Monday, July 29, 2013

Beady Eye ก้าวออกจากเงาของตัวเอง

หลังจากการลาออกจากวงของ โนเอล กัลลาเกอร์ แกนนำ และนักแต่งเพลงหลักของวงระดับตำนานแห่งยุค ’90 อย่าง Oasis ซึ่งเป็นเหมือนวงในดวงใจของวัยรุ่นยุคนั้น (ผมด้วย) ชนิดที่ หลายคนที่เล่นกีตาร์คงต้องเคยเล่นเพลง Wonderwall กันบ้างล่ะ ทุกคนก็ต่างหวังว่า ไอ้สองพี่น้องตระกูลกัลลาเกอร์สุดปากหมา มันคงแค่จะทะเลาะกันชั่วคราว ไม่ได้กะจะเอากันตาย เดี๋ยวก็คงกลับมาคืนดีกัน ทำงานต่อ แต่ไปๆมาๆ ก็ไม่เห็นแววที่มันจะกลับมาร่วมงานกันอีกซะที จะว่าไปก็คงไม่แปลก เพราะไอ้สองคนนี้มันเกลียดกันชนิดที่ว่า ไม่อยากทัวร์ต่างประเทศเพราะว่าทรมานที่ต้องนั่งข้างๆกันนานๆในเครื่องบิน

beady-eye

และเมื่อเริ่มชัดเจนว่า สองพี่น้องนี้จะไม่กลับมาร่วมงานกันอีกแล้ว อย่างน้อยแฟนเพลงก็ได้ใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่า สมาชิกที่เหลือของ Oasis ก็ตัดสินใจจะทำงานเพลงต่อไป โดยมีแกนนำเป็นน้องชายปากหมา นายเลียม กัลลาเกอร์ แทนพี่ชาย แต่จะใช้ชื่อ Oasis ต่อไป ก็คงมิงาม พวกเขาเลยตัดสินใจเรียกตัวเองว่า Beady Eye แทนซะ

แน่นอนว่า เพราะ Beady Eye ก็เหมือนกับ Oasis 2.0 ที่ไม่มี โนเอล ดังนั้นสมาชิกหลักก็ไม่ต่างกัน นั่นคือ Liam Gallagher (เลียม ร้องนำ และ แทมบูริน ที่เขย่ามาตลอดศก) Gem Archer (เจ็ม กีตาร์ และเบส) อดีตวง Heavy Stereo ที่ไม่ค่อยมีอะไรให้จดจำ Andy Bell (แอนดี้ กีตาร์และเบส) อดีตวง Ride ในตำนาน และสามรของ Idha นักร้องสุดสวย (อันหลังไม่เกี่ยวกัน) กับ Chris Sharrock (คริส) มือกลองที่เคยเล่นให้โอเอซิสในคอนเสิร์ตมาก่อน ครบเซ็ต ไม่ต่างจากเดิมเลย

เมื่อไม่มีโนเอล เลียมก็บอกว่า กำลังแต่งเพลงกับสมาชิกที่เหลือ และเริ่มอัดเดโมแล้วให้แฟนๆได้ชื่นใจ พร้อมทั้งดึงตัว Steve Lilywhite โปรดิวเซอร์ดังมาร่วมงานด้วย โดยเลียมให้สัมภาษณ์ว่า งานชุดนี้จะต่างออกไปจากวงเดิม และเขามั่นใจด้วยซ้ำว่า งานเพลงของวงใหม่จะเหนือกว่าวงเก่าซะด้วยซ้ำ แหม่ พี่ไม่อยู่แล้วเอาใหญ่

จนข้ามมาปลายปี 2010 ในที่สุดพวกเขาก็ได้ออกซิงเกิ้ลแรก Bring the Light ให้แฟนๆดาวน์โหลดฟรีบนเว็บ เล่นเอาชาวบ้านชาวช่องตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะมันฟังดูเหมือนเพลงของ Oasis อยู่บ้าง แต่ฟังดีๆแล้ว ก็จะรู้ว่ารากของเพลงมันแตกต่าง ด้วยการที่เป็นเพลงร๊อคที่เดินด้วยเปียโน และจังหวะยังเร็วกว่าเพลงของ Oasis โดยทั่วไป ทำให้เราต้องหันกลับมามองเลียมใหม่ในฐานะนักแต่งเพลง เพราะเขาไม่ใช่แค่คนที่ร้องเพลงยานคางเคาะแทมบูรินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

หลังจากที่ได้รับคำชมจากซิงเกิ้ลแรก พวกเขาก็เดินหน้าออกซิงเกิ้ลที่สอง Four Letters Word มาโปรโมตอีก และมันก็ได้รับเสียงชมอีกเช่นกัน ด้วยความที่เป็นพลงร๊อคมันๆ แถมยังฟังดูสดใหม่เต็มไปด้วยพลังงาน (ซึ่งหายไปไม่น้อยในงานของ Oasis ชุดหลังๆ) และตามติดด้วยซิงเกิ้ลที่วางขายอย่างเป็นทางการแผ่นแรกคือ The Roller ซึ่งก็ยังคงความสดเช่นเคย จนเราแอบหวังว่า งานของ Beady Eye จะเป็นงานที่สมกับเป็นวงใหม่ ไม่ใช่แค่วงโคลนนิ่งของ Oasis เท่านั้น

และเมื่ออัลบั้มเต็มออกวางขายในปี 2011 ชื่อ Different Gear, Still Speeding แฟนเพลงก็ได้พิสูจน์กึ๋นของเลียม บุคคลที่ถูกมองมาตลอดว่าเป็นตัวปัญหา และอยู่ได้เพราะพี่ชายเท่านั้น แต่กลายเป็นว่า งานชุดแรกของ Beady Eye กลายเป็นความสำเร็จที่งดงามอย่างคาดไม่ถึง เพราะทั้งอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงที่สดและทรงพลังหลายต่อหลายเพลง การที่ไม่มีโนเอล ทำให้เลียมได้โอกาสทำเพลงแบบที่เขาอยากทำเต็มที่ ในขณะที่พี่ชายรู้จักทำเพลงตามสมัย เลียมหลงใหลกับเพลงยุค ’60 และเขาก็รู้ดีกว่าจะปรับมันเข้ามาหายุคสมัยนี้อย่างไรดี จนกลายเป็นงานเพลงที่ลงตัวซึ่งเกิดจากความหลงใหลของเลียมในฐานะแฟนเพลงคนหนึ่ง เขาถึงกับแต่งเพลง Beatles and Stones ให้รู้ไปเลยว่า ชื่นชอบแค่ไหน หรืออย่าง The Beat Goes On ก็ฟังเหมือนแผ่นเพลงเจ๋งๆที่เราค้นเจอในห้องใต้หลังคาของพ่อแม่ ไม่แปลกอะไรที่ Different Gear, Still Speeding กลายเป็นงานที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง ลบคำสบประมาทว่าเป็นแค่ Oasis 2.0 ไปเสีย แถมหลายคนยังชมถึงกับว่า นี่ล่ะคืองานเพลงของ Oasis ที่ต่อจาก (What’s the Story) Morning Glory มากกว่างานของ Oasis จริงๆซะด้วยซ้ำ

nwsjr120411beadyeye-1

หลังจากประสบความสำเร็จ พวกเขาก็เริ่มกล้าเล่นเพลงของ Oasis ในคอนเสิร์ตบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ พวกเขายังกลัวว่าความสำเร็จในหนหลังจากบดบังงานเพลงใหม่ แต่เมื่องานเพลงใหม่ได้รับการยอมรับ พวกเขาก็ไม่กลัวอดีตอีกแล้ว

และปีนี้พวกเขาก็เข้าห้องอัดทำงานเพลง ร่วมทำงานเพลงกับ Dave Sitek แห่ง TV on the Radio ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่น่าจะเป็นที่คุ้นเคยของฐานแฟนเพลงพวกเขาเลย พวกเขายังดึง Jeff Mahler อดีตมือกีตาร์ของ Kasabian เข้ามาร่วมวงอีกแรง และปล่อยเพลง Flick of the Finger มาให้ชิมลางทางสถานีวิทยุเพื่อให้แฟนเพลงได้ตื่นเต้น ซึ่งมันก็ยังโดดเด่นไม่แพ้งานชุดเดิม และยังรู้สึกถึงความทะเยอทะยานมากขึ้นไปอีกด้วย ติดที่ปกแผ่น เป็นรูปเนินอะไรก็ไม่รู้ มีขนขยุกขยุย ปล่อยให้ขึ้นกับจินตนาการคนดูเองแล้วกัน

เมื่ออัลบั้มเต็ม BE ออกมา มันก็สานต่อความสำเร็จจากงานชุดก่อนได้เป็นอย่างดี (แม้ปกจะมีปัญหาเพราะเห็นหัวนมนางแบบ แต่เลียมก็ยักไหล่บอกว่า ก็สวยดีนี่) มันยังเป็นการเดินทางเข้าสู่ยุค ’60 เช่นเดิม ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Second Bite Of The Apple ที่ทำให้เรานึกถึง The Beatles ยุคเริ่มพี้ยาล่ะ ส่วนเพลงอย่าง Face The Crowd ก็เป็นเพลงร๊อคแอนด์โรลที่ชวนเรากระทืบเท้าตาม อีกเพลงที่แนะนำได้คือ Iz Rite ที่เรียบเรียงได้ออกมาอย่างดีจริงๆ การดึงเอา Dave Sitek เข้ามาร่วมงานไม่ได้เปลี่ยนทิศทางของวงแบบกะทันหัน แต่เป็นการเพิ่มรายละเอียดของเพลงพวกเขาเข้าไปให้ลึกขึ้นอีก และต้องยอมรับว่าบางที BE อาจจะเด่นกว่างานเพลงรุ่นพี่ของมันด้วยซ้ำ และบอกตรงๆว่า พวกเขาเดินห่างออกมาจาก Oasis และเจอแนวทางของตัวเองชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ที่ยังทำให้นึกถึง Oasis ได้คงเป็นแค่เสียงร้องของ Liam เท่านั้น

การก้าวออกจากเงาของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเงานั้นยิ่งใหญ่ขนาดที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของยุคมาก่อน แต่ Beady Eye ก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าแฟนเพลงรุ่นเก่าจะมองว่าอย่างไร

No comments: