Monday, December 16, 2013

Tour de Farm สองล้อกับเป้าหมายประจำปี

ระหว่างที่ท่านๆทั้งหลายถือหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อ่านอยู่ ก็เหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะหมดปี 2013 แล้วนะครับ แป๊บๆ ก็หมดไปอีกปีล่ะ เร็วจริงๆ ไม่ทราบว่ามีท่านไหนที่เวลาเริ่มต้นปี จะกำหนดเป้าหมายของตัวเอง ว่าปีนี้จะทำอะไรไหมครับ หรือที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า New Year Resolution นั่นล่ะครับ

1470307_10152073514270289_535417604_n

บางคนอาจจะเลือก เลิกบุหรี่ หางานใหม่ ลดน้ำหนักให้ได้ ซึ่งการจะสำเร็จแต่ละเป้าหมายนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย ส่วนของผม มีสองเป้าหมาย อย่างแรกคือ เลื่อนระดับขึ้นมาวิ่งฮาฟมาราธอน ให้ทันกรุงเทพมาราธอน ซึ่งก็หมดโอกาสไปแล้ว เพราะเกือบทั้งปีผมเจ็บจากอาการเอ็นพลิก เพราะไม่ยอมยืดกล้ามเนื้อให้ดีตอนวิ่งขอนแก่นมาราธอน เลยอดซ้อม ต้องอยู่ที่มินิมาราธอนเหมือนเดิม เลื่อนไปปีหน้าแทน แต่อีกเป้าหมายหนึ่งคือสิ่งที่ผมจะทำในวันพรุ่งนี้ คือการแข่งจักรยานรายการ Tour de Farm ในรุ่น 107 กิโลเมตร ซึ่งผมไม่เคยปั่นระยะขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ก็เป็นเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จให้ได้ครับ

ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ผมกลับมาปั่นจักรยานอย่างจริงๆจังๆ ด้วยเหตุผลง่ายๆคือ อยากลดน้ำหนัก และเรียกความฟิตกลับคืน เพราะแต่ก่อนผมก็เล่นกีฬา ไม่ค่อยเหนื่อยอะไรง่ายๆ แต่พออายุมากขึ้น แล้วปล่อยตัว ก็เริ่มจะไม่ไหว เลยเลือกเอากิจกรรมที่น่าจะเหมาะกับตัวเองที่สุด นั่นคือ จักรยาน

จริงๆแล้ว มาไล่ดูดีๆ ชีวิตผมในช่วงต้น อยู่กับจักรยานตลอด ตั้งแต่ยุคบีเอ็มเอ็กซ์ฮิตๆ ผมก็มีกับเค้าคันนึง ไว้ไปปั่นไปเล่นกับเพื่อน โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม เหมือนใน แฟนฉัน นั่นล่ะครับ พอโตมาหน่อย ก็ได้เสือภูเขาไว้ใช้ของตัวเอง ของถูกๆ ไม่ได้อะไรมาก แต่ก็ปั่นได้สนุกครับ ผมชอบเอาไปปั่นแถวๆคลองส่งน้ำ หรือปั่นไปเรื่อยๆ หลุดไปตำบลอื่นก็เคย พอมาช่วงจะขึ้นม.ปลาย ก็ได้เสือหมอบของจีนคันนึง ถึงจะไม่แพง แต่คุณภาพก็ใช้ได้ เป็นจักรยานที่ใช้ในโครงการปั่นเพื่อการกุศลของมหาวิทยาลัยขอนแก่นตอนนั้น แล้วพอจบโครงการเค้าก็เอามาขายต่อถูกๆ ผมก็เลยโชคดี มีรถเอาไว้ปั่นเล่นสนุกๆ ใช้ไปไหนมาไหนแก้เบื่อได้เพลินเชียวครับ จนเข้าม.ปลายกับมหาวิทยาลัย ก็แทบไม่ได้ใช้จักรยานล่ะ เพราะมีรถส่วนตัวแล้ว

