Sunday, June 10, 2012

The Cribs พลังสามศรีพี่น้อง

Technorati Tags: ,

ในวงการดนตรี มีวงดนตรีไม่น้อยที่เริ่มต้นจากพี่น้องท้องเดียวกัน ตั้งแต่วงดังในอดีตอย่าง Carpenters หรือ The Osmonds จนถึงรุ่นหลังๆอย่างวงสองศรีพี่น้องที่รักกันสุดๆอย่างไอ้คิ้วหนา เลียม และ โนเอล กัลลาเกอร์ แห่ง โอเอซิส ซึ่งรักกันมากจนต้องแตกวงเพราะสองคนนี้แท้ๆ แล้ววันนี้ ก็มีวงพี่น้องอีกวงหนึ่ง ที่เป็นวงพี่น้องเพียวๆเลย เพราะว่า สมาชิกทั้ง 3 คนของวง (ก่อนจะมีคนแปลกหน้าเข้ามา) เป็นพี่น้องท้องเดียวกันหมด สมกับชื่อวงที่ชื่อว่า The Cribs (เปลเด็กทารก)

the-cribs-interview

สำหรับวง The Cribs การตั้งวงไม่เหมือนวงอื่นที่ไปเจอกันตามที่นู่นที่นี่แน่ๆ เพราะพวกเขาคือพี่น้องท้องเดียวกันจากยอร์คเชียร์ เริ่มเล่นดนตรีมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ จนสร้างสตูดิโอส่วนตัวของตัวเองตามประสาวัยรุ่น สมาชิกทั้งสามคือ สองฝาแฝด Ryan Jarman (ไรอัน กีตาร์ ร้องนำ) Gary Jarman (แกรี่ เบส ร้องนำ) และน้องชาย Ross Jarman (รอส กลอง) พวกเขาได้เริ่มต้นสร้างงานเพลง และในช่วงที่ The Strokes กำลังโด่งดังจากอัลบั้มแรกของพวกเขา กระแสดนตรี Garage Revival กำลังบูม และเป็นยุคที่ดนตรีดิบๆของคนหนุ่มกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง แน่นอนว่าในอังกฤษเองก็พยายามค้นหาวงที่จะมาเป็น The Strokes ของพวกเขา

ซิงเกิ้ลแรกที่พวกเขาออกด้วยตัวเองไปเข้าตามแมวมองทั้งหลาย ด้วยการผสมผสานเสียงของวงจากอังกฤษอย่าง The Beatles หรือ Sec Pistols เข้ากับ อินดี้ร๊อคดิบๆแบบอเมริกา หลังจากสร้างชื่อด้วยการเป็นวงซัพพอร์ต และออกสองซิงเกิ้ล What About Me และ You Were Always The One ที่เพลงแรกจะเป็นเพลงเร็วแบบดิบๆแต่ติดหู ในขณะที่เพลงหลังออกจะเป็นเพลงที่หวานๆน่ารักกว่า แต่ทั้งสองเพลงซาวด์จะกร้านแบบไม่ได้รับการขัดเกลาซึ่งเป็นจุดเด่นของพวกเขาไป และจากความโดดเด่นของมัน ก็ทำให้พวกเขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงหน้าใหม่มาแรงอย่าง Wichita Records ทางฝั่งอเมริกาในปี 2003 อยู่บ้านหลังเดียวร่วมกับวงอย่าง Bloc Party และ Bright Eye และก็ได้ออกผลงานชุดแรกที่ชื่อเดียวกับวงในปี 2004

The Cribs เป็นงานที่เต็มไปด้วยความสด และดิบ แบบที่ไม่ได้รับการขัดเกลา พวกเขาคือขั้วตรงข้ามของโปรดิวเซอร์ที่พยายามจะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ มันเป็นงานที่อัดโมเมนต์แห่งอารมณ์วัยหนุ่มไว้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่แปลกอะไรที่มันจะได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากมายและทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ได้รับการจับตามองจากทั่วสารทิศ เพราะมันคืองานที่มาถูกที่ถูกเวลา ในช่วงที่กระแสดนตรีแบบนี้กำลังเบ่งบานจริงๆ และพวกเขาก็เป็นดาวรุ่งจากฝั่งอังกฤษที่โดดเด่น

หลังจากออกทัวร์อย่างหนัก ด้วยการอาศัยอินเตอร์เน็ตในการโพสเบอร์ติดต่อไว้ โดยพร้อมจะไปเล่นทุกที่ขอแต่มีค่าน้ำมันและเบียร์ให้ลังนึงเท่านั้น ทำให้ได้ฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่น พวกเขาก็ออกผลงานชุดที่ 2 ชื่อ The New Fellas โดยได้ Edwyn Collins อดีตวง Orange Juice (ที่ดังกับงานเพลงเดี่ยว A Girl Like You) มาโปรดิวซ์ให้ ซึ่งเป็นการจับคู่กันเพื่อรักษาความดิบสดของงานเพลงชุดแรกไว้

g4hZ6tWDn249Jw3hqyLXseGaWqU

และมันก็เป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม จากซิงเกิ้ลแรก Hey Scenesters ที่อัดพวกทำตัวแนว มาดูคอนเสิร์ตเพื่อความเท่เท่านั้น (คล้ายกับงานอะไรอ้วนๆบ้านเราเลย) ซึ่งนอกจากเนื้อเพลงจะแสบสันต์แล้ว ตัวดนตรีเองก็มันโจ๊ะสะใจจริงๆ อีกเพลงที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ Mirror Kissers ที่ก็ยังอัดพวกฮิปสเตอร์ทำตัวแนว ว่าคลั่งไคล้หลงไหลในตัวเองสุดๆ New Fellas กลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อให้กับพวกเขาในวงกว้าง จนกลายเป็นวงหัวแถวในแวดวงอินดี้

นอกจากเพลงจะมันแล้ว การแสดงสดแบบไม่ยั้งความมันของพวกเขาก็เป็นจุดเด่นอีกจุด เองไมค์ฟาดปากแตกนี่เป็นเรื่องปกติ เคสที่ดังสุดคงเป็นตอนงานเลี้ยงของ NME ที่ไรอันเล่นกระโดดไดฟ์จากเวทีลงกลางโต๊ะผู้ชมด้วยความเมาและมัน ผลก็คือบาดแผลเหวอะจากแก้วบาดขนาดใหญ่กลางหลัง ซึ่งเล่นเอาเฉียดตายได้เลย มันแบบไม่มีกลัวครับ

หลังจากจบทัวร์กับงานชุดที่2 พวกเขาก็เซ็นสัญญาเข้าค่ายใหญ่อย่าง Warner นอกประเทศอังกฤษ และเริ่มทำงานเพลงชุดที่ 3 Mens Needs, Womens Needs, Whatever โดยได้ อเล็กซ์ แห่ง Franz Ferdinand มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ซึ่งมันก็เป็นงานที่เปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อย คือความดิบแบบเดิมหายไป ซาวด์ของพวกเขาสะอาดขึ้น แต่ความสด และพลังงานก็ยังเปี่ยมล้นเหมือนเดิม ฟังได้จากเพลงเปิดตัว Mens Needs ที่ไรอันยังแหกปากได้สะใจเหมือนเดิม แต่ถ้านึกถึงเสียงกีตาร์น่ารักแบบอินดี้ในอดีต ก็ต้อง I’m a Realist เลย และก็เป็นงานเพลงชุดนี้ที่ทำให้พวกเขาข้ามฟากไปเจาะตลาดอเมริกาได้ สำเร็จ

cover-wakefield-full-e1337110062291

และความโดดเด่นของพวกเขานี่เอง ที่ทำให้ Johnny Marr อดีตมือกีตาร์ของวงในตำนานอย่าง The Smiths สนใจในตัวพวกเขา จนขอพักงานกับ Modest Mouse มาร่วมงานกับ The Cribs แทน และมันก็ออกมาเป็นงานชุดที่ 4 Ignore the Ignorant ซึ่งเมื่อได้เสียงกีตาร์ที่มีเอกลักษณ์ของมาร์เข้ามาผสม ทำให้มันกลายเป็นอัลบั้มที่มีกลิ่นเฉพาะตัวไปอีก โดยที่มีเพลงเด่นๆอย่าง Cheat on Me ที่ยังคงสไตล์ของพวกเขา และ Stick to Yr Guns ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเติบโตขึ้นมาอีกขั้น

แต่หลังจากร่วมงานชุดเดียว มาร์ก็ไปตามทางของเขา เหลือสามพี่น้องเหมือนเดิม และพวกเขาก็อัดเสียงงานเพลงชุดใหม่ In the Belly of the Brazen Bull โดยร่วมงานกับโปรดิวเซอร์มือเก๋าอย่าง Dave Fridman และซาวด์ของเพลงก็ยังไม่ได้ต่างจากสมัยร่วมงานกับมาร์ มันยังเป็นงานที่ สะอาด เมื่อเทียบกับงานยุคแรก แต่ก็ยังสามารถจับเอาพลังงานในเพลงของพวกเขาได้เป็นอย่างดีแม้จะผ่านจากจุดเริ่มต้นมาเป็น 10 ปี โดยเพลงเด่นอย่าง Chi-Town ก็ยังฟังได้สนุกเช่นเคย Come On Be A No-One ก็ยังคงกลิ่นของพังค์เหมือนเคย ส่วน Arena Rock Encore With Full Cast ก็แอบฮา ด้วยการทำเพลงล้อเลียนวงร๊อคสเตเดียม แต่เป็นการบอกอีกทางว่า พวกเขาก็ทำเพลงแบบนี้ได้เหมือนกันนะ

แม้เวลาจะผ่านมาถึง 10 แต่พลังงานของพวกเขาก็ไม่เคยลดน้อย และคุณภาพของงานเพลงก็ไม่เคยตกลงเลย และสายสัมพันธ์ของพี่น้องก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขายังเหนียวแน่นสร้างงานเพลงมาจนทุกวันนี้

No comments: