเพลงบ้าง เปิดในคลับบ้าง แล้วก็เฟดหายไป แต่หนังฝั่งอังกฤษ มักจะเลือกเพลงที่ตรงกับเนื้อเรื่องตอนนั้น และใช้มันได้อย่างยอดเยี่ยม จนติดตราตรึงหูเรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฉากเสพยาจนโอเวอร์โดสไปกับเพลง Perfect Day ใน Trainspotting เพลงดิสโก้สุดเหวี่ยงใน The Full Monty หรือ Billy Elliot กับฉากเจ้าหนุ่มน้อย อัดอั้นตันใจ จนต้องระบายกับเพลง A Town Called Malice และหนึ่งในผู้กำกับชาวอังกฤษที่มีขื่อเสียงมากกับการสร้างหนังที่มีเพลงเด่นคนหนึ่งก็คือ Richard Curtis

Monday, September 9, 2013

ตั้งวง นานๆทีกับหนังไทย

นานๆผมจะดูหนังไทยทีนะครับ ยิ่งดูในโรงนี่ ยิ่งนานมาก จนจำไม่ได้ว่าเรื่องสุดท้ายที่ดูคือเรื่องไหน สงสัยจะเป็น เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แล้วก็เฟลมากจนเล่นเอาขี้เกียจไปดูหนังไทยในโรงอีกเลย แต่ว่าครั้งนี้ ไปดูแล้วประทับใจจนต้องอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง ตอนที่หนังสือพิมพ์วางแผงไม่รู้ว่าเรื่อง ตั้งวง จะยืนโรงอยู่กี่รอบกับ อาจจะไม่เหลือแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็อยากเล่าครับ ต่อให้ไม่ทันยุค เชยแค่ไหนก็ตามที เพราะว่านี่คือหนังไทยที่เด่นที่สุดเท่าที่ผมได้ดูในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลยทีเดียวครับ

1003782_10151825416133330_1348103452_n

หลังจากเข้าฉายเมื่อสัปดาห์ก่อน และได้รับคำชมจากหลายๆคนที่ไปดูรอบสื่อมา เลยทำให้ผมครั่นเนื้อครั่นตัว อยากจะไปดูหนัง ผลงานของพี่คงเดชแห่งวงสี่เต่าเธอขึ้นมามากๆ เพราะได้รับคำชมเยอะเหลือเกิน แถมตัวโปสเตอร์ก็น่าสนใจ เพราะนอกจากเจ้าเด็ก เกรียนสี่คน จะมาใส่ชุดไทยตั้งท่ารำ หรือที่เรียกว่า ตั้งวง (ซึ่งผมเองก็เพิ่งรู้จัก) เตรียมรำแก้บน ทั้งที่ไม่เข้ากับหน้า แถมโลโก้ชื่อเรื่องก็เหมือนกับหลุดมาจากขบวนการ์ซูเปอร์เซนไตของญี่ปุ่น ดูแล้วกวนแปลกๆดี

Monday, February 4, 2013

Les Miserables ดูหนังฟังเพลง

Technorati Tags: ,

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในที่สุดผมเองก็มีเวลาว่างพอที่จะไปหาความสำราญให้ตัวเอง ด้วยการตีตั๋วเข้าไปดูหนังในโรง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่อยากทำบ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยสะดวกซะที แถมพอซื้อตั๋วเมื่อวาน แทบลมจับ ราคาตั๋วกดไปที่นั่งละ 200 ถ้าที่นั่งแถวหน้าก็ 180 โอว หนังเรื่องนึงทำไมมันแพงขนาดนี้ เวลาหันไปดูราคาดีวีดี (แท้) ตามแผงแผ่นละ 99 บาทแล้วรู้สึกว่า การดูภาพยนต์ในโรงนี่เป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างจะหรูหราเอาเรื่องเลยนะ

Les-Miserables

แต่ภาพยนต์ที่มีแรงดึงดูดให้ยอมเสียเงินเข้าไปดูในโรงด้วยราคาลากเลือดได้คราวนี้ก็คือ Les Miserables ซึ่งเป็นภาพยนต์ที่ดัดแปลงจากหนังสือดังของวิคเตอร์ อูโก นักเขียนดังชาวฝรั่งเศสที่มีผลงานระดับคลาสสิกมากมาย และเรื่อง Les Miserables นี้ก็เป็นผลงานเด่นของท่าน ผมงงนิดหน่อยว่าทำไมชื่อไทยจึงเลือกใช้ชื่อทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศส เล มิเซราบล์ ทั้งๆที่ชื่อฉบับหนังสือแปลไทยที่ใช้ว่า เหยื่ออธรรม นั้นทั้งโดดเด่นและสื่อความหมายได้ดีมากๆ แต่กลับไม่ใช้

Monday, January 7, 2013

Looking Back 2012 มองย้อนกลับไป

สวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ อะไรที่ไม่ดีก็ขอให้หายไปกับปีเก่า ส่วนปีใหม่ก็ขอให้พบแต่กับสิ่งดีๆนะครับ และก็เหมือนทุกๆปีที่ผมจะมองย้อนกลับไปดูว่า ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรน่าสนใจบ้าง แต่เว้นเรื่องดนตรีไว้ เพราะว่านั่นเดี๋ยวค่อยไปดูตอนจัดอันดับรายปีอีกทีครับ แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องบอกด้วยว่า เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆครับ

DSC_4138[5]

คอนเสิร์ตแห่งปี หัวข้อนี้ก็แบเบอร์มาเลยครับ แม้จะจัดตอนต้นปี แต่ก็ยังติดอยู่ในความทรงจำได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือคอนเสิร์ตในไทยครั้งแรกของ L’arc~en~Ciel ที่โด่งดังในบ้านเรามานาน แต่พึ่งได้โอกาสมาเล่นคอนเสิร์ตเต็มๆเป็นครั้งแรกเสียทีและก็ไม่เสียแรงรอครับ ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไร้ที่ติ เลือกเพลงก็ดี จะมีเสียนิดหน่อยก็ตรงที่จอภาพบางส่วนเสีย (ฮา) แต่โดยรวมแล้วประทับใจ สมกับที่แฟนๆรอกันมานานจริงๆ ทำออกมาซะซึ้งเชียวครับ ว่าแล้วก็อยากให้รีบมาเล่นอีกรอบเลย ปล. ผมไม่ได้ดู Lady Gaga ครับ

Saturday, November 10, 2012

Wolf Children กับโรงหนังที่กำลังจะกลายเป็นอดีต

ในที่สุดผมก็ได้มีวันหยุดแบบสองวันติดเสียที หลังจากวุ่นกับเรื่องงานมาหลายเสาร์อาทิตย์ และปรากฏว่า จังหวะเหมาะกับที่อนิเมะเรื่องที่อยากดู เข้าฉายในเมืองไทยพอดี เลยพยายามขนขวาย ดั้นด้นไปถึงสยาม ที่ปกติไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่นัก เพื่อที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงหนังลิโด้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
c7f2ba98
อนิเมะ (ผมเลือกใช้คำนี้ แยกไปจากการ์ตูน และอนิเมชั่น) เรื่องที่ว่าคือ Wolf Children คู่จี้ด ชีวิตมหัศจรรย์ หรือชื่อญี่ปุ่นคือ OOKAMI KODOMO NO AME TO YUKI ที่พึ่งเข้าฉายไปที่ญี่ปุ่นเมื่อกลางปีที่ผ่านมานั่นเอง ซึ่งเป็นงานอนิเมะที่ผมค่อนข้างจะคาดหวังไว้เยอะ เพราะทีมผู้กำกับ และผู้ออกแบบตัวละครคือทีมเดียวกับที่ทำเรื่อง Summer Wars อนิเมะชื่อดังเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง (และผมเป็นคนแปลฉบับมังงะด้วยครับ) เมื่อพวกเขากลับมา และทาง M Pictures เอามาฉายในโรง ก็ไม่ควรพลาดครับ เพราะการดูหนังในโรงมันได้บรรยากาศกว่าการดูที่บ้านเยอะ (แต่ต้องทนกับคนไร้มารยาททั้ง โทรศัพท์ คุยกัน เตะเบาะ สารพัดหน่อยนะ)

Saturday, June 30, 2012

รีวิวหนังบ้าง: The Amazing Spider-Man

Technorati Tags:

เข้าวันแรก ก็ไปดูตั้งแต่วันแรกเลยครับ สำหรับเรื่อง The Amazing Spider-Man หนังรีบุทของแฟรนไชส์ไอ้แมงมุง ที่จัดการตบแต่งหน้าตาใหม่ เพิ่มคำว่า The Amazing เข้าไป (จริงๆก็เป็นหัวหนังสือแรกสุดนะ) ตัวสแดงใหม่หมด ด้วยสาเหตุที่ว่า สตูดิโอไม่เห็นด้วยกับผู้กำกับแซม ไรมี่ ที่จะทำภาค 4 ต่อจากเดิม โดยใช้ตัวร้ายเป็นวัลเจอร์ เพราะว่าเป็นตัวร้ายที่ไม่ดัง (ก็จริงนะ จริงๆตัวร้ายสไปเดอร์แมน นอกจากอีตระกูลกอบลินแล้ว ก็ไม่โดดเด่นนะ) เลยคว่ำกระดาน ทำใหม่เลย จะได้สดใหม่ปิ๊งๆ เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงโกยของหนังฮีโร่ จะเอาของเก่ามาขาย คนก็อาจจะเบื่อได้

the-amazing-spider-man-new-poster

เอาความรู้สึกในการดูก่อนเลยคือ ภาคใหม่นี้ ดูเอนเตอร์เทนใช้ได้เลย คนที่ไม่เคยดุไอ้แมงมุมมาก่อน คงดูได้สนุก แต่ถ้าเป็นแฟนบอย อาจจะไม่ถูกใจบ้าง เพราะว่า รู้หมดแล้ว เลยอยากให้เรื่องเดินเร็วๆ แต่ถือว่าเหมาะสำหรับตลาดโดยทั่วไป ปัญหาหลักของแง่การขาย คือ หนังถุกแซนวิชด้วยหนังฮีโร่สองเรื่องที่คนรอคอยมานานกว่าเยอะคือ The Avengers และ Dark Knight Rises ทำให้ไอ้แมงมุมของเราออกจะโดนข่มไป เพราะว่าจุดเด่นน้อยกว่าสองเรื่องอย่างเห็นได้ชัด จุดขายก็ไม่มีอะไรใหม่ เพราะว่าการห้อยโหนไปทั่วเมืองนิวยอร์กแทบไม่ต่างอะไรกับหนังเมื่อสิบปีก่อน จึงขาด Wow Factor อย่างแรง แต่เนื้อเรื่องก็ทำได้น่าสนดีตรงที่ เล่นกับปมเรื่องของพ่อแม่ของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือไอ้แมงมุมนั่นเอง ถือเป็นจุดต่างจากภาคก่อน แต่คำถามคือ มันน่าสนขนาดนั้นรึเปล่า

Monday, June 20, 2011

นอกเรื่องตามประสากับหนังฮีโร่ Green Lantern

Technorati Tags: ,

นานๆที ผมก็มักจะถือวิสาสะเขียนเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของดนตรีบ้าง หวังว่าคงจะไม่ถือสาหารืออะไรกัน ใจจริงแล้ว ผมอยากจะเขียนเรื่องดนตรีกับการเมือง รับกระแสเลือกตั้ง แต่พอวางโทนเรื่องไปมา กลายเป็นว่า ถ้าเขียน ก็เสี่ยงกับตัวเองเกินไป (ออกความคิดผิดแนวหน่อยก็โดนรุมประชาทัณฑ์ทางสังคมแล้ว) จะตัดทอน ก็ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง เลยตีดสินใจหันมาเขียนเรื่องภาพยนตร์ฮีโร่แนวโปรดของตัวแทนเองบ้างเพราะว่าช่วงที่ผ่านมา ไปดูติดๆมาสองเรื่องครับ

ระยะหลังๆ หนังฮีโร่ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนคอมมิคเป็นที่นิยมเอามากๆ คงเป็นเพราะการประสบความสำเร็จของแฟรนไชส์อย่าง Spider-man และ X-Men ที่ทำออกมาได้ทั้งคุณภาพ (ยกเว้นภาค 3) และยอดขาย ทำให้มีการกระหึ่มทำหนังฮีโร่ออกมาเป็นชุดๆ ซึ่งก็มีทั้งยอดเยี่ยมอย่าง Batman ของ Christopher Nolan ที่ได้รับคำชมทั่วเมือง หรือ Iron Man ฮีโร่มือรองที่ดังได้เพราะคุณภาพงานและการแสดงจริงๆ Watchmen ที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เป็นการ์ตูนแล้ว ที่ดาดๆอย่าง Fantastic Four หรือ Superman ก็มีไม่น้อย หรือที่แย่ไปเลยอย่าง Ghost Rider, Catwoman หรือ Daredevil ที่ทำออกมาได้อย่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่หนังแนวนี้มีออกมาเยอะ คงเป็นเพราะความที่ฮีโร่เหล่านี้ มีคนรู้จักมาแต่แรกแล้ว ไม่ต้องทุ่มโปรโมทฮีโร่หน้าใหม่ให้คนรู้จักมา จึงสามารถอาศัยกระแสนี้สร้างยอดขายได้สบายๆ ซึ่งปีนี้ ก็มีหนังฮีโร่มาให้เราได้ดูถึง 4 เรื่อง ซึ่ง 3 เรื่องเข้าโรงไปแล้ว โดยที่ผมเลี่ยงไม่ดูเรื่อง Thor ไป เพราะสาเหตุส่วนตัว จึงเหลือสองเรื่องที่ได้ดูไปแล้ว นั่นคือ Green Lantern และ X-Men: First ClassGreenlantern New Film Poster

เรื่องล่าสุดที่ดู Green Lantern คือเรื่องที่ผมออกจะตื่นเต้นเอามากๆ เพราะเขาคือฮีโร่จากค่าย DC ที่ผมชอบเป็นรองจาก Batman เท่านั้น เพราะเขาคือฮีโร่ที่มีความสามารถแทบจะเทียบเท่ากับเทพได้เลยเพราะการที่เขาสามารถสร้างอะไรก็ได้จากจินตนาการ และตัวคนที่มารับหน้าที่นี้แต่ละคนก็มีเสน่ห์ต่างกันออกไป โดยเฉพาะตัว ฮาล จอร์แดน ที่เป็นคนที่ถูกนำมาทำเป็นหนัง (จริงๆ ผมออกจะตื่นเต้นมาตั้งแต่ตอนเห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ในร้านเช่าดีวีดีแห่งโลกอนาคตใน I Am Legend แล้วครับ) จึงคาดหวังไว้มาก พอเห็นชื่อนักแสดงก็เริ่มจะมีความหวัง เพราะถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว แถมได้ผู้กำกับอย่าง Martin Campbell ที่มีผลงานเด่นอย่างการปลุกวิญญาณแฟนไชส์ 007 ถึงสองครั้งกับ Golden Eye และ Casino Royale ด้วย

แต่เมื่อเห็นตัวอย่าง ลางสังหรณ์ว่าท่าทางจะไม่ดีก็เริ่มแรงขึ้น เพราะภาพที่ออกมา ดูตกยุคไปหน่อย แต่ผมก็ยังไม่ล้มเลิกความหวัง ตัดสินใจตีตั๋วราคา 200 บาทที่เอ็มโพเรี่ยม (แพงจริงๆ) เพื่อเข้าไปดูในวันแรกที่หนังเข้าโรงเลย

สิ่งที่ผมต้องเจอคือ การเปิดเรื่องด้วยงาน CG (Computer Graphic) ที่เชยจริงๆ และเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้แบบสิ้นหวังครับ การเล่าเรื่องออกจะทื่อเอามากๆ เหมือนกับดูหนังยุค 90 เลยทีเดียว ตั้งแต่เอกภพมีผู้ปกครองอยู่และพวกเขารวมพลังเพื่อสร้างแหวนสีเขียวที่ได้พลังจากความมุ่งมั่น ก่อนจะแจกจ่ายให้กับผู้กล้าจากแต่ละเขต เพื่อทำหน้าที่ปกป้องเขตของตัวเองเหมือนตำรวจอวากาศ มีศัตรูที่สุดเก่ง มีฮีโร่ที่ไปสู้แต่แพ้ แล้วก็มอบหน้าที่นั้นให้กับชาวโลก พระเอกของเราแทน ซึ่งจากนั้นก็กลายเป็นเหมือนมาตราฐานของหนังฮีโร่ ไม่ชินกับพลัง สู้แพ้ จะถอนตัว มีจุดพลิกผัน กลับมาสู้ เอาชนะ เป็นเหมือนสูตรสำเร็จที่ทำออกมามากจนเดาเนื้อเรื่องได้ออกหมดครับ ไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกจะไปซ้ำกับหนังเรื่องนู้นเรื่องนี้จนเล่นเอาหาวหวอดๆ ซึ่งคงจะไม่ดีกับคนที่ไม่เคยรู้จักฮีโร่ตัวนี้มาก่อน (เพราะเขาเองก็เป็นแค่มือรองเท่านั้น ไม่เคยดังระดับที่คนที่ไม่ใช่แฟนการ์ตูนรู้จักได้ ไม่เคยมีทีวีซีรีย์หรือการ์ตูนทีวีมาก่อนด้วยซ้ำ)

นอกจากเนื้อเรื่องที่มาแบบสูตรสำเร็จแล้ว จุดอ่อนของ GL คือการที่มันเป็นเรื่องที่ออกจะการ์ตูนเกินไป เรื่องราวมันพาดเกี่ยวระหว่าง อวกาศ โลกมนุษย์สลับไปมาจนดูเหมือนหลุดออกจากความเป็นจริง นอกจากนี้ พลังของแหวนที่สามารถสร้างอะไรก็ได้กลายเป็นจุดอ่อนไปเพราะเมื่อเราเห็น GL สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมามันยิ่งดูการ์ตูนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทีเด็ดที่เขาใช้ตอนท้ายสุดกลายเป็นมุขที่เชยแบบไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ การคัดตัวแสดงมายังออกจะน่าเสียดาย Ryan Reynolds และดารานำอยู่แค่ระดับพอใช้ได้เท่านั้น แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ Tim Robbins มารับบทเป็นพ่อของ Peter Sasgaard ทั้งๆที่สองคนดูอายุเท่าๆกันแท้ๆ บทต่างๆก็ดูอ่อนเกินไป จู่ๆเราก็ได้รู้ตัวละครรู้จักกันมาแต่เด็กโดยไม่มีการปูพื้นเรื่องเลย แถมยังพยายามเปรียบเทียบตัว GL เข้ากับ Hector Hammond มากเกินไปจนหลายเป็นเหมือนหนังวัยรุ่นมัธยมทะเลาะกันเท่านั้น ตัว Hector Hammond ก็กระจอกจนคนอ่านการ์ตูนมาต้องโวยทุกคนแน่ๆครับ บทของตัวละครเสริมก็น้อยเกินไปจนน่าเศร้า มีแค่ Mark Strong ในบท Sinestro คนเดียวที่เล่นออกมาได้ดีจริงๆ ก่อนจะมาล่มในท้ายเรื่องเพราะเลือกบางสิ่งแบบไม่มีเหตุผลเลยจริงๆครับ

สรุปคือ Green Lantern น่าจะเหมาะกับคนดูหนังเอาสนุก ไม่คิดอะไรมาก หรือแฟนการ์ตูนที่ไม่สนอะไรนอกจากได้ดูฮีโร่ฉบับคนแสดง แต่สำหรับคนที่คาดหวังหนังฮีโร่ที่ดีและสนุกอย่างThe Dark Knight หรือ Ironman ก็คงจะผิดหวังอย่างแรงล่ะครับ ยิ่งเมื่อไปเทียบกับ X-Men: First Class หนังฮีโร่คุณภาพเยี่ยมที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่ถึงเดือน หลังจากนี้ ก็คงต้องไปลุ้นกับ Captain America ล่ะครับ ว่าจะทำออกมาได้ดีแค่ไหนกันครับ

ตัวอย่างหนังของจริง สองตัว กับของที่แฟนทำเอง (เผลอๆจะดูดีกว่าของจริง)

Thursday, March 26, 2009

Watchmen: ดูหนังฟังเพลง

Technorati Tags: ,,
สองอาทิตย์ก่อน ผมได้กลับไปหากิจกรรมกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ได้ทำมาเป็นเวลานานแล้ว นั่นคือการตีตั๋วเข้าไปดูหนังในโรงคนเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำบ่อยมากในอดีต เพราะว่าชอบมีสมาธิกับหนังเต็มที่ ไม่ให้มีใครมากวน แต่หลังๆการดูหนังมักจะเปลี่ยนจากการดูเอาความ มาเป็นการดูเพื่อผ่อนคลายกับเพื่อนฝูง และคนรอบข้าง ดังนั้น เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังคนเดียวมากนัก แต่ด้วยความอยากดู Watchmen อย่างแรง ทำให้รอคนอื่นไม่ไหว

Heroes

สาเหตุที่ทำให้ผมอยากดูหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มาก ไม่ใช่เพราะว่ามันดังมากับกระแสหนังฮีโร่ที่เป็นที่นิยมอยากมากในช่วง 4-5ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ X-Men กับ Spider-Man เริ่มกระแสหนังฮีโร่ที่จริงไม่ ไม่เป็นการ์ตูน) แต่เป็นเพราะผมเคยอ่านเกี่ยวกับการ์ตูนชุดเรื่องนี้มาก่อนตั้งแต่สมัยยังใส่กางเกงขาสั้น และเคยอ่านผ่านๆบ้างอย่างไม่ละเอียด แต่ว่า การแต่งเนื้อเรื่องของมือโปร Alan Moore ก็น่าสนใจจริงๆครับ เขาคือยอดนักเขียนเรื่องของวงการการ์ตูนจริงๆ ผลงานดังๆของเขาก็อย่างเช่น The League of Extra Ordinary Gentlemen (หนัง ห่วยมาก) หรือ V For Vendetta (หนัง โอเค) และการที่ได้ Zack Snyder ที่โด่งดังมาจาก 300 (ต้นฉบับการ์ตูนของ Frank Miller) มากำกับ ทำให้ Watchmen กลายเป็นหนังที่ผมรออยากดูที่สุดในปีนี้ครับ
Smiley

เขียนมาตั้งเยอะ คนอ่านคงจะงงแล้วว่า ตกลงมันจะเขียนคอลัมน์เพลงหรือหนังกันแน่ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่หลุดแนวตัวเองแน่ๆครับ ยังไงก็ต้องเขียนเกี่ยวกับเพลงอยู่แล้ว ที่ต้องหยิบเอาหนังเรื่องนี้มาเขียน เพราะว่าเพลงประกอบก็เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของหนังมาก ถ้าหากเลือกใช้เพลงได้เหมาะสมกับฉากแล้ว อารมณ์ของหนังจะพุ่งสู่ขีดสูงสุดได้เป็นอย่างดีครับ และ Watchmen ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างน่าตกใจในการเลือกใช้เพลงประกอบครับ
Watchmen OST

ที่บอกน่าตกใจคือ ส่วนใหญ่แล้ว หนังอเมริกันมักจะเน้นยัดๆเพลงเข้ามาในหนังเพื่อที่จะขายอัลบั้มประกอบเพลงมากกว่า ถ้าเทียบกับหนังจากประเทศอังกฤษแล้ว อังกฤษจะเลือกใช้เพลงมาเพื่อเล่าเรื่องหนังได้เป็นอย่างดี ใครๆคงจะจำฉากเด็ดอย่าง Renton เมายาไปกับเพลง Perfect Day ของ Lou Reed ใน Trainspotting หรือฉากที่หนุ่มน้อย Billy Elliot ที่กลัดกลุ้มถึงขนาดต้องระบายออกด้วยการเต้นไปกับเพลง A Town Called Malice ของ The Jam ส่วนหนังอเมริกันเหรอครับ หาเนียนๆแบบนี้ยากครับ มักจะไปเน้นเพลงบรรเลงมากกว่า

ส่วน Watchmen นั้น ผมไม่ได้คาดหวังเรื่องเพลงประกอบเลยครับ เพราะอยากไปดูเอาเนื้อเรื่องมากกว่า แต่เอาเข้าจริงๆ แค่เพลงเปิดเรื่องก็ทำเอาผมขนลุกแล้วครับ เพราะเขาเล่นเลือกเอาเพลง The Times They Are A-Changin' ของ Bob Dylan มาเปิดตัวหนัง ซึ่งมันสื่อได้ตรงกับหนังมากครับ ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประกอบกับการเล่าเรื่องตัวละครรองของเรื่องไปกับประวัติศาสตร์ของอเมริกา ซึ่งสื่อออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนเล่นเอาผมปากค้างไปเลย ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหาร JFK การประท้วงด้วยพลังบุบผาชนของนักศึกษา หรือฉากที่มี David Bowie โผล่มาแจมด้วย และที่สำคัญคือมันสื่ออย่างแนบเนียนว่า ฮีโร่สวมหน้ากากค่อยๆหมดความจำเป็นจากสังคมไปเรื่อยๆ แค่ฉากเปิดเรื่อง ก็ทำคะแนนจากผมไปได้เพียบแล้วครับ

และฉากสำคัญอีกฉากที่เลือกเพลงมาได้อย่างน่าสนใจจริงๆก็คือฉากงานศพกับเพลง The Sound of Silence ของ Simon and Garfunkel ที่ช่างโศกเศร้า และวังเวงเหลือเกิน ส่วนฉาก “กลับโลก” ที่เลือกใช้เพลง All Along The Watchtower ฉบับของ Jimmi Hendrix ก็เยี่ยมไม่แพ้กันครับ เพราะมันคือเพลงที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลที่ทำให้เรารู้สึกอยากจะลุยไปจริงๆ ส่วนฉากฮีโร่เริงรัก ก็เลือกเพลงคลาสสิกอย่าง Hallelujah แบบต้นฉบับของ Leonard Cohen ที่ผมคิดว่ามันช่างเหมาะกับเซ็กซ์แบบละเมียดละไมจริงๆ เอาไปสิบเต็มครับ การใช้เพลงของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกไปถึง Forrest Gump ที่เลือกเพลงมาเพื่อแสดงยุคสมัยนั้นๆ แม้จะดูเหมือนเล่นทื่อๆไปหน่อย แบบยุคไหนก็เอาเพลงยุคนั้นมา หาฟีลให้ตรงๆก็พอ แต่ก็จัดว่าดีกว่ายัดเข้ามามั่วๆแบบหนังบางเรื่อง

และอัลบั้มนี้ไม่ได้มีแต่เพลงยุคเก่าครับ ยังมีเพลง Desolation Row ของ Bob Dylan ที่ได้วงที่เป็นแฟนการ์ตูนต้นฉบับอย่าง My Chemical Romance เอามาทำเป็นเพลงปิดเรื่องอย่างสุดมันแบบคล้ายๆกับ The Sex Pistols ไปเลยครับ เรียกได้ว่าเอาใจแฟนๆทุกรุ่นจริงๆ

นอกจากตัวเพลงที่ผมเขียนชมไปเยอะแล้ว ตัวหนังก็ทำออกมาได้อย่างดีมากๆครับ ถึง Alan Moore จะไม่ยอมรับก็ตามที แต่ว่ามันก็สร้างบรรยากาศได้อย่างยอดเยี่ยมมากครับ แต่ว่า แล้วแต่รสนิยมครับ หลายคนก็เกลียดหนังเรื่องนี้มาก บอกว่าห่วยจริงๆ น่าจะเป็นเพราะว่าไม่รู้มาก่อนว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร กะแต่จะไปดูหนังฮีโร่เอาสนุกอย่าง Fantastic Four ซึ่งมันคนละขั้วเลยครับ แต่ถ้าชอบฮีโร่ดิบๆแบบ The Dark Knight ก็ต้องไปลองดูกันครับ ส่วนตัวผม ให้เก้าเต็มสิบไปเลย