มาได้ใช้จักรยานอีกทีก็ตอนเรียนที่ญี่ปุ่น เพราะจำเป็นมาก (ไม่มีรถนี่ครับ) ปั่นไปซื้อของ ขึ้นรถไฟ ไปไหนมาไหน คันแรกที่ใช้ คือบ้านแฟนเก่าเค้าเอาให้ยืม ก็ชอบปั่นไปนั่งกินข้าวที่ร้านที่เขาทำงานพิเศษ ไปกลับรวมสิบกว่ากิโล พอเลิกกัน ดันเป็นตอนที่ผมย้ายที่พัก ก็ต้องปั่นไปคืนเค้า เพื่อประหยัดค่าส่ง เป็นการปั่นจักรยานแม่บ้านระยะ 33 กิโลครั้งแรกในชีวิตเลย แทบรากเลือด ต่อมาก็ซื้อจักรยานเอาไว้ใช้เองแทนอีกคันครับ (ใครสนเรื่องการใช้จักรยานในญี่ปุ่น ลองอ่านได้ที่ Japan Did หนังสือที่ผมเขียนให้สำนักพิมพ์แซลมอนได้ครับ ขายของเลย)

พอกลับมาไทย ย้ายมาอยู่กรุงเทพ จักรยานก็แทบจะเป็นเรื่องไกลตัวเลย เพราะคิดยังไง ก็เป็นเรื่องอันตรายสำหรับผมในตอนนั้น แม้จะดูการแข่งจักรยานทางไกลอย่าง Tour de France ให้ตื่นเต้นบ้าง (แน่นอนว่าตอนนั้นใครก็ชอบแลนซ์ อาร์มสตรอง) เห็นนักปั่นเก่งๆ ก็อยากปั่น แต่ก็ยังไม่กล้าซะที ก็กรุงเทพมันน่ากลัวนี่ครับ ถนนรถเยอะจะตาย แต่พอเริ่มใช้มอเตอร์ไซค์เอง เออ มันก็พอไหวนี่หว่า

สุดท้ายก็ตามที่บอกครับ เลยตัดสินใจซื้อจักรยานมาเพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเอง จะได้ออกกำลังซะที เพราะไปฟิตเนส ก็ไม่ใช่แนว (แถมตอนนั้นเกือบสมัครกับเจ้าที่ต่อมาจะปิดตัวหนีลูกค้านั่นล่ะครับ) เลยได้รถเสือภูเขามาคันนึง ซื้อแบบไม่รู้อะไรมากหรอกครับ เอาถูก พอปั่นได้เข้าว่า พอปั่นไปมา เริ่มสนุก เริ่มออกไกลขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเพลิน ปั่นวันละยี่สิบกิโล น้ำหนักหายไปเพียบ ตัวเบา ไม่เหนื่อยง่าย สุขภาพดีมาก ภายในเวลาไม่กี่เดือน เล่นเอาเสพติดไปเลย จนถึงจุดนึง เริ่มรู้สึกว่า มันไม่พอแล้วล่ะ เพราะก็อยากไปเร็ว อยากจะลองแข่งดู เลยตัดสินใจ ขายรถคันเดิม มาใช้รถเสือหมอบเอง ซึ่งคันที่ซื้อ ก็เป็นรถระดับเริ่มต้น พอเข้าแข่งได้ แม้จะไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็พอไหว

พอเปลี่ยนรถ ก็เหมือนเสือติดปีก สนุกครับ ปั่นได้เร็วขึ้น ไกลขึ้น สนุกขึ้น หยุดไม่อยู่ล่ะ และก็ได้ลงแข่งสมใจ ในงาน Tour de Farm เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งผมลงในรุ่น 60 กิโลเมตร จริงๆก็ไม่ได้แข่งอะไรครับ รุ่นนี้เอาสนุกมากกว่า ที่ลงเพราะอยากทดสอบตัวเองดูครับ

ผมชื่นชอบการแข่งขันจักรยานทางไกลมาตั้งแต่ตอนเด็ก คงเพราะอิทธิพลของการ์ตูนที่อ่านอย่าง สิงห์นักปั่น ทำให้เข้าใจว่ามันเป็นกีฬาที่ยากเอาเรื่อง เหมือนจะดูง่าย แต่มันต้องอาศัยความอึด แรงกาย และแรงใจจริงๆ และที่สำคัญ สิ่งที่ทำให้มั่นน่าหลงใหลมากกว่าการวิ่งมาราธอนคือ ความเสี่ยง ครับ เพราะเวลาเราปั่น ถ้าช่วงลงเขา ความเร็วสามารถพุ่งไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้เลย ตัดสินใจพลาดนิดเดียว ก็ตายได้ทันที นั่นล่ะครับ สิ่งที่มันเย้ายวนใจมากสำหรับผม (แต่แฟนคงไม่ชอบ)

tour-de-france-620x413

นอกจากนี้ ความยากลำบากของ Tour de France มันยังน่าหลงใหลมากๆ เพราะจะมีกีฬาอะไรที่โหดพอที่จะให้คนปั่นจักรยานกันวันละสองร้อยกิโล ขึ้นเขากันหลายลูก เป็นเวลาสามอาทิตย์ นอกจากแรงกาย ถ้าแรงใจไม่พอก็คงสติหลุดได้ง่ายๆ เพราะพลาดครั้งเดียวอาจจะล้มหมดสภาพจนต้องออกจากการแข่งขัน ทำให้ทุกครั้งที่ผมมองพวกนักจักรยานอาชีพ ผมเห็นผู้กล้า ฮีโร่ ในร่างกายที่ผอมแห้งเหมือนไม่มีแรงนั่น แต่จริงๆแล้วพวกเขานั้นลับตัวเองให้คมกริบราวกับดาบซามูไร ดูการแข่งทีไรก็ได้แต่คารวะครับ

เพราะความชื่นชมในตัวนักแข่งทั้งหลาย ทำให้ตัวเองอยากลองบ้าง และก็กลายเป็นที่มาของเป้าหมายของปีนี้ นั่นคือการลงแข่งรุ่น 107 กิโลเมตรใน Tour de Farm นี่ล่ะครับ เพื่อที่จะได้ก้าวข้ามขึ้นไปขั้นต่อไปให้ได้

ตอนเริ่มปั่นแรกๆ ด้วยประสบการณ์จากการปั่น 60 กิโลปีก่อน ช่วงต้นเลยไม่ค่อยลำบากมาก จำเส้นทางได้ บวกกับไม่ค่อยมีเนินให้ลำบากมากนัก เลยปั่นได้เรื่อยๆ แต่ว่า ตรงหน้าพาลิโอ กับโค้งตัว S มีคนรถล้ม ลงไปนอนสองคน เห็นแล้วก็หวั่นๆ เพราะบางช่วงก็ปั่นกันเพลิน ความเร็วสูง ถ้าล้มมา ก็เนื้อล้วนๆครับ เสี่ยงตายจริงๆ แต่ก็ปั่นเกาะๆเค้าไปเรื่อยจนวนกลับมาถนนมิตรภาพ แล้วตัดไปทางไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อยอีกที

เจ้าถิ่นเค้าขูว่า เลี้ยวขวาแล้วจะเจอของจริง เจอจริงๆครับ ขึ้นเขาหนองอีเหร่อ ความชัน 18% ระยะทาง 3 กิโล นักปั่นในเมืองที่ไม่เคยเจอเนินยาวๆอย่างผม ปกติก็แย่แล้ว นี่ดันมาเจอเอาตอนปั่นมาได้ 60-70 กิโล จะเหลืออะไรล่ะครับ ต่อให้ปรับเกียร์เบาสุด ก็ไม่ไหว ต้องจอดพักสองสามรอบ แล้วก็ค่อยๆไล่ๆไปเรื่อยๆ ตอนปั่นขึ้น ผมพยายามนึกถึงนักปั่นขึ้นเขาเทพๆ แต่ คิดภาพไม่ออกเลยครับ นึกออกแค่น้าเยนส์ กับวลีดังของแกคือ Shut Up Legs!!! บอกให้ขาตัวเองปั่นไปต่อ พอลงเขาได้ เหมือนจะดีขึ้น ก็เจออีกทีคือ เขาลำทองหลาง 12% อีก 2 กิโล ตัดกำลังอีก บอกตรงๆว่า แทบหมดสภาพครับ

แต่พอพ้นเนิน แน่นอนว่า ก็ต้องเป็น ขาลงครับ ตรงนี้ล่ะที่มันโคตรๆ เพราะเล่นปล่อยล้อฟรี ลงกันมายาวๆ รถผมอาจจะเพราะหนักหน่อย แล้วก็ผมบ้าด้วย เลยได้ความเร็วสูงสุด 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันมากครับ ยิงยาวเลย แซงได้หลายคนตรงนี้ล่ะ มานึกอีกที แล้วพวกโปรที่ความเร็วลงเขา 100 กิโล นี่เค้าคิดอะไรกันในสมอง โอย ยอดคนจริงๆ พอพ้นกลับมาถนนมิตรภาพอีกที ก็ถึงจุดแค้นนี้ต้องชำระของผม

ปีก่อน ตอนเจอเขาบันไดม้าก่อนถึงเส้นชัย ผมหมดแรง จอดพักสองรอบ โดนแซงไปเป็นสิบ ก่อนจะค่อยๆไต่เข้าเส้นชัย ปีนี้ ผมกลับมาที่เดิม ระยะทางไกลกว่าเดิม และมันก็ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าผม ผมควบจักรยานคันโปรดเข้าหามัน ด้วยความเหนื่อย บอกตรงๆว่า ผมแทบจะถอดใจ จอดลงพักอีกแล้ว แต่ ผมกลับมาเพื่อเอาชนะมัน เลยกัดฟัน ปั่นไป แหกปากไป แล้วก็ค่อยๆเร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่อยากแพ้มัน กลายเป็นว่า ผมเอาชนะมันได้ ก่อนที่จะเข้าเส้นชัย ยกมือขึ้นตะโกนเต็มที่ จนคนงงว่า มันเป็นอะไรวะ 55

1474653_10152073514095289_138388615_n

พอปั่นเสร็จ ก็เข้าใจว่า การปั่นจักรยานทางไกลนี่มันคือทัณฑ์ทรมานคล้ายๆกับที่ฮารุกิ มุราคามิ พูดไว้เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอนจริงๆ ระหว่างทาง ผมได้แต่คิดว่า เรามาทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมต้องมาทรมานตัวเอง ตากแดด เสี่ยงกับความเร็ว สับขาขึ้นเนิน แทบหมดสภาพ แต่พอเข้าเส้นชัย คำตอบมันก็ชัดเจนครับ ทุกอย่างที่ผมทรมานตัวเองมา เมื่อแลกกับโมเมนต์แห่งความสุขเมื่อเข้าเส้นชัย มันคุ้มเกินคุ้มครับ นอกจากทำเวลาได้ดีกว่าที่ตั้งเป้าไว้แล้ว การทำเป้าหมายประจำปีของตัวเองสำเร็จได้นี่มันยิ่งกว่ามีความสุขอีก เรียกได้ว่า Sky High เลยทีเดียว

เหรียญรางวัลเข้าร่วมแข่งขันที่ได้มา มันคือเครื่องเตือนความทรงจำว่าเราทำสำเร็จ แต่ยังเทียบกับความสุขของการเอาชนะตัวเองไม่ได้ครับ ปีหน้าก็คงต้องตั้งเป้าหมายใหม่ล่ะครับ แล้วคุณล่ะครับ ปีหน้ามีเป้าอะไรบ้างครับ

No comments: